รู้จักเวียดนาม ผ่านรอยล้อ..Mazda Skyactiv Asean Caravan (ปฐมบท)
จบลงแล้วด้วยความประทับใจและประสบการณ์ที่ล้ำค่าผ่านคาราวานเรียนรู้อารยธรรมอาเซียน โดย บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด จับมือมาสด้า คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ที่ใจถึงด้วยการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในการเดินทางด้วยรูปแบบคาราวานเพื่อพิสูจน์สมรรถนะของรถยนต์มาสด้าพร้อมเทคโนโลยีสกายแอคทีฟทุกรุ่น บนเส้นทางสายอารยธรรมอาเซียนผ่านกิจกรรม “MAZDA SKYACTIV ASEAN CARAVAN” ที่ถือว่าเป็นการตอกย้ำถึงการเป็นแบรนด์รถยนต์ที่โดดเด่นทั้งในไทยและอาเซียน
สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกเริ่มเดินทางจากลานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่จังหวัดนครพนม ก่อนที่จะข้ามแดนไปยังแขวงคำม่วน สปป.ลาว และเข้าสู่เมืองวินห์ ส่วนกลุ่มที่สองรับไม้ขับต่อจาก ฮานอย ลงใต้ไปยัง ฮอยอัน, นาตรัง และโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ก่อนที่จะส่งต่อไม้สุดท้ายจากโฮจิมินห์ สู่ประเทศกัมพูชา และกลับสู่ประเทศไทยทางจังหวัดตราด รวมระยะทางกว่า 4,000 กิโลเมตร และมีผู้สื่อข่าวจากไทยและต่างประเทศร่วมเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ครั้งนี้ถึง 140 คน จาก 5 ประเทศ คือ ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์และสิงคโปร์
โดยผู้เขียนรับหน้าที่เป็นสื่อมวลชนกลุ่มที่ 2 ลัดฟ้าจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สู่ท่าอากาศยานนานาชาติโหน่ยบ่าย (Noi Bai) เพื่อรับกุญแจรถจากกลุ่มที่1ขับจากเมืองฮานอยลงใต้ไปจบที่เมืองโฮจิมินห์ รวมระยะทางร่วม 2,000 กิโลเมตร และมีม้าศึกสกายแอคทีฟฝูงใหญ่อย่าง มาสด้า2 และมาสด้า3 ทั้งรุ่นซีดานและแฮทช์แบค, มาสด้า CX-3, มาสด้า CX-5 และมีทีมนำทางรวมทั้งทีมเซอร์วิสที่ขับมาสด้า BT-50 PRO ใหม่ อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยตลอดเส้นทางคาราวาน
เส้นทางที่ต้องเดินทางทั้งหมดในทริปนี้อย่างคร่าวๆ
สำหรับคาราวานในครั้งนี้หากจะเขียนเพียงว่าแต่ละวันขับรถผ่านเส้นทางใด ไปพบเจออะไรบ้าง ดูจะเป็นเรื่องราวที่น่าเบื่อจนเกินไป จึงขอเปลี่ยนวิธีการนำเสนอในรูปแบบของภาพถ่ายเล่าเรื่องราวกันดูบ้าง เพราะระหว่างเส้นทางตั้งแต่เวียดนามเหนือยันใต้ มีความน่าสนใจและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านอยู่มากพอสมควร…มาเริ่มต้นกันได้เลย
วันแรกเมื่อถึงฮานอยยังไม่ได้ขับ แต่ไกด์พาเที่ยวชมเมืองกันก่อนเริ่มจาก วิหารวรรณกรรม “วันเหมียว” (Van Mieu) “The Temple of Literature” ที่ถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนาม
สร้างในปี พ.ศ. 1613 สมัยพระเจ้าหลีแถงห์โตง (Ly Thanh Tong) ที่ได้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แด่ “ขงจื้อ” ปราชญ์ชาวจีน เพื่อเชิดชูคุณธรรมและยึดมั่นในคุณธรรม ความถูกต้อง ใช้เป็นโรงเรียนของพวกขุนนางและใช้เป็นที่สอบ “จอหงวน” มีการก่อสร้างที่คำนึงถึงหลักฮวงจุ้ยซึ่งได้อิทธิพลมาจากจีน ภายในมีบ่อน้ำสี่เหลี่ยม 2 บ่อ มีสระน้ำขนาดใหญ่ตรงกลางลาน มีชื่อว่า “สระแสงงาม” (เทียนกวางติงห์ :Thien Quang Tinh) เชื่อว่าเมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องจะสะท้อนเข้าประตูใหญ่ทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง ที่สองข้างของสระมีอาคารชั้นเดียว 5 หลัง ที่ภายในประดิษฐานแผ่นหินจารึกรวม 82 แผ่นที่หลงเหลืออยู่ จากเดิมที่มี 117 แผ่น ซึ่งแผ่นหินเหล่านี้ตั้งอยู่บนหลังเต่าที่ทำจากหิน พร้อมกับจารึกชื่อผลงานวิชาการของเหล่าจอหงวนที่เรียกว่า “แผ่นหินจารึกชื่อจอหงวน”
ประตูทางเข้าดูอลังการและมีกลิ่นอายของศิลปะแบบจีนอย่างชัดเจน
ทางเดินตรงเข้าสู่ภายใน แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่น
สระน้ำขนาดใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมที่สร้างตามหลักฮวงจุ้ยแบบจีน
ประตูทางเข้าจากด้านนี้ใช้เป็นภาพที่อยู่บนธนบัตรของเวียดนามอีกด้วย
แผ่นหินจารึกรายชื่อและผลงานทางวิชาการของเหล่าจอหงวนในยุคนั้น
อาคารด้านในเป็นศาลาทรงจีน มีลานด้านหน้าไว้สำหรับทำกิจกรรม ภายในมีรูปปั้นเทพเจ้าไว้ให้กราบไหว้บูชา
สัญลักษณ์กระเรียนเหยียบหลังเต่า แสดงถึงความยั่งยืนของลัทธิขงจื้อ คุณธรรม ความดีงามและหลักคำสอนให้อยู่ยืนนาน
สระน้ำขนาดเล็ก 2 ข้าง มีบัวขึ้นปกคลุม มองแล้วเกิดความสงบ และสร้างสติปัญญาเช่นดอกบัวที่บานเหนือน้ำ
ขงจื้อ นักคิดและปราชญ์ทางสังคมที่มีชื่อเสียงของชาวจีน คำสอนของขงจื๊อได้ฝังรากอิทธิพลลึกลงไปในสังคมเอเชียตะวันออกเป็นเวลาถึง 20 ศตวรรษ หลักปรัชญาของขงจื๊อเน้นเกี่ยวกับศีลธรรมส่วนตัวและศีลธรรมในการปกครอง ความถูกต้องเหมาะสมของความสัมพันธ์ในสังคม,ความยุติธรรม,ความบริสุทธิ์ใจ
จากนั้นจึงแวะไปอีกแห่งที่เป็นจุดสำคัญคือ “ทะเลสาบคืนดาบ หรือ ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (Ho Hoan Kiem)” เป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองฮานอย มีตำนานเล่าขานถึงอดีตพระเจ้าเลไทโย (Le Thai Yo) ได้นำดาบวิเศษที่ได้มาจากเต่าศักดิ์สิทธิ์ในทะเลสาบมาสู้รบกับกองทัพจีนและสู้จนทำให้ประเทศเป็นอิสระได้ เมื่อพระองค์นำดาบไปคืน เต่าตัวนั้นได้ฉกเอาดาบนั้นลงทะเลสาบหายไป จึงมีชื่อเรียกว่า ทะเลสาบคืนดาบ นั่นเอง และเมื่อเดินข้ามสะพานไม้สีแดง ชื่อว่า “สะพานเทฮุก (The Huc)” หรือสะพานแสงอาทิตย์ จะพบกับ “วัดเนินหยก หรือ วัดหง็อกเซิน (Ngoc Son)” เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบมีบรรยากาศที่ร่มรืนและมีศาลาขนาดใหญ่เอาไว้นั่งพักผ่อน และมีวิหารทรงจีนตั้งอยู่เอาไว้กราบไหว้ เคารพบูชาเทพเจ้าองค์ต่างๆ รวมทั้งเทพเจ้ากวนอูที่ตั้งอยู่ภายใน ภายในจะมีเต่ายักษ์ที่สตัฟฟ์เอาไว้ ให้นักท่องเที่ยวได้ชมอย่างใกล้ชิด ซึ่งเต่าตัวนี้มีขนาดที่ใหญ่มากพบในทะเลสาบเมื่อหลายปีมาแล้ว (แต่มองยังไงก็น่าจะเป็นตะพาบน้ำมากกว่าเต่า)
ทะเลสาบคืนดาบ
สะพานเทฮุก
ประตูทางเข้าวัดเนินหยก
สัญลักษณ์เต่านำดาบคืนสู่ทะเลสาบที่หน้าประตูทางเข้าวัดเนินหยก
วิหารทรงจีน ภายในมีรูปเคารพของเทพเจ้าหลายองค์ รวมทั้งเทพเจ้ากวนอู
เต่ายักษ์ที่สตัฟฟ์เอาไว้ แต่ดูยังไงก็รู้สึกว่าเป็นตะพาบน้ำมากกว่า
ขับรถในเวียดนาม หูตาต้องไว ใจต้องกล้า และอย่ากลัว!!
