LEXUS IS250 (XE20) สปอร์ตซีดานขนาดเล็ก “ขับหลัง” ที่ยังให้อารมณ์ “สนุก”
ถ้าใครเกิดทันในช่วงปลายยุค 90’s ในช่วงปี 1999 เข้าสู่ยุค “มิลเลนเนียม” ก็จะต้องจำเจ้า TOYOTA ALTEZZA RS200 ขุมพลัง 3S-GE Beam หรือ LEXUS IS200 ขุมพลัง 1G-FE ที่เน้นความนุ่มนวล แต่ DNA ของมันก็คือ “เป็นสปอร์ตซีดานขับหลังขนาดเล็กรุ่นเดียวของญี่ปุ่น” ที่ทำมาเพื่อเทียบกับ BMW 3 Series และ MERCEDES – BENZ C Class ซึ่งตอนช่วงนั้น จะนำเข้าโดย เกรย์มาร์เก็ต หรือเรียกให้หรูหน่อยก็คือ “ผู้นำเข้าอิสระ” ราคา “สองล้านปลาย” ก็คงยากที่จะหาคนทั่วไปซื้อ เพราะราคาขนาดนี้ คนที่ไม่เข้าใจก็เบือนหน้าหนี พร้อมรำพึงเบาๆ ว่า “ตูไปซื้อรถฝรั่งขับดีกว่า” ซึ่งต้องคนที่ชอบอะไรแบบ Niche จึงจะยอมควักกระเป๋าซื้อมัน…
ในช่วงปี 2006 LEXUS ผลิต IS250 ซึ่งยังคงยืนยันความเป็นสปอร์ตซีดานขนาดเล็กขับหลัง ที่ให้อารมณ์หรูหราและขับสนุก ทางผู้เขียนเอง ก็มีโอกาสได้ทดสอบตอนเปิดตัวใหม่ๆ ก็เลยมองว่า เป็นรถที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น อาจจะไม่ได้เหมาะสำหรับคนทั่วไป ที่เน้นการใช้งานทั่วไปจริงๆ แต่ IS250 มันออกจะต้องแนวๆ “พ่อบ้านแอบซิ่ง” ที่ออกจะเป็นคนที่ “ชอบขับรถ” จริงๆ ถึงจะชอบมัน และตอนนี้ราคารถก็อยู่ในระดับ “อีโคคาร์” ป้ายแดงเสียด้วย จึงน่านำเสนอ เราขอนำเสนอแบบ “โดยสรุป” นะครับ…
จุดเด่น
- รูปทรงสวย มีเสน่ห์ แม้รถจะออกมานานถึง 15 ปีแล้ว ยังดูทันสมัย ยิ่งตกแต่งยิ่งสวย และมีรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ปี 2008 – 2013 ที่ปรับหน้าตาใหม่ ดูสวยสปอร์ตมาก ยังหากินได้อีกนาน และถ้าใครชอบของแปลก นี่เลย IS250 C หรือ Convertible สปอร์ตเปิดประทุน หล่อจริงๆ ครับ…
- อะไหล่มีหลากหลาย ทั้งเบิกใหม่แท้ เทียบแท้ และ Used จากญี่ปุ่น เพราะรถมีขายทั่วโลก จึงทำให้โรงงานผลิตอะไหล่ OEM ของรุ่นนี้เยอะมาก ส่วนที่ว่าจะซื้อที่ไหนดี ตอนนี้ก็หาได้ในโลกออนไลน์เป็นหลัก เพราะส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนใช้ LEXUS หากันมาเอง หาไปหามาก็กลายเป็นธุรกิจ แต่ก็ต้องพิจารณาหน่อยเพราะบางกรณีอาจจะไม่มีการรับประกันสินค้า และไม่ได้เห็นของจริง ส่วน “เชียงกง” นั้น ออกจะหาได้น้อยหน่อย เพราะส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากนำเข้ามาขาย เพราะในบ้านเราเป็น “ชนกลุ่มน้อย” เมื่อเทียบกับ “สายฝอ” ที่มีเยอะกว่า ส่วน “ราคา” ก็ต้องแล้วแต่ความพอใจ ความยากง่ายในการหา รวมถึงค่าเงินและอะไรต่างๆ ในขณะนั้น ให้ผู้ซื้อสอบถามเปรียบเทียบกันหลายๆ เจ้าดีที่สุด…
