MAZDA รถยอดเยี่ยมแห่งปี 2023
Best Hatchback Under 1,300 c.c.
Mazda2 Skyactiv-G
ต้องยอมรับว่างานดีไซน์ของแบรนด์ Mazda ซึ่งมีแรงบันดาลใจและการพัฒนาจากแนวคิด Kodo – Soul of Motion ภายใต้คอนเซปต์ Less is More จากสุนทรียศาสตร์แบบญี่ปุ่น คือสิ่งที่ทำให้คณะกรรมการในงาน Thailand Car of The Year 2023 ไม่อาจละสายตา กระทั่งพัฒนาเป็นความรู้สึกเชิญชวนให้เข้ามาสัมผัสอย่างลึกซึ้ง นั่นคือ จุดเริ่มต้นที่เยี่ยมยอดในการสร้างความประทับใจ เพื่อคว้ารางวัลอันทรงเกียรติ ดังเช่นเรื่องราวของ Mazda2 Skyactiv-G Hatchback ที่ชนะใจคณะกรรมการ โดยไม่ได้มีเพียงความเรียบง่าย เส้นสายงานดีไซน์ภายนอกบนตัวถังแบบ 5 ประตู Hatchback เท่านั้น
หากยังรวมถึงภายในที่สะท้อนเอกลักษณ์ของผู้ขับขี่ ภายใต้การผสมผสานความสปอร์ต และความพรีเมียมเข้าไว้ด้วยกัน รวมไปถึงการออกแบบฟังก์ชัน และตำแหน่งการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อตอบสนองอรรถประโยชน์ของผู้ขับขี่และผู้โดยสารมากที่สุด ตามคอนเซปต์ HMI (Human-Machine Interface) ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันกับรถตามหลักปรัชญา Jinba-Ittai
พร้อมการติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายระดับไฮไลต์มาให้อย่างครบครัน เช่น เบาะหนังสีดำสไตล์สปอร์ตดีไซน์ใหม่ สามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้า 6 ทิศทางฝั่งคนขับ พร้อมระบบบันทึก 2 ตำแหน่ง ซึ่งติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานครั้งแรกในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก
รวมไปถึงฟังก์ชัน Active Driving Display หน้าจอสกรีนใสแสดงข้อมูลการขับขี่, Sport Paddle Shift ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย และ Cruise Control ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ อีกทั้งยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ด้วยอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบ Wireless Charger ตลอดจนการเชื่อมต่อกับระบบ Mazda Connect ที่รองรับระบบ Apple CarPlay® และ Android Auto™ อีกด้วย
เหนืออื่นใด คือ ระบบความปลอดภัยอันล้ำสมัย อาทิ เทคโนโลยีเชิงป้องกัน i-Activsense ที่ประกอบด้วยระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (ABSM), ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA), ระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ (DSC), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล (TCS), ระบบช่วยการออกตัวของรถขณะอยู่บนทางลาดชัน (HLA), ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินเตือนอัตโนมัติ เมื่อเบรกกะทันหัน (ESS)
รวมถึงระบบแสดงภาพ 360 องศารอบทิศทาง ซึ่งมาพร้อมกับระบบเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า 4 จุด และด้านหลังอีก 4 จุด ไปจนถึงระบบควบคุมการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง GVC Plus, ระบบช่วยประหยัดน้ำมัน i-STOP และระบบประหยัดพลังงาน i-ELOOP
ซึ่งทั้งหมดเป็นการช่วยยกระดับความมั่นใจ ให้สามารถใช้ศักยภาพสูงสุดได้จากเครื่องยนต์ Skyactiv-G แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 1.3 ลิตร กำลังสูงสุด 93 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 123 นิวตัน-เมตร ผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Skyactiv-Drive พร้อม Manual Mode แบบ Activematic ที่มากับฟังก์ชัน Drive Selection ให้เลือกเพิ่มความเร้าใจด้วยโหมด Sport รวมกับเทคโนโลยีโครงสร้างตัวถังแบบ Skyactiv-Body และระบบช่วงล่างแบบ Skyactiv-Chassis บนมิติตัวถังขนาดกะทัดรัดสไตล์ Hatchback เพื่อสร้างสรรค์ความสนุกที่รับรู้ได้ชัดเจน เช่นเดียวกับที่คณะกรรมการได้สัมผัส จนสามารถครองรางวัล Best Hatchback Under 1,300 c.c. ไปอย่างสวยงาม
Best Hatchback Under 2,000 c.c.