วันแรกของการเดินทางผู้เขียนพร้อมด้วยคู่หูคือ ระพี มาประสพ นักเขียนจาก GM CAR จับไม้ได้ขับ CX-3 ในวันแรก ซึ่งดูจากขนาดตัวถังแล้วค่อนข้างที่จะดูไม่ใหญ่ มีความคล่องตัวสูง กำลังเครื่องยนต์ก็ไว้ใจได้ แต่…หลายคนเคยได้รับรู้มาว่าที่เวียดนามขับรถกันได้น่ากลัวมาก โดยเฉพาะกับรถจักรยานยนต์ที่ขี่กันมากมายเหมือนสายน้ำ แต่เอาเข้าจริงๆ กลับไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะต่างคนต่างขับ และใช้ความเร็วที่เหมาะสม (จำกัดความเร็ว) ตัวเราต่างหากที่คิดกลัวไปเอง
เจอสภาพแบบนี้คงปวดหัวไม่ใช่น้อยกับนักขับชาวไทย แต่สำหรับคนเวียดนามถือเป็นเรื่องธรรมดา
ที่เวียดนามมีรถจักรยานยนต์มากถึง 45 ล้านคัน จากประชากรรวมกว่า 90 ล้านคน และที่มีรถจักรยานยนต์มากขนาดนั้นเนื่องจากที่เวียดนาม ยังไม่ได้มีระบบการจัดการด้านไฟแนนซ์รถยนต์หรือปล่อยให้กู้เพื่อซื้อรถ คนส่วนใหญ่ที่จำเป็นต้องเดินทางจึงต้องซื้อรถด้วยเงินสด รถจักรยานยนต์จึงกลายเป็นตัวเลือกที่ซื้อง่ายที่สุด ไม่แปลกใจที่ทำไมรถจักรยานยนต์ในเวียดนามถึงได้มีจำนวนมากมายขนาดนั้น
แตรมี กดเข้าไป…กดจนโลโก้มาสด้าแทบหมองกันเลยทีเดียว
วิธีขับให้ง่ายคือ ขับไปตามทางของเราเรื่อยๆ อย่าลืม “กดแตร” อยู่เสมอ เพื่อเตือนว่ามีรถตามมา (ไม่ได้ด่า เหมือนที่คนไทยคิด) กดแตรแล้วขับหลบ เพราะเขาจะไม่หลบให้ เราต้องช่วยตัวเองเท่านั้น งานนี้สนุก หวาดเสียว และปวดหัวไปตามๆ กัน โชคดีที่เจ้ามาศึกอย่าง CX-3 ให้ความคล่องตัวสูง จึงช่วยให้ขับได้คล่องแคล่วแม้จะเจอกองทัพรถจักรยานยนต์นับร้อยๆ คัน (แต่ถ้าปรับเสียงแตรให้ดุดัน แสบเสียงได้มากกว่านี้จะดีมาก เพราะเหมือนเสียงจะนุ่มเกินไป ชาวเวียดนามเลยไม่ค่อยสนใจ)
จำกัดความเร็ว จับจริง ปรับจริง
เราอาจจะขับรถในไทยกันจนเคยตัว แม้ว่าบางเส้นทางจะจำกัดความเร็ว แต่ปกติแล้วก็มักจะขับเร็วเกินจากที่กำหนดกันอยู่เสมอ แต่ผิดกับที่เวียดนาม เพราะคนที่ขับรถทั้งประเทศต่างค่อนข้างเคารพในกฎจราจรเป็นอย่างมาก เนื่องจากที่นี่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างชัดเจนและเด็ดขาด
ภายในเขตเมืองต้องใช้ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. ส่วนนอกเมืองไม่เกิน 90 กม./ชม. นี่จึงทำให้คาราวานของมาสด้าต้องใช้เวลาในการเดินทางมากกว่าปกติ เพราะแค่วันแรกระยะทาง 490 กิโลเมตร ใช้เวลาไปร่วม 8 ชั่วโมง ทั้งที่หากเป็นเมืองไทย 4 ชั่วโมงก็ถึงที่หมายแล้ว
โดยหากสังเกตให้ดีบนเส้นทางต่างๆ จะมีป้ายสัญลักษณ์บอกชัดเจนว่าเป็นเขตเมือง และเขตออกนอกเมือง แถมยังมีกล้องวงจรปิดที่คมชัดระดับ 4K เป็นหูเป็นตาอีกต่างหาก ซึ่งหากมีการกระทำผิด เช่น ฝ่าไฟแดง, จอดทับเส้นระหว่างแยกไฟแดง จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจโผล่ออกมาดักจับที่แยกหน้าแบบที่ไม่รู้เลยว่าพี่ตำรวจเค้าไปซุ่มอยู่ตรงไหน แถมคาราวานยังโดนเรียกมาแล้วอีกด้วย ดีที่แค่ตักเตือน ไม่งั้นมีเสียค่าปรับหลักหมื่นแน่นอน
