Mazda ประกาศแผนสู่ 2030-เตรียมเปิดเครื่องยนต์ไร้หัวเทียน Skyactiv-X
Mazda แบรนด์รถยนต์ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น ประกาศวิสัยทัศน์ระยะยาวภายใต้ชื่อ “Sustainable Zoom-Zoom 2030” ตั้งเป้าหมายนำเสนอเทคโนโลยีใหม่สู่วงการยานยนต์อย่างต่อเนื่องจนถึงปลายทศวรรษหน้า โดยไฮไลต์สำคัญคือกำหนดการเปิดตัว Skyactiv-X ในปี 2019 เครื่องยนต์เบนซินรุ่นแรกของโลกที่ใช้การจุดระเบิดด้วยแรงบีบอัดอากาศ, แผนการนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้า-ไฮบริด เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “Well-to-Wheel” เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ และเร่งพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติควบคู่กับระบบ Mazda Co-Pilot Concept ที่ตั้งเป้าหมายจะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถทุกรุ่นของพวกเขาภายในปี 2025
รายละเอียดเกี่ยวกับ Skyactiv-X ที่เปิดเผยออกมาจะเป็นเครื่องยนต์เบนซินรุ่นแรกของโลกที่ไม่ต้องใช้การจุดระเบิดด้วยหัวเทียนเพื่อสร้างกระบวนการเผาไหม้ในกระบอกสูบ แต่จะใช้แรงบีบอัดอากาศมาเป็นตัวจุดระเบิดแทนภายใต้ชื่อที่ได้รับการจดสิทธิบัตรว่า Spark Controlled Compression Ignition ก่อนหน้านี้ Mazda เคยพูดถึงเทคโนโลยีนี้ภายใต้ชื่อ Homogeneous Charge Compression Ignition (HCCI)
ในการทดสอบของ Mazda เครื่องยนต์ Skyactiv-X ลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง แต่สร้างการตอบสนองในการขับที่เร้าใจมากขึ้นด้วยแรงบิดที่สูงกว่า 10-30 เปอร์เซ็นต์จากเครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G ในปัจจุบัน รวมทั้งการเผาผลาญเชื้อเพลิงมีประสิทธิภาพสูงขึ้น 20-30 เปอร์เซ็นต์ และหากเทียบเครื่องยนต์เบนซินในรถยนต์รุ่นปี 2008 ของพวกเขาที่มีปริมาตรกระบอกสูบเท่ากันจะดีกว่าถึง 35-45 เปอร์เซ็นต์
ค่ายรถยนต์ดังแห่งเมืองฮิโรชิม่า ถึงขั้นที่กล้าพูดว่า Skyactiv-X อยู่ในระดับเดียวหรือมีโอกาสแซงเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นล่าสุด Skyactiv-D หากวัดที่ประสิทธิภาพในการเผาผลาญเชื้อเพลิง
ตารางเปรียบเทียบประสิทธิภาพของระบบจุดระเบิดแบบเก่ากับระบบ Spark Controlled Compression Ignition
การที่เครื่องยนต์ Skyactiv-X มีกำหนดเปิดตัวในปี 2019 ทำให้สื่อรถยนต์ต่างประเทศคาดการณ์ว่ามันจะถูกใช้งานครั้งแรกในเจนเนอเรชั่นใหม่ของ Mazda3 ที่กำลังเข้าสู่ช่วงปลายของรุ่นปัจจุบันที่ออกขายมาตั้งแต่ปี 2013
ประเด็นสำคัญอื่นๆ ที่อยู่ใน “Sustainable Zoom-Zoom 2030″ เป็นการเดินตามแนวทางจากวิสัยทัศน์ต้นแบบเมื่อปี 2007 โดยรถยนต์ของ Mazda ไม่เพียงให้ความสนุกในการขับ แต่ต้องช่วยลดการปล่อยมลพิษสู่ธรรมชาติ และมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง
แผนการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายใต้แนวทาง “Well-to-Wheel” จะใช้ค่าการปล่อยมลพิษตั้งแต่ปี 2010 เป็นตัววัด โดยรถยนต์ Mazda จะต้องลดอัตราการปล่อยมลพิษตลอดอายุการใช้งานลงมา 50 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2030 และต้องลดลง 90 เปอร์เซ็นต์ในปี 2050 เพื่อจะทำให้ได้ตามเป้าหมายนี้ Mazda เตรียมนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้าออกสู่สาธารณชนในปี 2019 รวมทั้งระบบขับเคลื่อนลูกผสมทั้งไฮบริด และปลั๊ก-อิน ไฮบริด โดยเฉพาะในประเทศที่ให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาด และข้อกำหนดด้านมลพิษที่เข้มงวดที่คงหนีไม่พ้นสหรัฐฯ และทวีปยุโรป
นอกจากนี้เป็นการสานต่อหัวใจหลักในการพัฒนารถยนต์ทั้ง Jinba-ittai และแนวทางการออกแบบ Kodo Design ที่จะถูกยกระดับขึ้นไปจากปัจจุบัน รวมทั้งพัฒนาระบบความปลอดภัย i-Activsense เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุบนถนน โดยคาดว่าจะติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถของ Mazda ที่ผลิตขายทั่วโลกภายในปี 2018
กำหนดการเปิดตัวเทคโนโลยี และรถยนต์รุ่นใหม่ของ Mazda ในช่วงปลายทศวรรษนี้
ขณะที่ระบบควบคุมการขับขี่อัตโนมัติกำลังอยู่ระหว่างพัฒนาร่วมกับเทคโนโลยี Mazda Co-Pilot Concept โดยคาดว่าจะเริ่มต้นใช้งานอย่างเป็นทางการในอีก 3 ปีข้างหน้าก่อนจะติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถทุกรุ่นตั้งแต่ปี 2025
เรื่อง : พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล : Mazda Media
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th