Mazda3 Fastback
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าพัฒนาการของ Mazda3 ได้เดินทางมาไกล จนผู้บริโภคชาวไทยต่างก็ยอมรับ โดยเฉพาะงานดีไซน์รูปลักษณ์ที่สวยงาม จนแทบไม่ต้องทำศัลยกรรมเพิ่มเติม มากไปกว่านั้นก็คือ ความลงตัวแบบไร้คู่เปรียบ เมื่อเส้นสายจากแนวคิด Kodo – Soul of Motion ในคอนเซปต์ Less is More สุนทรียศาสตร์แบบฉบับชาวอาทิตย์อุทัย ได้ปรากฏอยู่บนเรือนร่างยนตรกรรมแบบ Hatchback
ผสมผสานเป็นความสปอร์ตระดับพรีเมียม ด้วยการอัปเกรดอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายเข้าไปเพิ่มเติม จากรุ่น 2.0 S สู่สถานะของรุ่นสูงสุด 2.0 SP Sports เช่น หลังคา Sunroof แบบไฟฟ้า หนึ่งเดียวในตลาด, ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ, กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ, ชุดเครื่องเสียงคุณภาพสูงจาก Bose® รอบทิศทาง พร้อมลำโพง 12 ตำแหน่ง
รวมไปถึงจุดเด่น อย่าง ระบบความปลอดภัยจากเทคโนโลยี i-Activsense ในการทำหน้าที่ป้องกันความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งประกอบไปด้วยระบบต่างๆ มากมาย เช่น ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM, ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA, ระบบช่วยหยุดรถ เมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง SBS-RC, ระบบปรับองศาไฟหน้าตามการเลี้ยวของรถ AFS, ระบบเตือนเมื่อเกิดความอ่อนล้าขณะขับขี่ DAA
ทั้งยังมีระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LAS, ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน LDWS, ระบบช่วยเบรก และหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง SBS-R, ระบบควบคุมความเร็วและพวงมาลัยตามรถคันหน้า CTS, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ MRCC, ระบบเตือนการชนด้านหน้า และช่วยเบรกอัตโนมัติแบบ Advance หรือ Advanced SBS, ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ ALH และรวมถึงระบบแสดงภาพ 360 องศารอบทิศทาง ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และความมั่นใจในการขับขี่มากยิ่งขึ้น
เห็นได้ชัดจากการทดสอบในแต่ละสถานี ซึ่งคณะกรรมการต่างสัมผัสได้ถึงความสนุกสนานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากการพัฒนาตามหลักปรัชญา Jinba Ittai ที่ต้องการให้คนและรถเป็นหนึ่งเดียวกัน รวมถึงแพลตฟอร์มเจเนอเรชันใหม่ Skyactiv-Vehicle Architecture ที่นำท่วงท่าการเดินอย่างเป็นธรรมชาติ และมีสมดุลของมนุษย์ มาพัฒนาสู่รถยนต์ที่ให้ความรู้สึกเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย พร้อมทั้งมีการติดตั้งระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง G-Vectoring Control Plus เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
เพื่อรีดความสามารถของเครื่องยนต์ Skyactiv-G แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว พิกัด 2.0 ลิตร เรี่ยวแรง 165 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 213 นิวตันเมตร ให้ถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มสมรรถนะ ผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ Skyactiv-Drive 6 สปีด พร้อม Manual Mode แบบ Activematic และฟังก์ชัน Drive Selection ซึ่งนอกเหนือจากความเร้าใจแล้ว ระบบ i-STOP ที่ถูกติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ยังช่วยยกระดับการประหยัดน้ำมันได้ถึง 15.9 กม./ลิตร ตลอดจนสามารถรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึงเกรด E85 อีกด้วย และจากคุณสมบัติที่เพียบพร้อมเช่นนี้ จึงทำให้รางวัล Best Hatchback Under 2,000 c.c ตกเป็นของ Mazda 3 Fastback โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้นนั่นเอง
Best Diesel Sedan Under 1,600 c.c.
