Lamborghini Huracan STO Track Day 2022 – สัมผัสความแรงซูเปอร์คาร์ 640 ม้า
Lamborghini Huracan STO Track Day 2022 – 1 สัปดาห์หลังจากงานเปิดตัว Lamborghini Huracán Tecnica ที่กรุงเทพฯ Renazzo Motor ตัวแทนจำหน่าย Lamborghini อย่างเป็นทางการของประเทศไทย จัดกิจกรรมทดสอบรอบเอ็กซ์คลูซีฟของ Huracán STO อีกหนึ่งโมเดลในซีรีส์ซูเปอร์คาร์ขุมกำลัง V10 ของค่าย “กระทิงเปลี่ยว” ที่สนามแข่งพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดชลบุรี
Huracán มีความหมายว่าพายุในภาษาสแปนิช และเป็นชื่อวัวกระทิงที่เคยสร้างตำนานในสังเวียนสู้วัวกระทิงของประเทศสเปนในอดีต ทำให้ถูกเลือกมาเป็นชื่อโมเดลใหม่ตามธรรมเนียมของ Lamborghini เพื่อสืบทอดตำนานซูเปอร์คาร์เครื่องยนต์ V10 ต่อจาก Gallardo ที่ยุติการผลิตเมื่อปี 2013
Lamborghini เปิดตัว Huracán สู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกบนเวทีเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2014 โดยใช้รหัส LP 610-4 Coupé มีกำลังสูงสุด 610 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 2.5 วินาที และความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 325 กม./ชม. ก่อนจะส่งรุ่นเปิดประทุน Spyder ตามออกมาในอีก 2 ปีให้หลัง จากนั้นคั่นด้วยรหัส LP 580-2 ที่ถูกปรับกำลังลดมาเหลือ 580 แรงม้า มีให้เลือกทั้งตัวถัง Coupe และ Spyder โดยช่วงเวลาเดียวกันยังมีรุ่นอัพเกรด Performante ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งปลดปล่อยพลังได้มากขึ้นถึง 640 แรงม้า ออกมาให้บรรดาผู้หลงใหลความแรงได้สะสมเข้าสู่คอลเลคชั่น
ก่อนจะเข้าสู่การ Facelift ในช่วงกลางอายุโมเดลเมื่อปี 2019 ด้วยการนำชื่อ Evo มาต่อท้าย โดยใช้เครื่องยนต์ และเทคโนโลยีบางส่วนร่วมกับ Performante แต่ปรับภาษาการออกแบบให้มีความดุดันมากขึ้นพร้อมพัฒนาชิ้นส่วนบนตัวถังให้ยกระดับสมรรถนะ Huracán ให้สูงขึ้นกว่าเดิม และในปีถัดมามีการเพิ่มรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง Evo RWD ที่ความแรงถูกปรับลดลงมาเหลือ 610 แรงม้า ทำให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพิ่มเป็น 3.3 วินาที โดยทั้ง 4 รุ่นที่กล่าวมามีให้เลือกทั้งตัวถังแบบ Coupe และ Spyder
จากนั้นมาถึง Huracán STO ที่เปิดตัวในช่วงปลายปี 2020 (ก่อนจะตามด้วย Huracán Tecnica เป็นโมเดลล่าสุด เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา) โดยรหัสต่อท้ายของรุ่นนี้มาจากคำว่า Super Trofeo Omologato ที่หมายถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งสู่ซูเปอร์คาร์ที่สามารถขับได้บนท้องถนนปกติอย่างถูกกฎหมาย
หลังจาก Squadra Corse แผนกมอเตอร์สปอร์ตของ Lamborghini ใช้ต้นแบบในการพัฒนาจากรถแข่ง Huracán Super Trofeo EVO และ Huracán GT3 EVO ที่คว้าชัยชนะ 3 สมัยในรายการ 24 Hours of Daytona และครองแชมป์ 2 ปีติดต่อกันในศึก 12 Hours of Sebring