- การขับขี่ที่ออกแนวนุ่มเงียบ ขับสบาย แต่ก็ยังมีการทรงตัวที่ดี แนะนำว่า ซื้อมาแล้วก็ลองตรวจเช็คก่อน ว่าอะไรเสื่อมเสียบ้าง ยอม “โละทิ้งชุดใหญ่” ใช้อะไหล่ใหม่ หรือมือสองสภาพดี ก็จะทำให้ขับดีใกล้เคียงกับมาตรฐานเดิม แต่ถ้าจะเพิ่มการยึดเกาะ หรือ แต่งสวยขึ้น ก็สามารถหาช่วงล่างแต่งอัพเกรดได้อยู่…
- ด้วยความที่มีพื้นฐานจาก TOYOTA รู้ดีว่า “ทนทาน ไม่จุกจิก” อันนี้เป็นจุดเด่นของ LEXUS อยู่แล้ว ทำให้ “สายฝอ” หลายคน หันมาเล่นแบรนด์นี้กัน…
- ตัวรอง Top และตัว Top จะได้เครื่องเสียง Mark Levinson เปิดบันเทิงหูดีเหมือนกัน แต่จะออกแนวคลาสสิกๆ ตามความ Premium ของแบรนด์…
- เครื่องยนต์ 4GR-FSE V6 2.5 ลิตร มีกำลัง “212 แรงม้า” นิสัยแรงแบบนุ่มๆ ตามสไตล์รถระดับ Premium และไม่จุกจิก ซ่อมบำรุงตามระยะเป็นพอ…
จุดที่ควรพิจารณา
- ภายในสวยทันสมัยก็จริง แต่เนื้อที่ค่อนข้างเล็ก จากการที่ได้เคยลองทั้งนั่งและขับ คนสูง 175 ซม. ขึ้นไป ด้านหน้าจะแคบตรงที่วางขา เพราะคอนโซลกลางค่อนข้างใหญ่ แต่ด้านหลัง “หัวเกือบติด เข่าเกือบชิด” โดยเฉพาะคนสูงระดับ 180 ซม. ขึ้นไป เอาจริงๆ แคบกว่า ALTIS ในยุคเดียวกันเสียอีก เนื่องจากมีอุปกรณ์ระบบส่งกำลังไปล้อหลังเยอะ ช่วงล่างหลังก็เป็นแบบ Multi links ที่มีอุปกรณ์มาก เลยเบียดบังเนื้อที่ด้านหลังไปเยอะ ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร เพราะ IS ก็จะเน้น “เจ้าของขับเอง” อยู่แล้ว…
- กินน้ำมันพอสมควร บางคนก็ไปจูนใหม่ ใช้ E20 หรือบางคนไม่ซีเรียส ซื้อ Used Car มา ก็จับ “ดมแก๊ส” ได้เลย เพราะมันคือ TOYOTA ที่ไม่ต้องกังวลอะไร แต่ต้องเข้าใจว่า “ขายต่อราคาร่วง” นะครับ เพราะคนซื้อรถระดับ LEXUS ส่วนใหญ่มักไม่นิยมคบแก๊ส ถ้าไม่ซีเรียส หรือจะใช้ยาวๆ ไม่สนขายต่อก็จัดไป…
คำแนะนำสำหรับการเลือกซื้อรถ
