Mercedes-Benz C200 รุ่นปรับโฉม ขุมพลัง 1.5 พ่วงด้วยไฟฟ้าเสริมพละกำลัง
ทิศทางของรถยนต์ในปัจจุบัน หันไปให้ความสนใจเรื่องของการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่ามากขึ้น รวมทั้งนำเทคโนโลยีด้านพลังงานไฟฟ้าเข้ามาเสริมเพื่อสร้างสมรรถนะที่ดียิ่งขึ้น และช่วยทำให้โลกนี้สะอาดขึ้น แต่ยังคงต้องการความสนุกและความแรงในการขับขี่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ จึงได้พัฒนาเครื่องยนต์ให้มีขนาดที่เล็กลง (Downsizing) ให้พละกำลังไม่น้อยกว่าเดิม แถมยังเสริมพลังด้วยกระแสไฟฟ้าอย่างที่มีอยู่ใน C200 รุ่นปรับโฉม ที่เขียนถึงนี้ หรือที่เรียกว่าปรับแบบเฟซลิฟท์ (Facelift) คือ ปรับโฉมหน้าตา ไฟท้าย และอุปกรณ์อื่นๆ อีกเพียบ! ส่วนขนาดตัวถังยังคงเดิมขนาดกว้าง 1,810 ยาว 4,686 และสูง 1,442 มม.
Mercedes-Benz 190E ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี
Mercedes-Benz C200 Facelift 2018
โดยโมเดล ซี-คลาส (C-Class) มีการเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1982 จนถึงปัจจุบัน สามารถทำยอดขายรวมได้มากกว่า 9.5 ล้านคัน และในปี 2015 ทำยอดขายทะลุ 4 แสนคัน และเฉพาะในปี 2017 ซี-คลาส ตัวถังซาลูน (Saloon) และเอสเตท (Estate) มียอดขายรวมมากกว่า 415,000 คัน
ส่วน เมอร์เซเดส-เบนซ์ C200 ที่นำมาให้รู้จักกันนี้ ยังคงเป็นรหัสตัวถัง W205 เป็นรุ่นตัวถังซีดาน ซึ่งได้สัมผัสกันไกลถึงประเทศลักเซมเบิร์กแล้วขับข้ามพรมแดนมายังเยอรมนี โดยทริปนี้มีให้ลองกันหลายรุ่นไม่ว่าจะเป็น C200, C220d, C300, C400 และ AMG C43 4Matic มีทั้งตัวถังแบบ Sedan, Coupe, Cabriolet, Station Wagon ครบทีมเลยทีเดียว แต่ขอเลือกเขียนถึง C200 ก่อน เพราะถือว่าเป็นรุ่นที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
Display แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นว่ามีอะไรที่ถูกปรับเปลี่ยนไปบ้าง
ส่วนการปรับโฉมใหม่นี้ พูดได้ว่าเปลี่ยนแทบทั้งคัน ชิ้นส่วนมีการเปลี่ยนแปลง 6,500 รายการ, ระบบ Powertrain ปรับจากเดิมถึง 70%, ชิ้นส่วนภายในต่างๆ 50%, โครงสร้างตัวถัง Chassis 5%, ชิ้นส่วนและการออกแบบภายนอก 40%, ระบบ Electronic ไม่ว่าจะเป็นเซ็นเซอร์ การทำงานของระบบความปลอดภัยและ Control Unit ในระบบต่างๆ 80% เป็นการปรับเปลี่ยนเกือบทั้งคันเลยทีเดียว รวมทั้งล้ออัลลอยลายใหม่อีกด้วย
โดดเด่นด้วยระบบไฟหน้าใหม่เป็นแบบ LED High Performance ในรุ่นมาตรฐาน และแบบ Multibeam LED พร้อมด้วย Ultra Range High Beam ในรุ่นสูงสุด ทำให้เส้นสายด้านหน้าตัวรถดูเคร่งขรึมและสง่างามมากกว่าเดิม ซึ่งระบบไฟหน้าแบบ Multibeam LED เป็นการนำมาใช้ครั้งแรกกับ ซี-คลาส ช่วยให้ปรับระดับไฟหน้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทั้งระดับไฟปกติและไฟสูงที่ปรับองศาไม่ให้ลำแสงส่องเข้าไปยังรถคันที่ขับสวนมา โดยมีชิป LED จำนวน 84 ชิป ติดตั้งอยู่ในแต่ละโมดูลซึ่งมีความแม่นยำสูง สามารถสั่งการควบคุมระดับไฟได้เองตลอดเวลา ซึ่งจะคำนวณค่าแสงที่เหมาะสมผ่านทางกล้องหน้า ระบบเซ็นเซอร์ และระบบนำทางที่จะคำนวณเส้นทางเอาไว้ล่วงหน้า
