Lexus LX 700h ครั้งแรกที่รถเอสยูวีเรือธงใช้ไฟฟ้าร่วมขับเคลื่อน
รถเอสยูวีรุ่นเรือธง LX เป็นรถรุ่นเดียวของ Lexus ที่ไม่มีไฟฟ้าช่วยขับเคลื่อนเป็นทางเลือกจนกระทั่งล่าสุดที่เพิ่งมีรุ่น 700h ออกมา พร้อมเน้นในเรื่องความแกร่ง ทนทาน และสมรรถนะด้านออฟโรดจากการอัปเกรดส่วนต่างๆ ของรถ นอกจากนี้ยังมีเกรด Overtrail ที่เน้นสไตล์แกร่งสำหรับการลุยเป็นทางเลือก
Lexus LX 700h มาพร้อมกับระบบไฮบริดใหม่ที่ใช้เครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตร ทวินเทอร์โบ และมอเตอร์พร้อมคลัตช์ติดตั้งระหว่างเครื่องยนต์กับระบบส่งกำลังอัตโนมัติ 10 สปีด ให้กำลังขับเคลื่อน 457 แรงม้า แรงบิด 790 นิวตัน-เมตร
รถเอสยูวีรุ่นใหม่ที่มีไฟฟ้าช่วยขับเคลื่อนยังมีทั้ง Alternator และ Starter ซึ่งสิ่งแรกทำหน้าที่จุดระเบิดอิสระ ขณะที่สิ่งหลังให้พลังงานแบตเตอรีเสริม 12V จึงทำให้รถยังคงขับเคลื่อนทั้ง 4 ล้อได้แม้ระบบไฮบริดของรถจะมีปัญหา รวมไปถึงยังคงใช้งาน Lo-range Transfer Case, ระบบควบคุมความสูงของรถ Active Height Control และระบบ Active Traction Control ควบคุมการทรงตัวของรถได้เพื่อให้ความมั่นใจว่ารถจะมีสมรรถนะด้านออฟโรดอยู่เสมอ
แบตเตอรีนิเกิลเมทัลไฮดรายด์ของรถถูกติดตั้งที่พื้นรถด้านหลังแต่ไม่มีการเปิดเผยความจุออกมา โดยแบตเตอรีอยู่ในถาดป้องกันน้ำพร้อมเซ็นเซอร์เพื่อทำให้รถสามารถลุยน้ำได้ลึก 700 มม. รวมทั้งรถยังมี AC Inverter ป้องกันน้ำสำหรับให้พลังงานแก่อุปกรณ์ภายนอกได้ถึง 1,500 W หรือ 2,400 W
นอกจากนี้ทางวิศวกรยังทำการอัปเกรดสถาปัตยกรรม GA-F ของรถ โดยปรับการออกแบบเพื่อให้ลดความถี่ในการสั่นลง มีการเสริมก้านยึดที่แผงจอแสดงข้อมูลการขับและเสริมความแข็งแกร่งที่หม้อน้ำเพื่อให้ความรู้สึกในการควบคุมพวงมาลัยที่ดีขึ้น รวมไปถึงมีการอัปเกรดจุดยึดด้านหลังแท่นเครื่องยนต์เพื่อรองรับน้ำหนักที่มากขึ้น
นอกจากเพิ่มรุ่นไฮบริดแล้วทางผู้ผลิตรถยนต์พรีเมียมจากญี่ปุ่นยังเพิ่มเกรด Overtrail ที่เพิ่มความแกร่งมากขึ้นให้กับรถ หลังจากที่มีเกรดแต่งนี้ให้กับรุ่น GX และ NX มาก่อนแล้ว ซึ่งรถจะมากับล้ออลูมินัมสีเทาด้านและยางออล-เทอร์เรนขนาด 265/70R 18 รวมทั้งมีความโดดเด่นด้วยสีพิเศษ Moon Desert ร่วมกับกระจังหน้าดำและการแต่งภายนอกด้วยสีดำ ส่วนห้องโดยสารใช้สี Monolith ร่วมกับสีดำ รวมไปถึงมี Differential Lock หลังเพิ่มนอกจาก Differential Lock กลางซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถทั้งหมด
รถเอสยูวีรุ่นเรือธงทั้งหมดยังได้รับการอัปเกรดมีจอแสดงข้อมูลการขับขนาด 12.3 นิ้วและแท่นชาร์จไร้สายที่ชาร์จได้เร็วขึ้น รวมไปถึงมากับระบบความปลอดภัย Lexus Safety System+ ล่าสุด ส่วนการขายรถรุ่นไฮบริดจะเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th