เลนเฉพาะรถจักรยานยนต์ นี่สิเรื่องดีๆ ที่ควรเป็นแบบอย่าง
ปัญหาของชาวสองล้อเมืองไทยจะหมดไป เมื่อได้เห็นภาพแบบนี้…แต่คงเกิดขึ้นในบ้านเรายาก เพราะที่ผ่านมาไม่เคยให้ความสนใจ หรือความไม่รู้กันแน่? ถนนสายหลักทุกสายของเวียดนามจะได้พบเห็นเส้นทึบที่ขอบทางด้านขวา แบ่งให้เป็นเส้นทางใช้รถของเหล่าสองล้อ ทั้งรถจักรยานยนต์ รถจักรยานทั้งแบบใช้แรงปั่นและแบบไฟฟ้า แถมยังมีพื้นที่มากพอที่จะให้รถจักรยานยนต์ 2 คันขี่คู่กันไปอีกต่างหาก
ที่สำคัญมันกลายเป็นความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนร่วมกัน รถยนต์ไม่ต้องกลัวว่ารถจักรยานยนต์จะแซงมาปาดหน้า หรือมากีดขวางการจราจรเหมือนในเมืองไทย ซึ่งต่างคนต่างมีเส้นทางของตัวเอง และที่มากไปกว่านั้น รถยนต์ห้ามขับเข้าไปใช้งานบนเส้นทางขอบทางด้านขวาเด็ดขาด นอกจากกรณีฉุกเฉินเท่านั้น (ที่จริงก็เหมือนกับบ้านเรานี่ล่ะ ที่ขอบทางด้านซ้ายมีไว้เฉพาะรถฉุกเฉินเท่านั้น เพียงแต่ทำไว้เฉพาะบนทางด่วน ซึ่งรถจักรยานยนต์ใช้ทางบนนั้นไม่ได้)
เส้นทึบด้านขวา คือ ทางสำหรับรถจักรยานยนต์ และห้ามไม่ให้รถยนต์เข้าไปใช้ในเส้นทางนั้น
ป้ายสัญลักษณ์แสดงว่ากำลังออกนอกเขตเมือง สามารถทำความเร็วได้ไม่เกิน 90 กม./ชม.
คำถามคือ ในเมื่อเวียดนามเป็นประเทศที่กำลังเจริญเติบโต ปัจจุบันถือว่ายังตามหลังประเทศไทยอยู่พอสมควร แต่ทำไมถนนหนทางต่างๆ กลับดูสมบูรณ์แบบ และมีความปลอดภัยที่มากกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเวียดนามได้รับการช่วยเหลือจากประเทศในกลุ่มยุโรปและเอเชียอยู่หลายปี การสร้างระบบสาธารณูปโภคต่างๆ จึงค่อนข้างมีแบบแผนเช่นเดียวกับประเทศในกลุ่มยุโรปและเอเชียในบางประเทศนั่นเอง ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองของไทย เวลาไปดูงานในต่างประเทศ ได้เก็บเรื่องแบบนี้มาพัฒนาประเทศไทยบ้างรึเปล่า ทั้งๆ ที่หลายอย่างเวียดนามยังคงตามไทย แต่แค่เรื่องการใช้ผิวทางร่วมกันยังไปไกลกว่าบ้านเราเยอะ…น่าอิจฉาจริงๆ ยิ่งถ้าเราทำได้อย่างบ้านเมืองเขา ปัญหาของชาวสองล้อน่าจะหมดไปเช่นเดียวกัน
โปรดระวัง! คนข้ามถนนและรถจักรยานยนต์ตัดหน้า
แม้ว่าจะมีการแบ่งเลนสำหรับรถจักรยานยนต์เอาไว้แล้ว แต่การขับรถในเวียดนามจะขับเพลินๆ ไม่ได้…เพราะจู่ๆ อาจจะมีรถจักรยานยนต์รวมทั้งรถจักรยานที่พยายามขี่ข้ามทาง เปลี่ยนเลน และกลับรถอยู่เสมอ อ้อ..ยังลืมคนที่ข้ามถนนแบบที่ไม่สนใจรถยนต์อีกต่างหาก
มองด้านขวาเอาไว้ และระวังเอาไว้ให้ดี กดแตรให้สัญญาณและขับต่อไปเรื่อยๆ เพราะหากชะลอ จะมีรถตรงนั้นแทรกมาทันที
ระวังให้ดี เค้าพร้อมมาแล้ว
ที่นี่เค้าจะข้ามถนนกันแบบสบายๆ ไม่วิ่ง ไม่รีบ
ข้ามอย่างเซียน ถึงจะมีการกั้นเลนเอาไว้ แต่มิวายฝ่าแนวกั้น สุดยอดจริงๆ
หนักกว่านั้นก็นี่ล่ะ เดินเลาะแนวกั้นเลนกลางถนนซะเลย
