Mercedes-Benz E-Class ไม่ใช่แค่ความหรู แต่นี่คือเทคโนโลยีติดล้อ
ทิ้งระยะจากการเปิดตัวในงาน NAIAS หรือที่คนมักจะชอบเรียกกันสั้นๆ ว่า Detroit Auto Show เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ถือว่าค่อนข้างเร็วเหมือนกันที่เรามีโอกาสได้สัมผัสกับความหรูและความไฮเทคจากตัวเป็นๆ ของ Mercedes-Benz E-Class ใหม่
ที่บอกว่าเร็วนั้น เราไม่ได้หมายถึงแค่การทราบกำหนดการเตรียมเปิดตัวในตลาดบ้านเราเท่านั้น แต่หมายความว่าการได้มีคันจริงๆ ให้มาให้สื่อได้ทดลองขับ เพราะทิ้งระยะแค่ 2 เดือนนับจาก World Premier เท่านั้นเอง ทางค่ายดาว 3 แฉกก็จัดกิจกรรมจัดทดสอบ E-Class ใหม่สำหรับสื่อมวลชนทั่วโลก โดยมีประเทศโปรตุเกสเป็นเวทีในการสัมผัสกับสมรรถนะ ความเร้าใจ และความหรูของ W213 คันนี้
ต้องยอมรับว่านับจากการเปลี่ยนจากการใช้ตัวอักษร E มานำหน้าตัวเลข แทนที่จะต่อท้ายตัวเลขเหมือนเมื่อก่อน (โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงไมเนอร์เชนจ์ของ W124 เมื่อสักประมาณปี 1993) รวมถึงการเปลี่ยนผ่านมาสู่ยุคของ New Eyes พร้อมการเปลี่ยนรหัสตัวถังที่ไม่ยอมนับตัวเลขต่อจาก 124 แต่เปลี่ยนมาเป็น W210 เมื่อปี 1995 ส่งผลให้สายพันธุ์ E-Class ของ Mercedes-Benz มีการเปลี่ยนแปลงบทบาทและการพัฒนาตัวรถที่รวดเร็วและต่อเนื่องชนิดที่ถ้าลองเอาแต่ละรุ่นมาวางเรียงกันเราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในเชิงกายภาพที่สัมผัสได้ด้วยตามเปล่าอย่างชัดเจน
และกับรุ่นใหม่ที่มากับรหัส W213 หมายความว่าถ้านับเอา W210 หรือ New Eyes เป็นหลัก นี่คือเจเนอเรชั่นที่ 4 ของศักราชใหม่ E-Class และไม่ค่อยอยากนับว่าเป็น 5 เหมือนกับบางแหล่งข้อมูล เพราะ W124 เป็นแค่ไมเนอร์เชนจ์แล้วเปลี่ยนระบบเรียกขานรุ่นรถยนต์ใหม่เท่านั้น จึงไม่ควรถูกนับว่าเป็นต้นตระกูล E-Class ยุคใหม่
ตามกำหนดการแล้ว เราจะมีโอกาสได้สัมผัสกับ E-Class หลากรุ่นย่อยที่จอดเรียงรายทั้งในรูปแบบของการขับ บนถนนในประเทศโปรตุเกส และการดูความไฮเทคของระบบต่างๆ ของตัวรถที่แล่นทดสอบในสนาม Estoril ซึ่งเป็นอดีตสังเวียนการแข่งขัน F1
แรกสัมผัสกับตัวรถ สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งสำหรับ E-Class คือ เรื่องความเปลี่ยนแปลงในเชิงการออกแบบ ถ้าสังเกตให้ดี Mercedes-Benz กำหนดรูปแบบของไฟหน้าในสไตล์ New Eye ซึ่งเป็นดวงแยกฝั่งละ 2 ดวงมาตั้งแต่ W210 และใช้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงการปรับโฉมของ W212 ซึ่ง E-Class มีการปรับให้กลับมาใช้ไฟแบบโคมเดี่ยวอีกครั้ง และก็ยึดแนวทางนี้มาใช้กับรุ่นใหม่อย่าง W213 ด้วย โดยโคมไฟของรุ่นนี้ถือเป็นอีกไฮไลท์ทางด้านเทคโนโลยีเลยก็ว่าได้กับแนวคิด MULTIBEAN LED ที่มีหลอดแบบ LED จำนวน 84 ดวงรับหน้าที่ในการเป็นแสงนำทางยามค่ำคืน
