Mercedes-Benz เตรียมใช้งานระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ Drive Pilot ระดับ 3 บนถนนจริง
![Mercedes-Benz Drive Pilot](https://www.grandprix.co.th/wp-content/uploads/2025/02/mercedes-benz-drive-pilot-approved-level-3-autonomous-driving-2-660x400.jpg)
Mercedes-Benz ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของประเทศเยอรมนี ก้าวหน้าไปอีกขั้นหลังจากระบบควบคุมการขับขี่อัตโนมัติ Drive Pilot ของพวกเขาได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานควบคุมการจราจร (German Federal Motor Transport Authority) ให้สามารถใช้งานระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 (Level 3) ด้วยความเร็วสูงสุด 95 กม./ชม. บนถนนจริง โดยเตรียมติดตั้งในรถยนต์ใหม่ที่จำหน่ายตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025
ระบบควบคุมการขับขี่อัตโนมัติ 2 ระดับแรก Level 1 และ Level 2 กำหนดให้ติดตั้งเพียงระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแปรผัน และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องจราจรเท่านั้น ทำให้การได้รับอนุมัติครั้งนี้ของ Mercedes ถือเป็นการยกระดับเทคโนโลยียานยนต์ครั้งสำคัญ โดยระบบควบคุมการขับขี่อัตโนมัติ Level 3 – คนขับจะสามารถละสายตาจากถนน แต่ยังเป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติภายใต้สถานการณ์ที่กำหนด และผู้ขับขี่ต้องพร้อมกลับมาควบคุมพวงมาลัยตลอดเวลา
Mercedes-Benz ฉลองครบรอบ 30 ปี ในฐานะผู้บุกเบิกนวัตกรรมยานยนต์โลก
ความสำเร็จของ Mercedes ในครั้งนี้ทำให้ Drive Pilot กลายเป็นระบบควบคุมการขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 ที่มีความเร็วสูงสุดสำหรับรถยนต์ที่ผลิตขายทั่วไป ด้วยการกำหนดให้ใช้ความเร็วสูงสุดได้ไม่เกิน 95 กม./ชม. โดยพวกเขาจะเริ่มติดตั้งให้ใช้งานในกลุ่มซาลูนหรู S-Class และ EQS ที่ออกขายตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025 และสำหรับเจ้าของรถทั้ง 2 รุ่นในประเทศเยอรมนีที่มีระบบ Drive Pilot อยู่แล้วจะสามารถกลับมาอัปเดตซอฟต์แวร์ใหม่ที่ศูนย์บริการโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
Markus Schäfer ประธานฝ่ายเทคโนโลยี การพัฒนา และจัดซื้อของ Mercedes-Benz Group AG กล่าวถึงก้าวสำคัญของพวกเขาว่า “ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยจาก Mercedes-Benz เราต้องการมอบคุณค่าที่มากขึ้นให้กับลูกค้าของเราเสมอ เมื่อระบบ Drive Pilot ถูกเปิดใช้งาน คุณสามารถสนใจสิ่งอื่นๆ ระหว่างที่รถยนต์ควบคุมการเดินทางอัตโนมัติ และการพัฒนาเวอร์ชั่นล่าสุดที่ตอนนี้ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานควบคุมการจราจรของประเทศเยอรมนี โดยสามารถขับด้วยความเร็วสูงสุด 95 กม./ชม. ในประเทศเยอรมนี ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด”
“ผมรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติภายใต้สถานการณ์ที่กำหนดที่มีความเร็วสูงสุดมาจาก Mercedes-Benz ผมเชื่อมั่นว่าด้วยการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยอย่างสูงสุด เรากำลังเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องสู่อีกความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในอีกไม่นานนี้”
ด้วยเหตุนี้ Mercedes กำหนดให้ Drive Pilot สามารถเปิดใช้งานระบบควบคุมการขับขี่อัตโนมัติเฉพาะเวลาที่อยู่บนทางหลวงระหว่างเมืองหรือที่หลายคนรู้จักดีในชื่อของ Autobahn ที่มีโครงข่ายทั่วประเทศเยอรมนีเป็นระยะทางรวม 13,191 กิโลเมตร โดยรถจะถูกควบคุมให้อยู่เลนขวาเท่านั้น (หรือเลนซ้ายสำหรับรถยนต์พวงมาลัยขวา เช่น ประเทศไทย) และระบบจะควบคุมระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างเหมาะสมในความเร็วไม่เกิน 95 กม./ชม.
