McLaren สรุปสเปก Senna GTR

จัดได้ว่าเป็นผู้ผลิตรถสปอร์ตที่มีผลงานความแรงมานำเสนออย่างต่อเนื่อง เพราะหลังจากเผยแพร่ภาพและข้อมูลของ Speedtail ไปได้ไม่นาน ทาง McLaren ก็ออกมาเปิดเผยถึงสเปกและการเริ่มทดสอบ Senna GTR ไฮเปอร์คาร์สำหรับสนามแข่งที่ถูกเปิดตัวไปในเจนีวามอเตอร์โชว์เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และเช่นเดียวกับ Speedtail ที่จำนวนการผลิตจำกัดของของไฮเปอร์คาร์รุ่นนี้คือ 75 คันได้ถูกจองไปหมดเรียบร้อยแล้ว

สิ่งที่ McLaren ระบุเกี่ยวกับ Senna GTR คือจะเป็นเวอร์ชั่นที่สุดในทุกด้านของ McLaren Senna รุ่นสำหรับใช้ขับบนถนนสาธารณะได้อย่างถูกกฏหมายที่มีการผลิตในปัจจุบัน โดยที่ทาง McLaren ได้มีการทดสอบรถเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการสำหรับการใช้ในสนามแข่ง ซึ่งคันต้นแบบที่ถูกพัฒนาได้เริ่มการทดสอบโดยการปรับส่วนสำคัญจากตัวรถ Senna สำหรับใช้บนถนนสาธารณะ ซึ่งจะทำให้ผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมาคือ Senna GTR บนพื้นฐานแชสซีส์ที่มีความกว้างทั้งด้านหน้าและด้านหลังพร้อมกับล็อแบบ Centre-Lock ขณะที่ตัวรถคาร์บอนไฟเบอร์ได้รับการออกแบบใหม่ มีด้านหน้าที่กว้าง ทั้ง Splitter ด้านหน้าและ Diffuser ด้านหลังมีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมกับมีการเปลี่ยนตำแหน่งสปอยเลอร์ซึ่งเป็นแบบสองชิ้นเพื่อผลด้านแอโรไดนามิกสูงสุดจากอากาศที่ไหลผ่านจาก Diffuser สำหรับการสร้างแรงกดโดยเมื่อรวมกับระบบแอโรไดนามิกส่วนอื่นของรถสามารถสร้างแรงกดได้ถึง 1,000 กิโลกรัม พร้อมกับมีการลดน้ำหนักของรถลงให้มากที่สุดโดยนอกจากการใช้คาร์บอนไฟเบอร์โมโนเคจเป็นหัวใจหลักแล้ว McLaren นำนำสิ่งต่างๆ ที่ไม่จำเป็นออกไปจาก Senna GTR ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยและหน้าจอสำหรับระบบ Infotainment ที่อยู่ในรุ่นปกติ รวมทั้งเปลี่ยนพวงมาลัยและการเปลี่ยนเกียร์แบบรถแข่งแทนของเดิม ขณะที่ระบบปรับอากาศ และเรดาร์ช่วยในการขับรวมทั้งระบบเตือนเพื่อหลีกเลี่ยงการชนด้านหลังยังมีเป็นอุปกรร์มาตรฐาน

ในด้านกำลังของ Senna GTR ทาง McLaren ระบุว่ามาจากเครื่องนต์ V8 4,000 ซีซี ทวินเทอร์โบ 825 แรงม้า เพิ่มขึ้นจากรุ่นใช้บนถนน 25 แรงม้า ส่วนแรงบิด 800 นิวตัน-เมตร ซึ่งด้วยระบบแอโรไดนามิกที่ใช้ใน Senna GTR ส่วนระบบช่วงล่างของรถเป็นแบบดับเบิลวิชโบน โดยนำเอาสปริง โช๊ก และเหล็กกันโคลงที่ถูกพัฒนาขึ้นมาสำหรับ GT3 มาใช้ ขณะที่ยางเป็นแบบสลิกเรซของ Pirelli ทั้งเพื่อสมรรถนะและการเบรกที่ดีที่สุด ซึ่ง McLaren ระบุว่า Senna GTR สามารถหยุดรถได้ดีกว่า Senna สำหรับใช้งานบนถนน 20 เปอร์เซ็นต์