รายละเอียดของไฟหน้าแบบ Multibeam LED พร้อมด้วย Ultra Range High Beam
ส่วนระบบไฟสูง Adaptive Highbeam Assist Plus ส่งลำแสงส่องสว่างโทนสีขาวที่ไม่แยงตา เมื่อรถทำความเร็วสูงกว่า 40 กม./ชม. และไม่ตรวจพบว่ามีรถอยู่ข้างหน้าระบบ Ultra Range จะเปิดอัตโนมัติ และทำให้ไฟหน้าหลักปรับระดับต่ำลง ซึ่งระยะของลำแสงจะอยู่ที่ 650 เมตร แต่เมื่อมีรถขับส่วนทางมาหรือมีรถอยู่ข้างหน้า ระบบไฟจะปรับให้องศาของไฟแคบลงโดยที่ไม่ทำให้ไปแยงตารถคันหน้านั่นเอง ซึ่งช่วยให้ขับขี่ในช่วงค่ำคืนได้อย่างปลอดภัยทั้งจาก C200 และรถคันอื่นที่ร่วมทาง
Digital Cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว,หน้าจอกลางคอนโซลเป็น Media Display ที่เพิ่มขนาดเป็น 10.25 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารมีการปรับเปลี่ยนเช่นเดียวกัน เริ่มจากพวงมาลัยที่มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ New Multifunction Steering Wheel ที่มีปุ่มควบคุมแบบบ Touch Control Button หรือแบบสัมผัสใช้งานได้ง่าย โดยเรือนไมล์แบบใหม่ดูคมชัดและสบายตาด้วย Digital Cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว, หน้าจอกลางคอนโซลเป็น Media Display ที่เพิ่มขนาดเป็น 10.25 นิ้ว สามารถปรับแสงสีในห้องโดยสารได้มากถึง 64 เฉดสี ส่วนระบบเสียงเพิ่มเติมด้วยลำโพง 9 ตัว กำลังขับ 225 วัตต์ พร้อมระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester
เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 184 แรงม้า เล็ก แรง ประหยัด รักษ์โลก
EQ Boost ตัวขนาดพอเหมาะที่ให้แรงม้าเพิ่มอีก 14 ตัว
โดยเฉพาะในเรื่องของขุมพลังใหม่ที่มีขนาดเล็กลงเป็นขนาด 1.5 ลิตร เท่านั้น แต่ให้ความสนุกและความมั่นใจในการขับขี่ไม่แพ้เครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 1.5 ลิตร (1,497 cc.) เป็นแบบ 4 สูบ 184 แรงม้า ที่ 5,800 – 6,100 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ที่ 3,000 – 4,000 รอบต่อนาที ทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 239 กม./ชม. การคายไอเสียนั้นมีตัวเลขเคลมเอาไว้ที่ 154-144 กรัมต่อกิโลเมตร
แต่จุดเด่นสำคัญคือ ขุมพลังเบนซินรหัส M264 ที่เป็นเครื่องยนต์บล็อคใหม่ มีขนาดเพียง 1.5 ลิตร พ่วงด้วยระบบ EQ Boost (เสริมพละกำลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า) เป็นระบบไฟแบบ 48 โวลต์ โดยการทำงานของ EQ Boost นี้ ได้ออกแบบให้ไดชาร์จที่ทำหน้าที่ชาร์จไฟแบบปกติ ที่นอกจากมีหน้าที่สตาร์ทเครื่องยนต์แล้ว ยังรับงานเสริมเป็นมอเตอร์บูส เพื่อเพิ่มแรงขับเคลื่อน ด้วยการไปหมุนสายพานหน้าเครื่องไปขับพูเล่ย์ (Pulley) ด้านหน้าเพลาข้อเหวี่ยงโดยตรง ทำให้เครื่องยนต์มีพละกำลังเพิ่มขึ้นอีก 14 แรงม้า (10 กิโลวัตต์) ทำให้อัตราเร่งดีขึ้นด้วยระหว่างที่รอเวลาให้เทอร์โบบูส จะได้พลังเสริมจากมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยเสริมแรงก่อนนั่นเอง รวมทั้งติดตั้งเทอร์โบแบบ Twin-Scroll Turbo พร้อมส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9G-Tronic) ที่นอกจากเครื่องยนต์จะมีขนาดที่เล็กลง การเผาไหม้สะอาด ประหยัดน้ำมันมากขึ้น แต่ยังคงความเร้าใจในการขับขี่สไตล์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เช่นเคย
จากการทดลองขับในระยะสั้นๆ ราว 30 กิโลเมตร เพราะด้วยการที่ต้องจองคิวรถกับสื่อชาติอื่นๆ เลยไม่ได้ขับแบบยาวๆ เท่าที่สัมผัสได้คือ C200 รุ่นปรับโฉมใหม่นี้ แม้ว่าเครื่องยนต์จะมีขนาดที่เล็กลง แต่อัตราเร่งยังคงขับได้สนุก การทำความเร็วช่วง 40-130 กม. ทำได้ทีเดียว เมื่อขับไปบนออโตบาห์นที่ไม่จำกัดความเร็ว ในช่วงความเร็วปลาย 160 จะเริ่มขยับขึ้นช้านิดหน่อย แต่ยังสามารถไหลไปได้เรื่อยๆ ถึง 200 กม./ชม. หลังจากนี้ต้องเค้นความเร็วกันพอประมาณ หากพูดถึงการใช้งานแบบทั่วไปแล้วถือว่าทำได้ประทับใจกว่ารุ่นเดิมมากพอสมควร ส่วนระบบกันสะเทือนและช่วงล่างปรับตั้งมาเน้นความนุ่มนวล แต่เกาะถนนหนึบหนับ ห้องโดยสารค่อนข้างเงียบ เสียงลมเข้ามาน้อยมาก
เลือกปรับรูปแบบของหน้าจอได้หลากหลาย แล้วแต่ความต้องการใช้งาน
ปุ่มปรับการทำงานด้านความปลอดภัยในการขับและระบบช่วยเหลือต่างๆ
แถมยังมีระบบความปลอดภัยที่จัดมาให้เต็มรูปแบบไม่ว่าจะเป็น Extended Active Brake Assist, Active Distance Control Distronic, Active Steering Assist Active Lane Change Assist, Active Emergency Stop Assist ซึ่งทำงานได้อย่างรวดเร็ว โดยในโหมดที่ทำงานแบบ Active ทั้งหมด พูดง่ายๆ ว่าสามารถทำงานแบบขับขี่อัตโนมัติได้ด้วยการประสานการตรวจจับผ่านเซ็นเซอร์ต่างๆ แต่ยังต้องให้ผู้ขับขี่เป็นคนควบคุมเป็นหลักเท่านั้นเพื่อความปลอดภัย ตัวอย่างเช่น เมื่อรถขับออกนอกเลน เซ็นเซอร์ตรวจจับเส้นแบ่งการจราจรพบกว่ารถเริ่มเบี่ยงออกและทับเส้นจราจรจะมีสัญญาณเตือนขึ้นที่หน้าจอและจะทำการชะลอความเร็ว รวมทั้งปรับองศาพวงมาลัยให้กลับเข้ามาในเลนอย่างนุ่มนวล หรือหากขับรถชิดคันหน้ามากเกินไปก็จะเตือนในลักษณะเดียวกัน พร้อมทั้งชะลอความเร็ว ซึ่งสร้างความมั่นใจในการขับได้มากทีเดียว ส่วนอัตราสิ้นเปลืองอยู่ราวๆ 10-11 กิโลเมตรต่อลิตร
โดยภาพรวมแล้วถือว่า C200 รุ่นปรับโฉมใหม่นี้ เปลี่ยนแปลงไปแทบจะทั้งคัน มีเครื่องยนต์ใหม่ การขับขี่ดีขึ้นกว่าเดิม มีการพัฒนาในหลายๆ ด้านที่ดีขึ้นในทุกระดับ เตรียมตัวพบกันเร็วๆ นี้ คาดว่าจะเป็นช่วงเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายนนี้ กับตัวถังแบบคูเป้นั่นเอง
เรื่อง: พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th