Mazda2 Skyactiv-D
อีกหนึ่งรุ่นจาก Mazda2 ที่คว้าชัยชนะไปด้วยคะแนนท่วมท้นจากคณะกรรมการก็คือ Skyactiv-D ในเรือนร่างของยนตรกรรม 4 ประตู Sedan ซึ่งยังคงมากับงานดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวจากแนวคิด Kodo – Soul of Motion ในคอนเซปต์ Less is More จากสุนทรียศาสตร์แบบญี่ปุ่น เช่นกัน
ทั้งยังรวมไปถึงรายละเอียดงานออกแบบภายในที่ลงตัว จากการผสมผสานความสปอร์ต และคุณภาพระดับสูงในการเลือกสรรวัสดุ ตลอดจนการดีไซน์ตำแหน่งฟังก์ชันการใช้งาน และอุปกรณ์ต่างๆ ตามคอนเซปต์ Human-Machine Interface (HMI) เพื่อให้ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารได้รับอรรถประโยชน์ใช้สอยสูงสุด พร้อมกับสร้างความรู้สึกการเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างตัวรถและผู้ขับขี่ ตามปรัชญา Jinba-Ittai ด้วยเช่นกัน
ขณะที่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกก็มาเต็มพิกัด เช่นเดียวกับรุ่นสูงสุดของเครื่องยนต์ Skyactiv-G รวมไปถึงออปชันสุดล้ำ ที่ติดตั้งมาให้เป็นครั้งแรกในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก เช่น เบาะนั่งสไตล์สปอร์ต ฝั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อม Memory 2 ตำแหน่ง, หน้าจอ Active Driving Display แบบสกรีนใส สำหรับแสดงข้อมูลการขับขี่, Sport Paddle Shift ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย และ Cruise Control ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ รวมถึง Wireless Charger และการเชื่อมต่อโปรแกรม Mazda Connect ซึ่งรองรับได้ทั้ง Apple CarPlay® และ Android Auto™ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ได้อย่างครบครัน
ส่วนสำคัญที่ทำความประทับใจให้กับคณะกรรมการจนสามารถคว้ารางวัล Best Diesel Sedan Under 1,600 c.c. ไปครองได้ ก็คือสมรรถนะที่ประกอบด้วยโครงสร้างตัวถังแบบ Skyactiv-Body, ระบบช่วงล่างแบบ Skyactiv-Chassis และขุมพลัง Skyactiv-D เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 1.5 ลิตร เสริมแรงด้วยเทอร์โบแปรผัน สร้างกำลังสูงสุด 105 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุดที่โดดขึ้นไปถึง 250 นิวตัน-เมตร ในรอบต่ำตั้งแต่ 1,500 ไปจนถึง 2,500 รอบต่อนาที
ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Skyactiv-Drive 6 สปีด พร้อม Manual Mode แบบ Activematic จนได้มาซึ่งยนตรกรรมซีดาน ที่มีบุคลิกสปอร์ต และขับสนุกอย่างชัดเจน ตั้งแต่เริ่มออกสตาร์ทจากจุดหยุดนิ่ง แบบที่เรียกได้ว่าสามารถเปลี่ยนสถานีทดสอบในงาน Thailand Car of The Year 2023 ให้กลายเป็นสวนสนุก และสอบผ่านไปได้อย่างสบายๆ
โดยส่วนหนึ่งของความมั่นใจดังกล่าว คือ ความดีความชอบจากระบบความปลอดภัยสุดล้ำ i-Activsense เช่น ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (ABSM), ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA), ระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ (DSC), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล (TCS), ระบบช่วยการออกตัวของรถขณะอยู่บนทางลาดชัน (HLA), ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินเตือนอัตโนมัติ เมื่อเบรกกะทันหัน (ESS)
รวมถึงระบบแสดงภาพ 360 องศารอบทิศทาง ซึ่งมาพร้อมกับระบบเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า 4 จุด และด้านหลังอีก 4 จุด ไปจนถึงระบบควบคุมการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง GVC Plus และที่สำคัญ นอกจากขับสนุกแล้ว Mazda2 Skyactiv-D Sedan ยังถูกยกระดับขีดความสามารถการประหยัดน้ำมันมากขึ้น ด้วยระบบ i-STOP และระบบ i-ELOOP ซึ่งถูกติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานอีกด้วยเช่นกัน
Best Diesel SUV Under 2,500 c.c.