ด้วยการที่คนเวียดนามใช้รถจักรยานยนต์เป็นส่วนใหญ่ เมื่อขับรถออกจากเมืองหลวง ระหว่างที่ขับไปตามเส้นทางระหว่างเมือง เท่าที่สังเกตจะเห็นว่ามีรถยนต์ส่วนตัวใช้งานน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเห็นเป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่และรถบรรทุกประเภทรถ 6 ล้อ นอกนั้นจะเป็นรถจักรยานยนต์ นั่งเท่ากับว่าผู้คนส่วนใหญ่จะใช้ถนนกันแบบสบายๆ ไม่ค่อยระมัดระวังสักเท่าไหร่ (รถยนต์น้อยและมีการจำกัดความเร็ว) เมื่อเราเป็นคนต่างถิ่นขับรถผ่านไป จึงรู้สึกเกร็งๆ กันพอสมควร เพราะเส้นทางส่วนใหญ่ไม่มีสะพานลอย จะมีเพียงทางม้าลายเท่านั้น รวมทั้งผู้คนใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่เร่งรีบ จึงมักเห็นคนเดินหรือจูงรถจักรยานข้ามถนนแบบชิลๆ อยู่บ่อยครั้ง และเช่นเดียวกัน หากเจอรถจักรยานยนต์ขี่ล้นขอบทางด้านขวาออกมา ถึงจะกดแตรเตือนแล้ว เขาก็ยังไม่หลบ เราต่างหากที่ต้องเป็นคนหลบเอง (ถึงบอกไงว่า เสียงแตร เป็นเสียงที่ใช้เตือน คือ เตือนให้รู้เฉยๆ เท่านั้น)
ดองฮอย (Dong Hoi) เมืองขนาดเล็กที่ผสานความร่วมสมัยอย่างลงตัว
หลังจากผ่าน 8 ชั่วโมงแรกของการเดินทางจากฮานอยมายัง “ดองฮอย” คาราวานไม่รู้เลยว่าสถานที่ที่เดินทางไปนั้นมีสภาพเป็นอย่างไร เพราะพอไปถึงก็ค่ำมืดกันแล้ว จนรุ่งเช้าถึงได้ตาลุกวาวและตื่นเต้นขึ้นมาทันที เพราะที่นั่นเป็นเมืองเล็กๆ ในจังหวัดกว๋างบิ่ญที่อยู่ริมฝั่งทะเลเป็นแนวยาว บ้านเรือนแถวนั้นดูเป็นตึกแถวที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกัน บางอาคารดูแต่งเติมตามสมัย แต่บางอาคารดูเก่าโบราณ รวมทั้งมีอาคารเก่าที่ได้อิทธิพลการออกแบบจากฝรั่งเศสตั้งอยู่เป็นระยะ ทำให้รู้สึกว่าการขับรถผ่านเส้นทางนั้นมันช่างเพลิดเพลินดีเหลือเกิน
ตื่นเช้ามาพบกับบรรยากาศหน้าโรงแรมที่พักติดริมทะเล มร.ฮิเดซูเกะ ทาเคสุเอะ ประธานบริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กำลังเก็บภาพคาราวานมาสด้าครบรุ่น ซึ่งท่านเดินทางด้วยกันตลอดทั้งทริป เป็นผู้บริหารที่เป็นกันเองและสู้สุดใจไปด้วยกันทุกที่จริงๆ
เหล่าม้าศึกมาสด้า สกายแอคทีฟ ที่พร้อมเดินทางกันต่อไป
มาสด้า BT-50 โปร หัวขบวนคาราวานในครั้งนี้ ถ้าหลงไม่ต้องโทษใคร เพราะรู้แล้วว่าใครนำ
ขับผ่านตัวเมืองลัดเลาะชายทะเล
ทะเลบริเวณนี้เป็นจุดบรรจบของแม่น้ำที่ไหลลงทะเลอีกด้วย
ซากสถาปัตยกรรมที่มีให้พบเห็นบ่อยครั้ง
เมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบ แม้เป็นช่วงเวลา 7 โมงเช้าที่หลายคนรีบไปทำงาน
อาคารสมัยใหม่ที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางอาคารยุคเก่า
ความร่วมสมัยที่กลมกลืนและชวนให้กลับไปสัมผัสอีกครั้ง
เมื่อขับสัมผัสกลิ่นไอทะเล และวิถีชีวิตริมทะเลของชาวบ้านจนเพลินใจได้พักใหญ่ๆ แต่แล้วกลับได้เจอภาพเบื้องหน้าที่ชวนให้ตื่นตาตื่นใจจนทำให้ทั้งขบวนคาราวานต้องจอดรถเพื่อถ่ายภาพเป็นที่ระลึกแบบที่ถ้าไม่หยุด ผู้นำคาราวานต้องถูกดุเป็นแน่แท้ เพราะภาพที่เห็นนั่นคือ…..