- ถ้าไม่ได้สนใจความหรูหรานัก ตัว Base แม้จะไม่มีเครื่องเสียง Mark Levinson และได้แค่ล้อ 16 นิ้ว สำหรับคนที่ใช้งานจริงๆ ก็ไม่ได้สนใจตรงนี้ หรือ “คนที่ซื้อมาแล้วจะแต่ง” ถือว่าน่าสนใจ เพราะ “ยังไงก็หาของเปลี่ยน” อยู่แล้ว ราคา “สามปลาย” ก็มีให้เห็นแล้ว ก็อยู่ที่สภาพเป็นหลัก ฟังราคาแล้วก็ “น่าคบมาก” เหมือนกัน ถ้าเป็นรุ่น Top ก็อยู่ราวๆ “ห้าถึงห้ากลาง” แต่ถ้า “ไมเนอร์เชนจ์” ก็มี “หกกว่าๆ” แล้วแต่จะเลือกครับ ว่าจะยอมจ่ายแพงกว่าแล้วจบเลยก็ได้…
- ส่วนอื่นๆ ก็เหมือนการดูรถ Used ทั่วไป สภาพเป็นอย่างไร มีอุบัติเหตุหนักมาหรือไม่ และที่สำคัญ “เคยจมน้ำมาหรือไม่” อันนี้เองที่จะทำให้รถเกิดปัญหาสารพัดตามมาจน “ซ่อมไม่จบ” ได้ ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการดูรถจะดีที่สุด หากผู้ซื้อไม่มีประสบการณ์จริงๆ แต่ในเคสนี้ บางคนก็รับได้ เพราะ “ขายถูกกว่าปกติมากๆ” เจ้าของบางคนก็ “ดี๊ดี” บอกความจริง บางคนก็ไม่ซีเรียส เพราะแค่ซื้อมาแต่ง ขับเล่นๆ หล่อๆ แค่นั้นก็มี…
- อื่นๆ ก็ไม่มีอะไรน่ากังวล เพราะ LEXUS อย่างที่บอกว่ามันไม่จุกจิก ถ้าเจอสภาพดีๆ ซ่อมบำรุงตามระยะ เจ้าของเดิมรักษา ยอมจ่ายสูงหน่อยแต่ก็คุ้มกว่าซื้อรถสภาพโทรมมาซ่อม “จุก” แน่นอน…
- ท้ายสุด เรื่องงบประมาณในการซ่อม ไม่สามารถกำหนดตายตัวได้ เพราะ “อยู่ที่สภาพของรถคันนั้น” บางคันสภาพดีมากๆ เจ้าของเพิ่งซ่อมบำรุงชุดใหญ่มาไม่นาน เจ้าของใหม่แค่เปลี่ยนถ่ายของเหลวแล้วใช้ยาวๆ เลยก็มี อันนี้ “โคตรคุ้ม” แต่โดยหลักแล้วก็เตรียมไว้ “ห้าหมื่นถึงแปดหมื่น” อาจจะมี “เหลือทอน” ครับ…
บทสรุป
จะเรียกว่าเป็นรถหรูราคาน่าคบอีกรุ่นก็ว่าได้ สำหรับ LEXUS IS250 ที่มีคาแรกเตอร์ชัดเจน สมรรถนะดีในแบบ “ญี่ปุ่นยุคพัฒนา” มันอาจจะไม่ “ดูรวย” ในสายตาคนทั่วไปเหมือนกับขับ “สายฝอ” แต่มันก็แสดงถึงสไตล์ของคนที่ต้องการ “มีเอกลักษณ์” ที่แน่ๆ ได้รถ “ประกอบญี่ปุ่น” รวมถึงความเป็นวิญญาณ “โตต้า” ที่ขึ้นชื่อในด้านความทนทาน ถ้าเทียบกับราคาตอนนี้ ออกจะคุ้มและน่าสนใจอยู่ไม่น้อย อาจจะมาจากความนิยมแบรนด์ L บ้านเราสู้ฝั่งเยอรมันไม่ได้ ส่วนคนที่จะเล่น IS250 ก็จะต้องแนวสปอร์ตๆ หน่อย รถมันไม่ได้กว้างขวางสะดวกสบายอะไรนัก ก็จะเน้น “ขับเอง” เป็นหลัก ก็ลองเลือกดูให้เหมาะสมตามการใช้งานและความรู้สึกของตัวเองเป็นหลักก็แล้วกันครับ…
เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี
ข้อมูล : LEXUS FAMILY THAILAND
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th