Mazda CX-8
ปรัชญาการออกแบบ Kodo Design ภายใต้คอนเซปต์ Less is More ยังคงเป็นเงื่อนไขสำคัญในการสร้างความหรูหรา สง่างาม และถ่ายทอดสู่ยนตรกรรมทุกรุ่นจากแบรนด์ Mazda ซึ่งนั่นทำให้ครอสโอเวอร์พิกัดใหญ่สุดในค่าย อย่าง Mazda CX-8 ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยว น่าหลงใหลแบบคาดไม่ถึง
ความสะดุดตาของ Mazda CX-8 มากับการอัปเกรดความหรูหรามากขึ้น ด้วยกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ สี Gun Metallic ตามแบบฉบับของ Mazda พร้อมล้ออัลลอยด์ดีไซน์ใหม่ ขนาด 19 นิ้ว ก่อนจะสะท้อนภาพลักษณ์ความหรูหราระดับพรีเมียมให้ชัดเจน ด้วยหลังคา Sunroof ไฟฟ้า
ภายในปรุงแต่งขึ้นใหม่เช่นกัน ด้วยวัสดุคุณภาพสูงใหม่ เป็น Metal Wood ที่มาพร้อมเบาะหนัง Nappa สีแดง Deep Red ทั้ง 3 แถว 6 ที่นั่ง แบบ Captain Seat ปรับไฟฟ้า แยกอิสระ ซ้าย-ขวา พร้อมคอนโซลกลาง ที่สามารถเดินเชื่อมถึงเบาะนั่งแถว 3 ทั้งยังเพิ่มความสะดวกในการขนสัมภาระมากขึ้น จากประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบแฮนด์ฟรี และด้วยความเป็นรถอเนกประสงค์สไตล์ครอบครัว “ออปชัน” ต่างๆ จึงถูกจัดสรรมาให้เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์อย่างครบครัน อาทิ Wireless Charger ที่รองรับได้ทั้ง Apple CarPlay® และ Android Auto™ แสดงผลบนหน้าจอสี Center Display แบบ Touch Screen ขนาด 8 นิ้ว ควบคุมด้วย Center Commander ตลอดจนมีการติดตั้งโปรแกรม Mazda Connect เทคโนโลยีการเชื่อมต่อสุดล้ำสมัยจากสมาร์ทโฟนผ่านสัญญาณ Bluetooth
รวมไปถึงความมั่นใจจากระบบความปลอดภัยชั้นเยี่ยม ซึ่งได้รับการอัปเกรดให้เหนือกว่ารถอเนกประสงค์ในระดับเดียวกัน ด้วยระบบ i-Activsense พร้อมกับเสริมด้วยระบบ Mazda Radar Cruise Control with Stop & Go ที่ได้รับการพัฒนา และติดตั้งใน Mazda CX-8 เป็นรุ่นแรกที่วางจำหน่ายในประเทศไทย รวมถึงการเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย และช่วยลดอาการเหนื่อยล้าหลากหลายระบบเช่นกัน
เหนืออื่นใด สิ่งที่ทำให้คณะกรรมการชื่นชอบก็คือ สมรรถนะ ที่ประกอบขึ้นจาก เทคโนโลยี Skyactiv-Vehicle Dynamics ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล Skyactiv-D ขนาด 2.2 ลิตร พร้อมเทอร์โบแปรผันแบบ 2 ขั้น และระบบวาล์วไอเสียแปรผันอัจฉริยะ สร้างกำลังสูงสุด 190 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Skyactiv-Drive 6 สปีด พร้อม Manual Mode แบบ Activematic
ทั้งยังมากับเสถียรภาพในการขับขี่สูงสุดจากระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ i-Activ AWD ที่เสริมด้วยระบบช่วยป้องกันล้อหมุนฟรีแบบ Off-Road Traction Assist และระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง GVC Plus เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และผสมผสานกันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการขับขี่ ที่ทำให้ Mazda CX-8 ถ่ายทอดความสปอร์ต และบุคลิกอันปราดเปรียวออกมาอย่างเหนือชั้น จนกลายเป็นความประทับใจที่เหมาะสมกับการคว้ารางวัล Best Diesel SUV Under 2,500 c.c. ไปครอง ด้วยมติเอกฉันท์จากคณะกรรมการ