ทะเลทรายสีขาวสะอาดตา ไม่ได้มีแค่ที่ “มุยเน่” เท่านั้น
ผู้เขียนถ่ายภาพคู่กับเนินทราย จะเห็นว่าเป็นเนินทรายที่สูงเกือบ 4 เมตร จากแนวราบ และยังมีเนินทรายขนาดใหญ่อีกหลายแห่ง
แนวทะเลทรายสีขาวที่ทอดตัวยาวตามเส้นทาง
ดูจากแผนที่ google map จะเห็นว่าแนวทะเลทรายมีความยาวมาก
ใช่แล้วภาพที่เห็นคือ คาราวานกำลังขับผ่านพื้นที่ที่เป็นทะเลทรายสีขาวซึ่งมีระยะทางยาวกว่า 40 กิโลเมตร ทรายที่นั่นมีสีขาว และมีเม็ดทรายที่ละเอียดจนแทบจะมองไม่เห็นเม็ดทราย มองไปไกลๆ จะเห็นเป็นเนินทรายที่มีถนนดินดำคาดกลางผ่านเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตา ตัดแสงจ้าจากแสงสะท้อนของทรายด้วยพืชพันธุ์ไม้ล้มลุกต้นเล็กๆ และพุ่มไม้สีเขียวขนาดกลาง ทำให้รู้สึกถึงความอุดมสมบูรณ์แม้จะมองเห็นว่าเป็นทะเลทราย ซึ่งหากมานึกๆ ดูแล้ว พื้นที่แถบนี้ในอดีตน่าจะเป็นผืนน้ำทะเลทั้งหมด เพราะถนนที่ขับผ่านมานี้เป็นเส้นทางที่ขับเป็นแนวขนานกับทะเลจีนใต้มองเห็นผืนน้ำทะเลสีครามอยู่ไกลๆ เป็นภาพความทรงจำที่อัศจรรย์ใจจริงๆ
Ben Hai River “เส้นขนานที่ 17” เขตปลอดทหาร เส้นแบ่งระหว่างเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ในอดีต
จากภาพถ่ายดาวเทียม google map จะเห็นแม่น้ำเบนไห่เป็นตัวแบ่งเขตแดน
ข้างหน้านี้คือ เส้นขนานที่ 17
อนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงสงครามเวียดนาม
การทำความรู้จักประเทศเพื่อนบ้านอย่างถ่องแท้ เป็นอีกภารกิจหลักของคาราวานประวัติศาสตร์เชื่อมโยงอารยธรรมสมาชิกประชาคมอาเซียน Mazda Skyactiv Asean Caravan ในครั้งนี้อยู่แล้ว และหากพลาดที่จะแวะชมจุดนี้ไป คงไม่มีหน้าไปคุยกับใครเขาได้ว่าได้มาเยือนดินแดนเวียดนามตั้งแต่เหนือจรดใต้มาแล้ว และจุดนี้จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ไฮไลท์สำคัญของทริปนี้เช่นกัน นั่นคือ แม่น้ำเบนไห่ (Ben Hai) “เส้นขนานที่ 17” เขตปลอดทหารเวียดนาม (พื้นที่ 5 กิโลเมตรของทั้งสองฝั่งถูกประกาศให้เป็นเขตปลอดทหาร กองทัพของเวียดนามเหนือและใต้ถูกห้ามไม่ให้เข้ามาในพื้นที่แห่งนี้) ที่ตั้งขึ้นเป็นเส้นแบ่งระหว่างเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ในอดีต ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากสงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 และระหว่างสงครามอินโดจีนครั้งที่ 2 (สงครามเวียดนาม) ซึ่งพื้นที่นี้เคยเป็นสนามรบสำคัญ ตั้งอยู่ในแนวตะวันตก-ตะวันออกใกล้กับกึ่งกลางของประเทศเวียดนาม และลากยาวกว่าร้อยกิโลเมตรวางตัวตามแนวยาวของแม่น้ำเบนไห่
โดยพรมแดนของทั้งสองนั้นถูกจัดตั้งที่แม่น้ำเบนไห่แห่งนี้ ซึ่งแม่น้ำนี้ได้ไหลลงสู่ทะเลจีนใต้ที่ 17 องศา 0 ลิปดา 54 ฟิลิปดาเหนือ และมีต้นสายของแม่น้ำที่ห่างออกไปอีกราว 55 กิโลเมตร ทางตะวันตกเฉียงใต้ไปจรดพรมแดนลาวนั่นเอง
