Maserati Levante เอสยูวี คันแรก จาก มาเซอร์ราติ
ปัจจุบันรถยนต์อเนกประสงค์ เอสยูวี ดูเหมือนจะได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะด้วยความที่ตัวรถมีความสะดวกสบาย กว้างขวาง หรูหรา และด้วยตัวรถที่สูงกว่ารถซีดานทำให้ทัศนวิสัยดีขับง่าย และสามารถวิ่งได้ทั้งทางออนโรด และออฟโรด (แบบเล็กๆนะครับไม่ใช่เอาไปลุยป่าลึก) ด้วยความที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าอย่างมากมายจึงทำให้ค่ายรถที่ผลิตรถซุปเปอร์คาร์หันมาสนใจในตลาดรถยนต์เอสยูวีกันมากขึ้น อาทิเช่น ลัมโบกินี่ ปอร์เช่ ที่นำร่องไปก่อนหน้านี้
หลังจากที่ มาเซราติ ค่ายรถยนต์หรูอิตาลี ประกาศสู้ศึกตลาด SUV และได้ทำการเผยรถต้นแบบ มาเซราติ เลวานเต (Maserati Levante) เมื่อปี 2013 ล่าสุด มาเซราติ ได้ส่งรถยนต์ เอส ยู วี คันแรกของค่าย ที่ทั้งแรงทั้งหรู เข้าสู่ตลาดภายใต้ชื่อ Maserati Levante เรามาทำความรู้จักน้องใหม่คันนี้กันดีกว่า
Maserati Levante รถเอสยูวีสุดหรูจากค่ายมาเซราติ ที่ผสานรถซุปเปอร์คาร์ และรถเอสยูวีเข้ากันได้อย่างลงตัว เจ้าคันนี้เข้ามาอวดโฉมเป็นครั้งแรกในไทยที่งานบางกอก มอเตอร์โชว์ เอกลักษณ์อันโดดเด่นของมาเซราติ ด้านหน้าได้รับการออกแบบให้ความรู้สึกถึงความก้าวร้าว ดุดันไม่ยอมใคร ไฟหน้าทรงเรียวงามถูกแยกออกเป็น 2 ส่วนอย่างชัดเจน ส่วนบนของโคมไฟใหญ่จะเชื่อมโยงเข้ากับกระจังขนาดใหญ่ที่ด้านหน้า ด้านข้างยังคงเน้นเส้นสายที่เรียบง่ายชัดเจน ซึ่งเป็นจุดเด่นและเอกลักษณ์ของมาเซราติ หลากหลายรุ่น มีแนวช่องอากาศแบบ 3 แถบติดตั้งอยู่บริเวณบังโคลนด้านหน้า มีโลโก้ “SAETTA” อยู่บริเวณเสาซี ประตูขนาดใหญ่แบบไม่มีกรอบหน้าต่าง ส่วนประตูด้านหลังจะมีขนาดที่เรียวเล็กลง ผสานเป็นอย่างดีกับเส้นสายด้านข้างที่พลิ้วไหวราวกับสายน้ำ จุดเด่นดังที่กล่าวมาทั้งหมดจะแสดงถึงความเป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูง
มาเซราติ เลวานเต 2016 (Maselati Levante 216) ยังมีช่วงล่างที่ออกแบบเพื่อรองรับการใช้สมรรถนะอย่างเต็มที่บนท้องถนน และเพิ่มเติมสมรรถนะบนเส้นทางแบบ ออฟโรด เข้าไปด้วย ด้วยโช้คอัพไฟฟ้า มาพร้อมแอร์สปริงที่สามารถปรับได้หลายระดับ “Q4” คือระบบ ออล-วีล-ไดรฟ์ (All-wheel drive)
ในเรื่องของความทันสมัย เลวานเต มาพร้อมกับฟังก์ชั่นการเตือน เบรกรถอัตโนมัติ ระบบการเปลี่ยนเลน และมีกล้องแจ้งเตือนรอบทิศทาง หรือแม้กระทั้งแจ้งเตือนจุดบอดในระยะสายตาที่ผู้ขับขี่ไม่สามารถมองเห็นได้อีกด้วย ถือว่าเค้าให้ความปลอดภัยกับผู้ขับขี่เป็นอย่างมากมีโลโก้บนเสาหลังคาหลัง ดิฟฟิวเซอร์ท้ายสร้างความโดดเด่นให้ท่อไอเสียคู่
ด้านขุมกำลังมีให้เลือกใช้ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล V6 ทวินเทอร์โบ 3,000 ซี.ซี. 410 แรงม้า, เครื่อง V8 ทวินเทอร์โบ 3,800 ซี.ซี. 530 แรงม้า และเครื่องยนต์ดีเซลเล็กสุด V6 ดีเซลเทอร์โบ 3,000 ซี.ซี. 275 แรงม้า ผ่านมาตรฐานไอเสีย EURO 6 ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ที่ได้รับการปรับเซตมาเป็นพิเศษสำหรับเอสยูวีรุ่นนี้โดยเฉพาะ แต่เครื่องยนต์ที่จะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย คือ เครื่องยนต์เบนซิน V6 ดีเซลเทอร์โบ 3,000 ซี.ซี. 275 แรงม้า พร้อมระบบ “Q4” ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะและรองรับด้วยระบบกันสะเทือนด้วยถุงลมที่มีมาตรฐานสูง พร้อมขายในประเทศไทยแล้ว ทั้งสองรุ่นคือ ดีเซล L ราคา 7.99 และดีเซล H 8.39 บาท
เรื่อง ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th