Best Performance Compact SUV
Mazda CX-30
และไม่ได้มีเพียงพี่ใหญ่สุดแห่งตระกูล CX-Series เท่านั้น ที่แสดงความยอดเยี่ยมออกมาให้คณะกรรมการประทับใจ แต่ยังรวมถึงน้องใหม่ล่าสุดในตระกูล อย่าง Mazda CX-30 เช่นกัน ที่โชว์ความสามารถจนคว้ารางวัล Best Performance Compact SUV มาครองได้อย่างสมศักดิ์ศรี
โดย Mazda CX-30 ยังคงสืบทอดความสง่างามตามแนวคิด Kodo – Soul of Motion เรียบง่ายแต่งดงามตามแบบฉบับ Less is More แต่ยกระดับงานดีไซน์ และการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง จนสร้างชื่อเสียงบนเวทีระดับโลก การันตีด้วยการเป็นยนตรกรรมสัญชาติญี่ปุ่นเพียงแบรนด์เดียวที่ติด 1 ใน 3 รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมของโลก ปี 2563 (Top Three in the World – World Car of the Year) และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย จากเวทีการประกวดในหลายประเทศ
นอกจากดีไซน์ที่โดดเด่นแล้ว ในรุ่นสูงสุด 2.0 SP ยังได้รับการอัปเกรดอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพิ่มเติมจากรุ่น 2.0 S เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ให้ครบครันมากยิ่งขึ้น เช่น หลังคา Sunroof แบบไฟฟ้า, ชุดเครื่องเสียง BOSE® รอบทิศทาง พร้อมลำโพง 12 ตำแหน่ง และระบบแสดงภาพ 360 องศารอบทิศทาง
จุดเด่นสำคัญที่ทำให้รางวัล Best Performance Compact SUV ตกเป็นของ Mazda CX-30 คือ ประสบการณ์ความเร้าใจจากเทคโนโลยี Skyactiv อาทิ แพลตฟอร์มใหม่ Skyactiv-Vehicle Architecture, เครื่องยนต์ Skyactiv-G ขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว พละกำลัง 165 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 213 นิวตัน-เมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ Skyactiv-Drive 6 สปีด พร้อมระบบ Drive Selection และการติดตั้งระบบ i-STOP เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน การันตีอัตราสิ้นเปลืองไว้ที่ 15.4 กม./ลิตร พร้อมกับการรองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85
ซึ่งทั้งหมด คือส่วนผสมในการสร้างความเร้าใจจากการถ่ายทอดกำลังอย่างเต็มสมรรถนะ เพื่อเสิร์ฟความสนุกสนานให้สัมผัสในทุกการใช้งาน ภายใต้ความมั่นใจจากระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง G-Vectoring Control Plus ตลอดจนระบบความปลอดภัยสุดล้ำในชื่อ i-Activsense ที่สร้างความเหนือชั้น และมั่นใจได้มากกว่ารถในระดับเดียวกัน
อาทิ ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ Advanced Smart Brake Support, ระบบไฟหน้า Adaptive LED Headlamps, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Mazda Radar Cruise Control, ระบบควบคุมความเร็ว และพวงมาลัย ตามรถคันหน้า Cruising & Traffic Support, ระบบเตือนรถเบี่ยงออกนอกเลน Lane Departure Warning System, ระบบเตือนรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน Advanced Blind Spot Monitoring, ระบบเตือนรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert พร้อมระบบช่วยหยุดรถ Smart Brake Support-Reverse Crossing และระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง Smart City Brake Support-Reverse ตลอดจนระบบช่วยเตือนเมื่อผู้ขับเหนื่อยล้า Driver Attention Alert