ข้ามสะพานข้างหน้าไป นั่งคือแม่น้ำเบนไห่
สะพานสีฟ้าและสีเหลืองนี่แหละ คือสะพานที่ข้ามเขตเส้นขนานที่ 17 และที่เห็นไกลๆ นั่นคือ ประติมากรรมแม่ลูกที่มองดูมายังฝั่งของเวียดนามเหนือ
คาราวานมาสด้า สกายแอคทีฟ พร้อมเดินทางกันต่อ
โดยหลังจากที่ยุคอาณานิคมของเวียดนามได้ถูกจัดตั้งขึ้นในการประชุมเจนีวาเมื่อปี 1954 ได้มีการบรรลุข้อตกลงเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 1954 (พ.ศ.2497) ทำให้มีผลทางทหาร ซึ่งพื้นที่ส่วนเหนือของเวียดนามทั้งหมดอยู่ภายใต้การปกครองของเวียดมินห์ กลายมาเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม ภายใต้ผู้นำคอมมิวนิสต์ผู้โด่งดัง คือ “โฮจิมินห์” ส่วนพื้นที่ด้านใต้ของประเทศกลายเป็นรัฐเวียดนามอิสระ ภายใต้ผู้นำคือ “สมเด็จพระจักรพรรดิ บ๋าว ดั่ย” เชื้อพระวงศ์พระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เวียดนาม ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น “สาธารณรัฐเวียดนาม”
และจุดที่น่าสนใจคือ สะพานไม้สองสีที่ได้ทาสีฟ้า (ฝั่งเหนือ) และสีเหลือง (ฝั่งใต้) ปลายทางของสะพานไม้ฝั่งใต้จะเห็นรูปปั้นคู่แม่ลูกยืนตระหง่านอยู่ สายตามมองกลับมาที่ฝั่งเหนือ เหมือนเป็นสัญลักษณ์หมายถึงครอบครัวที่ถูกทำให้พลัดพราก เช่นเดียวกับสงครามเวียดนามที่แบ่งแยกคนในประเทศให้ออกเป็นสองฝั่ง ทั้งที่จริงแล้วเกิดมาบนผืนแผ่นดินเดียวกัน…มองดูแล้วรู้สึกเศร้าใจจริงๆ
อุโมงค์วินม๊อค (Vinh Moc Tunnels) หลุมหลบภัยมรณะ
เส้นทางที่กว่าจะไปถึงอุโมงค์ วินม๊อค ต้องขับรถลึกเข้าไปในเขตแนวป่่า เข้าสู่ชุมชนที่ตั้งขึ้นมาใหม่
หลังจากที่ศึกษาประวัติศาสตร์ของเส้นขนานที่ 17 กันครบถ้วนแล้ว จึงเดินทางมาอีกแห่งที่สำคัญ นั่นคือ อุโมงค์ วินม๊อค (Vinh Moc Tunnels) ซึ่งอยู่ห่างจากแม่น้ำเบนไห่ไปทางทิศเหนือราว 17 กิโลเมตร เป็นอุโมงค์ที่ชาวบ้านวินม๊อคขุดขึ้นมาเพื่อใช้ในการหลบภัยสงครามและหนีการเป็นเป้าของเครื่องบินทิ้งระเบิดในช่วงสงครามเวียดนาม อุโมงค์นี้เป็นอุโมงค์ดินที่มีทางเดินค่อนข้างแคบและถูกขุดให้ลึกถึง 23 เมตร ภายในอุโมงค์ถูกแบ่งให้เป็นทั้งที่พักอาศัย โรงพยาบาล ห้องเสบียง ฯลฯ ทั้งซ้ายและขวาสลับกันไป
เส้นทางเดินเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ ที่ต้องเดินลึกเข้าไปอีกกว่า 10 นาที
หลุมหลบภัย หลุมเล็กๆ บางส่วนที่กระจายไปทั่วบริเวณ
ปากทางออกของหลุมหลบภัย ประตูที่ 5
เบื้องหน้าคือพิพิธภัณฑ์ที่เก็บเรื่องราวต่างๆของอุโมงค์วินม๊อคเอาไว้
ภาพนูนต่ำนี้อธิบายเรื่องราวทุกอย่างเอาไว้อย่างชัดเจน
ประชาชนที่แม้แต่ผู้หญิง ยังต้องหยิบอาวุธขึ้นสู้เพื่อแผ่นดินเกิดของตนเอง
บันทึกต่างๆ รวมทั้งธงชาติของเวียดนามที่ใช้ในยุคนั้น