หัวใจสำคัญของ Huracán STO คือหลักอากาศพลศาสตร์ของตัวรถที่สามารถจัดระเบียบอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยดีไซน์ตัวถังถูกออกแบบเพื่อสร้างแรงกดอากาศที่สูงขึ้น และรีดอากาศออกจากตัวรถได้ดีในเวลาเดียวกัน พร้อมนำวัสดุน้ำหนักเบามาติดตั้งเพื่อลดน้ำหนักรวมของรถให้ได้มากที่สุดช่วยให้ผู้ขับขี่สัมผัสอารมณ์เหมือนอยู่หลังพวงมาลัยรถแข่งในสนาม
นอกจากนี้มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ภายนอกใหม่เพื่อช่วยให้กระแสลมไหลผ่านตัวรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความที่ทุกรายละเอียดของ Huracán STO ได้แรงบันดาลใจจากสนามแข่ง และเดินตามปรัชญา “Design Always Follows Function” โดยทีมงาน Squadra Corse ร่วมมือกับแผนกดีไซน์ Centro Stile เพื่อทำให้ฟังก์ชั่นหลายส่วนที่ได้แรงบันดาลใจจากรถแข่งถูกนำมาใช้กับโมเดลนี้ได้จริง
Cofango แนวทางดีไซน์ที่เป็นเอกสิทธิ์ของ Lamborghini
แนวทางออกแบบที่เรียกว่า Cofango เป็นการผสมคำในภาษาอิตาเลี่ยนระหว่าง Cofano (กระโปรงหน้ารถยนต์) กับ Parafango (ซุ้มล้อหน้า) โดยทีมงาน Automobili Lamborghini คิดค้นขึ้นด้วยการกำหนดรูปแบบดีไซน์ตั้งแต่ฝากระโปรงหน้า, ซุ้มล้อ และกันชนหน้าให้กลายเป็นชิ้นเดียวกัน สร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัวให้ Huracán STO โดยได้แรงบันดาลใจจากรถระดับตำนานของแบรนด์ Lamborghini Miura และ Sesto Elemento แต่จะมีความแตกต่างตรงที่ชิ้นส่วนด้านหน้าทั้งหมดผลิตขึ้นจากคาร์บอนไฟเบอร์ที่ทีมงาน R&D ของพวกเขาพัฒนาขึ้นจากเทคนิคการพรินต์ 3D ที่ล้ำสมัย
เช่นเดียวกับโครงสร้างตัวถังของรุ่น STO มากกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีน้ำหนักเบา แต่เสริมความแข็งแรงให้ตัวถังได้เป็นอย่างดี ทำให้น้ำหนักรถเปล่าอยู่ที่ 1,339 กิโลกรัม ลดลงไป 43 กิโลกรัม หากเทียบกับ Huracán Performante พร้อมทั้งมีออปชั่นเสริมอย่างล้อแม็กนิเซียมน้ำหนักเบาให้เลือกติดตั้งอีกด้วย
ดีไซน์ด้านหน้าใหม่ของ Huracán STO ไม่เพียงจะช่วยลดน้ำหนักของตัวรถเท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดสมรรถนะจากสนามแข่งอีกด้วย โดยช่องดักอากาศบริเวณฝากระโปรงหน้าจะช่วยจัดระเบียบให้อากาศไหลเวียนผ่านตัวรถได้ดีกว่าเดิม ส่งผลให้การระบายความร้อนของเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพดีขึ้น รวมทั้งติดตั้ง Splitter แบบใหม่ที่จะทำให้อากาศไหลเวียนสู่ใต้ท้องรถจนถึง Diffuser ด้านหลังช่วยลดการต้านลมเมื่อต้องการทำความเร็วในทางตรง
ขณะที่การอัพเกรดระบบแอโรไดนามิกในส่วนอื่นๆ จะมีการออกแบบซุ้มล้อหลังที่พัฒนาจากสนามแข่งช่วยให้ตัวรถมีความลู่ลมมากขึ้นพร้อมเพิ่มแรงกดด้านท้ายในเวลาเดียวกัน ทำให้สมรรถนะการขับทั้งทางตรง และในขณะเข้าโค้งมีความใกล้เคียงกับรถแข่ง โดยบริเวณฝากระโปรงหลังติดตั้งครีบอากาศเพื่อให้กระแสลมถูกตัดผ่านไหลสู่สปอยเลอร์ด้านหลัง ส่งผลให้ตัวรถมีความนิ่งมากขึ้นเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง
นอกจากนี้ช่องดักอากาศ NACA ที่ถูกติดตั้งบนซุ้มล้อหลังยังทำหน้าที่ดักอากาศเข้าไปในเครื่องยนต์ช่วยให้สร้างพละกำลังได้อย่างต่อเนื่องถึงจะขับด้วยความเร็วสูงเป็นเวลานาน รวมทั้งออกแบบฝาครอบเครื่องยนต์ด้านหลังพร้อมช่องดักอากาศ และครีบลำเลียงอากาศเพื่อช่วยให้การระบายความร้อนจากห้องเครื่องอีกทางหนึ่งเดียว
ทั้งหมดนี้ทำให้ Huracán STO สามารถสร้างแรงกดได้สูงสุดหากเทียบกับรถคลาสเดียวกัน และค่าบาลานซ์ที่ดีที่สุดในกลุ่มรถขับเคลื่อนล้อหลัง โดยซูเปอร์คาร์รุ่นนี้มีประสิทธิภาพการไหลเวียนของอากาศที่ดีขึ้นถึง 37 เปอร์เซ็นต์ และสร้างแรงกดได้มากขึ้น 53 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับ Huracán Performante
ได้เวลา! สัมผัสขุมกำลัง 640 แรงม้า
หลังจากทานอาหารเที่ยงในห้องรับรองบริเวณพิตต์เลนเป็นที่เรียบร้อย สื่อมวลชนทุกคนมารวมตัวกันเพื่อรับฟังข้อมูลของ Huracán STO, รูปแบบการขับขี่ และข้อกำหนดความปลอดภัยจากคุณอภิชัจจ์ วิวัฒน์สุรกิจ ผู้บริหาร Renazzo Motor และทีมอินสตรักเตอร์ Lamborghini ที่บินตรงมาจากประเทศอิตาลี ก่อนจะออกไปสัมผัสความดุดันของบรรดากระทิงเปลี่ยวหลากหลายสีที่จอดเรียงแถวรออยู่ด้านนอก
ในการขับเซสชั่นแรกทีมงาน Grand Prix Online ถูกเรียกไปที่ Huracán STO คันสีเขียว โดยพอจะมีเวลาครู่หนึ่งทำความคุ้นเคยกับห้องโดยสารแบบพวงมาลัยซ้ายที่การตบแต่งได้แรงบันดาลใจจากรถแข่งด้วยการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ติดตั้งบริเวณแผงประตูด้านใน, เบาะนั่งแบบสปอร์ตพร้อมแผ่นหลังจากคาร์บอนไฟเบอร์, พวงมาลัยหนังอัลคันทาร่าเพื่อสัมผัสที่กระชับมือ, พรมบริเวณพื้นรถถูกแทนที่ด้วยแผ่นอลูมิเนียมน้ำหนักเบา, ระบบเซฟตี้เบลท์ 4 จุดยึดไว้กับคานไทเทเนียมด้านหลังเบาะที่พัฒนาร่วมกับ Akrapovic เพิ่มระดับความปลอดภัยตามสไตล์รถแข่ง และหน้าจอแสดงข้อมูลระบบ HMI ถูกพัฒนาจาก Huracán EVO เพื่อบอกค่าสำคัญต่างๆ ให้แก่ผู้ขับขี่อย่างแม่นยำที่สุด
เมื่อทุกอย่างพร้อมสต๊าฟฟ์ส่งสัญญาณให้ออกตัวตาม Huracán STO คันสีเทาของอินสตรักเตอร์ เข้าสู่พีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต สนามแข่งระดับตำนานของประเทศไทย โดยรอบแรกเป็นเหมือนการวอร์มอัพสร้างความคุ้นเคยกับรถ และด้วยสภาพอากาศที่มีฝนตกลงมาทำให้ทุกคันถูกกำหนดให้ขับในโหมด Pioggia (ในภาษาอิตาเลี่ยนแปลว่า–ฝน) จากเดิมที่ควรจะเริ่มด้วย STO โหมดที่ถูกปรับแต่งให้เหมาะสำหรับการขับในชีวิตประจำวันทั่วไป ก่อนจะเข้าสู่ Trofeo ที่จะปลดปล่อยพลังของรถออกยามอยู่ในสนามแข่ง
แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า Pioggia เป็น Wet Mode เหมือนรถธรรมดาทั่วไป ข้อมูลในเว็บไซต์ Lamborghini ระบุว่า Pioggia ยังคงเป็นรูปแบบการขับในสนามแข่ง (Track Mode) แต่ปรับสมรรถนะให้เหมาะสมกับพื้นผิวถนนที่เปียก รวมถึงการทำงานของระบบป้องกันการลื่นไถล, ระบบกระจายแรงบิด, ระบบเลี้ยวล้อหลัง และระบบเบรก ABS โดยระบบ Lamborghini Veicolo Dinamica Integrata (LDVI) ที่ติดตั้งในรุ่น STO จะช่วยให้การขับเป็นไปอย่างราบรื่นด้วยการวิเคราะห์แรงยึดเกาะของรถเพื่อถ่ายกำลังแรงบิดสูงสุดสู่ล้อโดยไม่ให้เกิดอาการลื่นไถลในทางตรง และควบคุมการกระจายแรงบิดสู่ล้อที่มีแรงยึดเกาะสูงสุดในขณะกำลังเข้าโค้ง
ทำให้ช่วง 2-3 โค้งแรก อาการของเครื่องยนต์อาจจะพยศเล็กน้อยด้วยความเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง แต่เหมือนพอระบบจับได้ว่ากำลังโลดแล่นอยู่ในสนามแข่ง Huracán STO เริ่มปลดปล่อยกำลังให้เราได้สัมผัสความเร้าใจจากขุมกำลัง V10 แบบ N/A ที่ส่งกำลังได้สูงสุด 640 แรงม้า และแรงบิด 565 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.0 วินาที และพอมีโอกาสลองกดคันเร่งในช่วงออกจากโค้งเข้าสู่ทางตรงผ่านหน้าแพ็ดด็อกถึงจะเป็นระยะทางสั้นๆ แต่ก็มากพอที่จะทำให้เราได้สัมผัสความเร็วระดับ 200 กม./ชม. จากกระทิงเปลี่ยว Huracán STO คันนี้
ยิ่งการขับเพิ่มรอบขึ้นไปเรื่อยๆ ความสนุกเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยจากการเป็นโมเดลที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากรถแข่งหรือ Track Focus โดยเฉพาะจังหวะที่เข้าโค้งต่อเนื่องทำให้สัมผัสได้ถึงระบบช่วงล่างที่ปรับตั้งมาโดยเฉพาะ Lamborghini MagneRide 2.0 ทำให้ Huracán STO สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของรถแข่งได้อย่างไร้ขีดจำกัดไม่ว่าจะเป็นในสนามแข่งหรือถนนปกติ รวมทั้งการควบคุมรถได้ดั่งใจจากระบบเลี้ยวล้อหลังที่ถูกติดตั้งเข้ามาเพิ่ม เรียกว่าขับในสภาพแวดล้อมแบบไหนซูเปอร์คาร์คันนี้มอบความมั่นใจได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
อีกองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้มั่นใจกับการขับในสนามแข่งท่ามกลางสายฝนคือระบบเบรก CCM-R ที่ติดตั้งใน Huracán STO เทคโนโลยีล่าสุดของ Brembo ผู้ผลิตระบบเบรกระดับโลกสัญชาติอิตาเลี่ยนที่พัฒนาจากรถแข่งฟอร์มูล่า วัน โดยชุดเบรกนี้สามารถทนความร้อนได้มากกว่าระบบเบรกเซรามิกทั่วไปถึง 4 เท่า และมีอายุการใช้งานในสนามแข่งยาวนานขึ้น 60 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งเพิ่มขีดจำกัดของแรงเบรกได้มากถึง 25 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ระยะการเบรกลดลงถึง 7 เปอร์เซ็นต์ หรือพูดง่ายๆ คือลดความเร็วจาก 200 กม./ชม. สู่จุดหยุดนิ่งจะใช้ระยะทางเพียง 110 เมตร
ในขณะเดียวกันประสิทธิภาพในการเกาะถนนที่ยอดเยี่ยมของ Huracán STO มาจากการที่ทาง Lamborghini ตัดสินใจเลือก Bridgestone ผู้ผลิตยางรถยนต์ชั้นนำระดับโลกให้เข้ามาพัฒนายางให้ซูเปอร์คาร์รุ่นนี้ โดยจะมีการประทับอักษร L (แบบตัวเขียน) บริเวณแก้มยางด้านนอก เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่ายางรุ่นนี้ถูกผลิตขึ้นเพื่อ Huracán STO เท่านั้น