Best Performance Pickup
Mazda BT-50
ท้ายสุดกับรางวัล Best Performance Pickup โดยการถือครองจาก Mazda BT-50 ภายใต้ความเหมาะสมอย่างที่สุด ตั้งแต่ความสะดุดตาของรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและชัดเจน จากหลักปรัชญา Kodo – Soul of Motion ในคอนเซปต์ Less is More เช่นเดียวกับรถยนต์นั่ง และรถอเนกประสงค์ตระกูล Mazda CX Series ผสมผสานเข้ากับความแข็งแกร่งในสไตล์ “ปิกอัพ” ทั้งยังมีการนำคุณสมบัติที่ดีที่สุดในโลก ของรถ “ปิกอัพ” มารวมเป็นหนึ่งเดียวกับความหรูหราของรถ SUV เช่น มุมมองด้านหน้าที่สง่างาม, กระจังหน้าออกแบบด้วย Signature Wing ขนาดใหญ่ ตลอดจนดีไซน์ไฟหน้าและไฟท้ายทรงสปอร์ตเฉี่ยว
ขณะที่ภายในห้องโดยสารเน้นความประณีตในทุกรายละเอียด ผสมผสานกับการจัดวางตำแหน่งอุปกรณ์ โดยมีผู้ขับขี่เป็นจุดศูนย์กลางตามหลัก HMI เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน อาทิ หน้าจอ TFT แบบสี MID (Multi-Information Display) ขนาด 4.2 นิ้ว ที่แสดงข้อมูลได้หลายรูปแบบ, ระบบ Infotainment ที่มาพร้อมหน้าจอแบบสัมผัส ความละเอียดสูง ขนาด 9 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง Apple CarPlay® และ Android Auto™ สามารถใช้งาน Miracast แบบไร้สายผ่าน Wi-Fi ไปจนถึงรองรับการเชื่อมต่อแบบ MirrorLink และระบบนำทางติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ตามมาด้วยสิ่งที่ทำให้ Mazda BT-50 สามารถคว้ารางวัล Best Performance Pickup ไปครองอย่างสวยงามก็คือ “สมรรถนะ” ซึ่งเริ่มจากโครงสร้างตัวถังที่ผลิตขึ้นจากเหล็กกล้าทนต่อแรงดึงสูง (High Tensile Steel) รองรับด้วยระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง จับคู่กับชุดแหนบด้านหลัง เพื่อเพิ่มความสามารถในการบรรทุก
ขณะที่ความเร้าใจเกิดขึ้นมาจาก 2 ทางเลือก เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ คือ พิกัด 1.9 ลิตร มีกำลัง 150 แรงม้า พร้อมแรงบิด 350 นิวตัน-เมตร ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ตามด้วยพิกัด 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า พร้อมแรงบิด 450 นิวตัน-เมตร ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งปรับเปลี่ยนได้ 3 รูปแบบ พร้อมรองรับการขับขี่สไตล์ Off Road ด้วยระบบเฟืองท้าย Electronic Diff-Lock และตัวรถที่ลุยน้ำได้สูงถึง 800 มม. โดยทั้งรุ่นเครื่องยนต์ 1.9 ลิตร และ 3.0 ลิตร จะมีระบบส่งกำลังให้เลือกทั้งแบบอัตโนมัติ 6 สปีด และเกียร์ธรรมดา 6 สปีด
ปิดท้ายด้วยความมั่นใจ จากระบบความปลอดภัยมาตรฐาน พร้อมด้วยการอัปเกรดเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงเพิ่มเติม จากระบบเตือนรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (ABSM) และระบบเตือนรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA) ช่วยยกระดับประสิทธิภาพให้ขับขี่ได้อย่างสนุกสนาน เต็มสมรรถนะอย่างแท้จริง