ระหว่างเปิดการใช้งานระบบ Drive Pilot ผู้ขับขี่จะสามารถปล่อยมือจากพวงมาลัยเพื่อทำงาน, อ่านหนังสือ หรือเลือกดูรายการบันเทิง/ภาพยนตร์ผ่านหน้าจอบริเวณคอนโซลกลาง แต่หากมีสัญญาณไฟสีแดงบริเวณพวงมาลัยเตือน ผู้ขับขี่จะต้องพร้อมกลับมาควบคุมรถยนต์ด้วยตัวเองทันที
อย่างไรก็ตามความปลอดภัยยังเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกของ Mercedes ทำให้รถยนต์ของพวกเขาที่ติดตั้งระบบ Drive Pilot มีการออกแบบระบบควบคุมการทำงานสำรองในกรณีฉุกเฉิน โดยติดตั้งระบบไฟฟ้า, ระบบพวงมาลัย และระบบเบรก 2 ชุด หากระบบเกิดความผิดพลาดจะสามารถเปลี่ยนกลับมาให้มนุษย์ควบคุมรถยนต์ด้วยตัวเองทันที แต่หากมือไม่สัมผัสพวงมาลัยในเวลาที่กำหนด (เช่น ผู้ขับขี่มีอาการป่วยกะทันหัน) ระบบ Drive Pilot จะควบคุมให้รถเข้าจอดอย่างปลอดภัยพร้อมเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน โดยทั้งหมดจะใช้การตรวจจับของเซ็นเซอร์มากกว่า 35 ตัวผ่านระบบกล้อง, เรดาห์, เซ็นเซอร์อัลตร้าโซนิก และ LiDAR การวัดระยะด้วยแสงเลเซอร์
นอกจากนี้การพัฒนาที่ Mercedes-Benz กำหนดเป้าหมายสู่การนำเสนอคุณค่าที่มากกว่าสำหรับลูกค้าของพวกเขา โดยระบบควบคุมการขับขี่อัตโนมัติในอนาคตของพวกเขาจะต้องมีความเร็วที่สูงขึ้น, ระยะเวลาการขับที่ยาวนานขึ้นโดยมนุษย์ไม่ต้องเข้ามาควบคุม, เพิ่มความสะดวกสบาย และความปลอดภัยที่มั่นใจได้สูงสุด โดยมีผลการศึกษาว่าความปลอดภัยบนท้องถนนจะเพิ่มขึ้นหากมีรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติมากขึ้น และปัจจุบันกฎหมายเยอรมนีกำหนดให้รถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติภายใต้สถานการณ์ที่กำหนดมีความเร็วสูงสุดไม่เกิน 130 กม./ชม. ถือเป็นอีกเป้าหมายที่ Mercedes ต้องการทำให้สำเร็จก่อนสิ้นสุดทศวรรษนี้
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: Mercedes-Benz Media
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th
MERCEDES-BENZ ฉลองครบรอบ 30 ปี แห่งความสำเร็จในด้านนวัตกรรมยานยนต์ระดับโลกใน Silicon Valley โดย บริษัท Mercedes-Benz Research & Development North America, Inc. (MBRDNA) เป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาที่ดำเนินงานภายใต้ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ซิลิคอนแวลลีย์ ศูนย์ฯ แห่งนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ ด้วยการบุกเบิกเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมหลากหลายด้าน
อาทิ การเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่ให้บริการระบบ Music Navigation รองรับการใช้งาน iPod อย่างเต็มรูปแบบ การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ระดับพรีเมียมจากเยอรมนีรายแรกที่นำระบบอินโฟเทนเมนต์ “CarPlay” ของ Apple เข้ามาใช้ในรถยนต์ และการเป็นผู้ผลิตรายแรกในสหรัฐฯ ที่เปิดตัวฟังก์ชัน Google “Send-to-Car” ในรถยนต์
รวมถึงครั้งล่าสุดกับการผสาน ChatGPT เข้ากับระบบ MBUX ในรถยนต์บางรุ่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยตลอดระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา MBRDNA มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ขับเคลื่อนวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีที่สร้างจุดเปลี่ยนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง
ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี กล่าวว่า “นวัตกรรมคือหัวใจสำคัญที่อยู่ในดีเอ็นเอของเรา ในช่วงระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา MBRDNA มีบทบาทสำคัญในการผสานเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดเข้ากับความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ความสำเร็จนี้จึงเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นและพยายามของทีมงาน ทำให้เราพร้อมก้าวสู่ปี 2568 และปีต่อๆ ไป อย่างต่อเนื่องโดยรถยนต์รุ่น CLA และ MB.OS ที่กำลังจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ คือข้อพิสูจน์ที่สะท้อนถึงความสำเร็จของเรา”
ศูนย์วิจัยและพัฒนา MBRDNA ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2537 ด้วยพันธกิจในการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือกับสถาบันวิจัยต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งติดตามความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ จากจุดเริ่มต้นที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและไมโครอิเล็กทรอนิกส์ MBRDNA ได้ก้าวขึ้นไปสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม โดยผสานความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมจากเยอรมนีเข้ากับวัฒนธรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมอันล้ำสมัยในพื้นที่ซิลิคอนแวลลีย์ได้อย่างลงตัว
ศูนย์วิจัยและพัฒนานี้ตั้งอยู่ใน 6 พื้นที่ยุทธศาสตร์ทั่วอเมริกาเหนือ ตั้งแต่เมืองแอนน์อาร์เบอร์ (Ann Arbor) และฟาร์มิงตันฮิลส์ (Farmington Hills) ในรัฐมิชิแกน ไปจนถึงเมืองซีแอตเทิล (Seattle) ในรัฐวอชิงตัน และอีกสามแห่งในแคลิฟอร์เนีย ได้แก่ เมืองซันนีเวล (Sunnyvale) ลองบีช (Long Beach) และคาร์ลสแบด (Carlsbad)
มีทีมงานกว่า 600 คนที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ในการสานต่อมรดกแห่งความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมของแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งการฉลองครบรอบ 30 ปีในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ MBRDNA ในการสร้างสรรค์และออกแบบรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อันเป็นที่ต้องการมากที่สุดสำหรับลูกค้าในทวีปอเมริกาเหนือ
คณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี กล่าวว่า