Bridgestone Potenza Sport เป็นยางที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองการขับขี่แบบสปอร์ตโดยเฉพาะ โครงสร้างยางถูกออกแบบ และพัฒนาประสิทธิภาพของแรงในการยึดเกาะถนนช่วยให้คนขับมั่นใจถึงการตอบสนองที่ฉับไวแม่นยำในการหักเลี้ยวหรือเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง โดยดอกยางแบบไฮบริดที่ตอบสนองการควบคุมอย่างเหนือชั้นในทุกระดับความเร็ว และการออกแบบลายดอกยางแบบไม่สมมาตรยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของแก้มยาง ลดการบิดตัวของบล็อกดอกยาง ช่วยให้ยึดเกาะถนนได้ดีเยี่ยม และเพิ่มเสถียรภาพทุกการเข้าโค้ง
นอกจากนี้การจัดวางร่องรีดน้ำให้เหมาะสม ทำให้ยาง Bridgestone Potenza Sport ไม่เพียงจะรีดน้ำได้เร็วขึ้น แต่มีการเพิ่มพื้นสัมผัสกับผิวถนน ยึดเกาะ, การเข้าโค้ง และเบรกบนถนนเปียกได้ดีกว่าเดิมจนเห็นได้ชัดเจนจากการขับในงานวันนี้ โดยเทคโนโลยีการออกแบบร่องดอกยางแบบ 3 มิติ ยังช่วยลดการบิดตัวเพิ่มความแข็งแรงของร่องดอกยาง, ต้านทานการสึกหรอ เพิ่มประสิทธิภาพการเบรกขณะที่ขับด้วยความเร็วสูงให้ดียิ่งขึ้น
The Last Supercar V10 Standing…ก่อนเข้าสู่ยุคไฟฟ้า
บรรดาแฟนซูเปอร์คาร์คงจะทราบกันดีว่ายุคของเครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine) ใกล้จะสิ้นสุดลงในอีกไม่นานนี้ จากกฎควบคุมการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดของหลายประเทศทางฝั่งยุโรป รวมถึงสหรัฐฯ จนกลายเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ผลิตรถยนต์พัฒนาระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเพื่อเป็นอนาคตใหม่ของการเดินทาง
หากวิเคราะห์จากการที่ Lamborghini ประกาศแผนสู่ความยั่งยืน “Direzione Cor Tauri” เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว โดยจะนำเสนอโมเดลแรกที่มาพร้อมเทคโนโลยีไฮบริดในปี 2023 และอีก 1 ปีถัดจากนั้นจะเพิ่มขุมกำลังไฮบริดเป็นตัวเลือกในทุกโมเดล ก่อนจะเผยโฉมซูเปอร์คาร์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของแบรนด์ในปี 2028
— นั้นหมายความว่า Huracán จะเป็นโมเดลเครื่องยนต์ V10 รุ่นสุดท้ายของพวกเขา (เช่นเดียวกับ Aventador ที่มีกระแสข่าวว่าจะยุติการผลิตในช่วงปลายปีนี้)
และถ้าคุณมีโอกาสเป็นเจ้าของ STO โมเดลแบบ Track Focus ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากรถแข่ง Lamborghini ที่คว้าแชมป์รายการระดับตำนาน ในราคาเริ่มต้นที่ 29.99 ล้านบาท คงเป็นเหมือนการครอบครองบางสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจที่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าถึงจะมีเงินจำนวนเท่านี้หรือมากกว่าคุณก็ไม่สามารถหาซื้อได้อีกแล้ว
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: Renazzo Motor
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th