เรื่องราวต่างๆ ถูกอธิบายผ่านภาพถ่ายและบันทึก รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ
แบบจำลองการขุดอุโมงค์ว่ามีการแบ่งออกเป็นสัดส่วนอย่างไร
ปืนต่อต้านอากาศยาน
ปืนกลพร้อมชุดบรรจุกระสุนแบบจาน และปืนยิงจรวด
ชายผู้นี้คือชาวบ้านคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ และอยู่อาศัยอยูในอุโมงค์มาตั้งแต่เด็ก ในภาพคือชายคนนี้ในวัยเยาว์
นี่คือลูกระเบิดที่ถูกทิ้งลงมาจากเครื่องบินทิ้งระเบิด บางลูกขนาดเล็กๆ ยังหนักถึง 4 ตัน เดาไม่ถูกเลยว่าจะมีอนุภาพการทำลายล้างที่มหาศาลขนาดไหน
โดยในช่วงสงครามอุโมงค์นี้มีชาวบ้านเข้ามาหลบภัยนับแสนคน อุโมงค์ถูกแบ่งเป็น 3 ชั้น มีทางเข้าออก 13 ทาง เคยมีเด็กทารกที่คลอดภายในอุโมงค์นี้ถึง 17 คน รวมทั้งมีชาวบ้านที่อยู่อาศัยภายในที่แห่งนี้เป็นเวลานานถึง 5 ปี เพราะความกลัวอันตรายที่ทหารอเมริกันได้ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดมาทำลายพื้นที่บริเวณนี้ ด้วยระเบิดนับร้อยๆ ลูกที่รวมน้ำหนักได้ถึง 9,000 ตัน และปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่เตือนใจคนทั้งโลกถึงภัยของสงครามที่ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตและไร้ที่อยู่อาศัย…
ผู้เขียนต้องขอจบตอนเพียงเท่านี้ ทีแรกตั้งใจจะเขียนแบบตอนเดียวจบ แต่เกรงว่าเรื่องราวจะยาวนานเกินไป จึงขอตัดตอนแรกเพียงเท่านี้ ติดตามตอนที่สอง (ปัจฉิมบท) ได้ในสัปดาห์หน้าครับ
เก็บตกภาพบางส่วน
รถบรรทุกของที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ ซึ่งนำมาจากประเทศจีน ภายในห้องโดยสารสามารถใช้นอนพักได้ และเหมาะกับการเดินทางในระยะทางไกล
ชายคนนี้กำลังยืนรอรถประจำทาง ซึ่งป้ายรถเมล์มีแต่ป้าย ไม่มีร่มบังหรือเป็นป้ายรถเมล์แบบในบ้านเรา
ขับผ่านไปเจอโชว์รูมมาสด้า ซึ่งยอดขายมาสด้าในเวียดนามอยู่ในอันดับที่ 4
สองข้างทางระหว่างเมือง จะพบเห็นเนินเขาและป่าไม้อยู่ตลอดเวลา
ทางรถไฟจะวิ่งขนานไปกับทางหลวง AH1
เมื่อขับผ่านแต่ละเมืองจะมีซุ้มประตูต้อนรับเสมอ
เวียดนามยังคงเป็นประเทศเกษตรกรรม มีการปลูกข้าวเพื่อขายในประเทศและส่งออก ซึ่งส่งออกมากเป็นอันดับ 2 รองจากประเทศไทย และข้าวหอมมะลิจากประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลก
เห็นป้ายโฆษณาเหล่านี้ ทำให้ต้องอมยิ้มเสมอ เพราะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะด้วยสไตล์แบบภาพวาด
งานออกแบบหลายอย่าง ถูกทำให้ดูทันสมัย และมักจะอยู่ตามเส้นทางที่มีนักท่องเที่ยวผ่านมา
พบกันใหม่ตอนหน้าครับ..
ขอขอบคุณ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อความสะดวกตลอดการเดินทาง
เรื่อง/ภาพ: พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย กรังด์ปรีซ์ออนไลน์ GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th