ขณะเดียวกัน Design Language ก็ยังทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ ในการกำหนดบทบาทและทิศทางของเส้นสายบนตัวถังซึ่งใครที่ได้เห็นแวบแรกแล้ว มักจะมีคำพูดในทำนองที่ว่า ถ้าไม่ใช่ S-Class ย่อส่วน ก็ต้องเป็น C-Class โดยขยายร่าง…ซึ่งก็จริงอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนที่เด่นอีกอย่างคือ ความเพรียวของตัวถังที่ออกแบบโดยเน้นหลักอากาศพลศาสตร์ จนค่า Cd ต่ำมาก เพียง 0.23 เท่านั้นเอง
เมื่อเข้าสู่ด้านในห้องโดยสาร สิ่งแรกที่ชวนให้ประทับใจคือ ภาพรวมของการออกแบบภายในที่ดูปลอดโปร่ง หรูหรา และมีความพิถีพิถันในการเลือกใช้วัสดุ ความรกรุงรังบริเวณแผงคอนโซลกลางเพราะปุ่มต่างๆ หายไป เพราะทุกอย่างถูกแทนที่ด้วยการควบคุมผ่านทางระบบ COMMAND เบาะนั่งออกแบบได้อย่างรัดกระชับ และเพียบพร้อมด้วยความสะดวกสบาย
และเมื่อความประทับใจแรกในเชิงอารมณ์ผ่านไป สิ่งต่อมาที่จะได้รับคือ ความไฮเทคของตัวรถ มาตรวัดแบบเดิม ถูกเปลี่ยนด้วยหน้าจอขนาด 12.3 นิ้วที่มีความละเอียด 1920X720 พิกเซล สามารถแสดงผลมาตรวัดรูปแบบต่างๆ ถึง 3 แบบ คือ Classic Sport และ Progressive อีกไม่ได้มาแค่จอเดียว แต่มีถึง 2 ตัวที่วางยาวต่อเนื่องกันเหมือนกับจอ Panorama โดยจอตัวนอกสุดสำหรับแสดงการทำงานของระบบต่างๆ ในตัวรถ และที่น่าประทับใจคือ คุณสามารถควบคุมและสั่งการมันเหมือนกับเวลาใช้นิ้วจิ้มหรือสไลด์ผ่านบนหน้าจอของ Smartphone
ไม่ได้หมายความว่าหน้าจอตรงนั้นเป็น Touchscreen แต่ Mercedes-Benz ทำให้เหนือชั้นยิ่งขึ้น ด้วยการติดตั้งชิ้นส่วนที่ดูคล้ายกับ Mouse Pad ของ Laptop เอาไว้ตรงก้านพวงมาลัยเพื่อใช้คุณสามารถใช้นิ้วสไลด์หรือเลื่อนลูกศรที่ปรากฎบนหน้าจอตรงคอนโซลกลางในการควบคุมหรือสั่งการทำงานระบบต่างๆ ในตัวรถ
สำหรับ E-Class ที่วางขายอยู่ในท้องตลาด ณ ปัจจุบันนี้ มีทั้งหมด 6 รุ่ยย่อย โดยที่ยังไม่ได้นับรวมเวอร์ชัน AMG ไล่ตั้งแต่กลุ่มเบนซิน E200 ที่มีกำลัง 184 แรงม้าตามด้วย E300 เครื่องยนต์ 2,000 ซีซีเทอร์โบเหมือนกัน แต่ขยับความแรงเป็น 245 แรงม้า ตามด้วย E400 4MATIC เครื่องยนต์วี6 3,000 ซีซีเทอร์โบ 333 แรงม้า โดยเป็นรุ่นเดียวที่ขับเคลื่อน 4 ล้อ และตัวไฮบริดแบบ Plug-in ที่ใช้เครื่องยนต์ 2,000 ซีซีเป็นพื้นฐานและพวงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ขยับกำลังเป็น 286 แรงม้า ส่วนกลุ่มเทอร์โบดีเซลมี 2 รุ่นคือ E220d 2,000 ซีซี 195 แรงม้า และ E350d 3,000 ซีซี 258 แรงม้า และทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ
น่าเสียดายที่ในการทดสอบนี้เราไม่ได้ขับรุ่นที่จะถูกนำเข้ามาขายในเมืองไทย ดังนั้น การขับจึงเน้นไปที่เรื่องการสัมผัสกับความน่าประทับใจในเชิงเทคโนโลยีที่มีอยู่ในตัวรถมากกว่า ซึ่งต้องยอมรับว่า E-Class ใหม่นี้ อัดแน่นด้วยหลากหลายนวัตกรรมทั้งในแง่การขับเคลื่อน และความปลอดภัย ชนิดที่แค่ซื้อมาขับแบบไม่ศึกษา หรืออ่านแมนนวลตามไม่ได้แล้ว เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะงงกันได้
เมื่อลองขับบนไฮเวย์ และดึงก้านควบคุมระบบครูสคอนโทรล 2 ครั้งเพื่อเข้าระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ถ้าความเร็วถูกกำหนดไม่เกิน 120 กม./ชม. ระบบก็จะเร่งความเร็วให้ถึงระดับนี้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องกลัวว่าจะชนคันหน้า เพราะถ้าประเมินผลจากข้อมูลที่ได้จากกล้องและเรดาร์แบบ 3 มิติแล้วว่าด้านหน้ามีรถหรือสิ่งกีดขวางอยู่ ก็จะสั่งชลอความเร็วโดยอัตโนมัติ ถ้าสปีดลิมิตช่วงต่อไปลดลงไปเหลือ 50 กม./ชม. เช่นเวลาเข้าเขตชุมชน ระบบก็จะลดความเร็วให้ไม่เกิน 50 กม./ชม. ได้อย่างนุ่มนวล
ขณะที่ขับในเลน ระบบจะช่วยบังคับพวงมาลัยเลี้ยวให้เองในระดับหนึ่งเพื่อรักษารถให้แล่นอยู่ในเลนสำหรับถนนที่มีเส้นแบ่งเลน โดยที่คนขับไม่ต้องจับพวงมาลัย แต่ไม่ต้องห่วงว่าระบบควบคุมจะทำงานเหนือคนขับ เพราะคนขับสามารถเข้ามาควบคุมรถด้วยตัวเองได้ตลอดเวลา เพียงแต่อาจจะมีการสั่นเตือนที่พวงมาลัยเล็กน้อยว่าคุณกำลังขับข้ามเลน
นอกจากนั้น ระบบนี้ยังช่วยลดภาระผู้ขับ ซึ่งถ้าต้องการเปลี่ยนเลน แค่เปิดไฟเลี้ยว โดยไม่ต้องจับพวงมาลัย ระบบจะบังคับรถเปลี่ยนเลนให้เอง โดยที่จะมีการประมวลผลดูก่อนว่ามีรถกำลังแล่นอยู่ในเลนที่เราต้องการไปหรือไม่
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะอำนวยความสะดวกผู้ขับโดยที่ไม่ต้องจับพวงมาลัยก็ได้ แต่ระบบก็จะคอยเตือนอยู่เป็นระยะ แต่ถ้ายังไม่มีการตอบสนองจากคนขับ ระบบจะวิเคราะห์และตัดสินการทำงานเอง ว่าคนขับอาจจะหลับในหรือหมดสติด้วยเหตุผลบางอย่าง จากนั้นจะค่อยๆ ลดความเร็วจนหยุดนิ่งเพื่อความปลอดภัย
ทั้งหมดเกิดขึ้นภายใต้แนวคิด Intelligence drive = Efficiency+Safety+Comfort เพื่อช่วยเรื่องของความสะดวกสบายในการขับขี่และความปลอดภัย โดยระบบจะช่วยทั้งเตือนและควบคุมการขับขี่ของคนขับเพื่อความปลอดภัยในระดับหนึ่ง หรือแม้กระทั่งคนขับเกิดหมดสติไม่สามารถควบคุมรถได้
จะเห็นว่า E-Class ไม่ได้มีดีแค่เพียงหน้าตาเท่านั้น แต่ยังล้ำสมัยสุดๆ ซึ่งในบ้านเรา ทำตลาดด้วยรุ่น E220d Exclusive ราคา 3.99 ล้านบาท และ E220d AMG Dynamic ราคา 4.79 ล้านบาท
รายละเอียดทางเทคนิค : Mercedes-Benz E220d
เครื่องยนต์ : 4 สูบ ดีเซลเทอร์โบ
ความจุกระบอกสูบ : 1,950 ซีซี
กำลังสูงสุด : 194 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด : 40.76 กก.-ม. ที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที
ระบบส่งกำลัง : อัตโนมัติ 9 จังหวะ
ระบบช่วงล่างหน้า : โฟร์ลิงค์ คอยล์สปริง โช้กอัพ
ระบบช่วงล่างหลัง : มัลติลิงค์ ยึด 5 จุด คอยล์สปริง โช้กอัพ
สัมผัสหลากหลายเทคโนโลยีที่สนาม Circuito Estoril
ที่สนาม Estoril ทางทีมงาน Mercedes-Benz ได้จัดเตรียมสถานีต่างๆ เพื่อให้นักข่าวได้สัมผัสกับความยอดเยี่ยมของเทคโนโลยีมากมายที่อัดแน่นอยู่ใน E-Class ใหม่ เช่น
-ระบบครูสคอนโทรลใน E-Class ใหม่สามารถเลือกปรับความเร็วอัตโนมัติให้อยู่ในสปีดลิมิตของถนนเส้นต่างๆโดยใช้ภาพจากกล้องมาวิเคราะห์หรือข้อมูลจากระบบแผนที่ในรถ โดยที่ระบบนี้จะทำงานร่วมกับ Evasive Steering Assist เพื่อช่วยในการบังคับพวงมาลัยให้เลี้ยวตามเส้นทาง (ได้ในระดับหนึ่ง) เพื่อให้รถยังคงวิ่งอยู่ในเลน และเมื่อคนขับเปิดไฟเลี้ยว ระบบจะตรวจวัดว่ามีรถด้านข้างอยู่ในระยะหรือไม่ ถ้าไม่มี ระบบก็จะช่วยเปลี่ยนเลนให้ด้วย
-Active Brake Assist : เมื่อคอมพิวเตอร์ประมวลผลจากกล้องและเรดาร์ว่าถ้าไม่เบรค หรือกดแป้นเบรกแล้วแต่น้ำหนักไม่เพียงพอ จนอาจจะเกิดการชนกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้าแน่นอน ก็จะสั่งการเบรกอัตโนมัติด้วยน้ำหนักที่เหมาะสม อีกทั้งยังมีโหมดที่เรียกว่า Cross-Traffic ตรวจสอบถนนเมื่อมีทางแยกข้างหน้า แล้วคนขับไม่เบรก ก็จะสั่งเบรกให้อัตโนมัติ โดยจะทำงานในระดับความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
-ระบบ Plug-in Hybrid : เมื่ออยู่ใน E- mode ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานเพียงอย่างเดียว จุดเด่นคือ แป้นคันเร่ง ที่จะต้านเท้าเมื่อเรากดคันเร่งหนักเกินกว่าที่จะบบไฟฟ้าจะทำงานเพียงอย่างเดียว ทำให้ผู้ขับคอนโทรลจังหวะการขับเคลื่อนในรูปแบบไฟฟ้าได้โดยที่ไม่ปลุกเครื่องยนต์ขึ้นมาทำงานร่วม แต่ถ้าอยากจะฝืนกดลงไปก็ทำได้ แค่ทิ้งน้ำหนักลงไปแรง
เครื่องยนต์ก็จะติดเพื่อช่วยเป็นกำลังหลักในการทำงาน ส่วนระบบ E- save จะพ่วงกับ Eco mode โดยระบบจะทำการเตือนและรักษาระดับไม่ให้เราขับเกินสปีดลิมิตของถนนเส้นนั้นๆ
-Remote Parking Pilot : ระบบสั่งการให้รถเคลื่อนที่ออกมาหรือถอยเข้าจอดได้โดยอัตโนมัติควบคุมผ่านทาง Application ที่อยู่ในสมาร์ทโฟน ช่วยให้การจอดบนพื้นที่แคบๆ ซึ่งอาจจะเข้าออกจากรถลำบากสามารถทำได้
-Pre Safe With Impulse Side : เมื่อระบบมีการตรวจสอบว่าจะเกิดการชนทางด้านข้าง วินาทีก่อนการกระแทก ระบบจะพองตัวถุงลมด้านข้างขึ้นมาเพื่อดันให้ผู้ขับเอียง หรือเลื่อนออกจากตำแหน่งปกติ เพื่อรอดพ้นจากโซนอันตรายจากการกระแทกทางด้านข้าง และจะพองตัวในระดับหนึ่งเพื่อเป็นกันชนจากการชนของรถยนต์ที่มาจากทางด้านข้าง
เรื่อง: พีระพงศ์ เอี่ยมลำเนา
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th