Mercedes-Benz E-Class Estate รุ่นใหม่เสริมความอเนกประสงค์ในแบบแวกอน
แม้รถเอสยูวีจะได้รับความนิยมจากผู้ที่ชื่นชอบความอนเกประสงค์ในการเดินทาง แต่ก็มีผู้ใช้รถบางส่วนที่ต้องการความอเนกประสงค์แต่ไม่ได้ต้องการรถในแบบเอสยูวี จึงทำให้ Mercedes-Benz ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ที่ยังมีตัวถังแวกอนเป็นทางเลือกในรถของตน ส่ง E-Class Estate ใหม่ออกมาตามหลังจากที่ E-Class ซีดานใหม่เจเนเรชันที่ 6 เผยโฉมออกมาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
Mercedes-Benz E-Class Estate ใหม่มาในขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าด้วยการมีระยะฐานล้อยาวขึ้น 22 มม. เป็น 2,961 มม. ส่งผลให้ผู้ที่นั่งในเบาะหลังมีพื้นที่ช่วงเข่าและ Leg Room เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ความกว้างของรถที่เพิ่มขึ้น 28 มม. เป็น 1,880 มม. ยังส่งผลให้มีพื้นที่ช่วงศอกในห้องโดยสารเพิ่มขึ้น ส่วนความสูงของรถเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า 1 มม. เป็น 1,469 มม.
นอกจากการมีพื้นที่สำหรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นแล้ว รถแวกอนขนาดกลางรุ่นใหม่ยังมาพร้อมกับพื้นที่เก็บของ 615 ลิตรเมื่อเบาะแถวที่ 2 อยู่ในตำแหน่งปกติ แต่เพิ่มขึ้นเป็น 1,830 ลิตรหากพับเบาะลง อย่างไรก็ตามหากเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยระบบปลั๊กอินไฮบริดพื้นที่เก็บของด้านหลังเลาะหลังจะลดลงเหลือ 460 ลิตร และ 1,785 ลิตรเมื่อพับเบาะหลังลง นอกจากนี้ยังแบ่งพับเบาะหลังได้ 40:20:40 รวมทั้งให้ความสะดวกในการเก็บหรือนำสิ่งของออกจากด้านหลังรถด้วยการมีฝาท้ายเปิดไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
แม้จะมีขนาดของรถที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า แต่รถแวกอนรุ่นใหม่ที่ถูกเพิ่มความยาวของหลังคามากขึ้นกว่าตัวถังซีดานมีแอโรไดนามิกดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าจนทำให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศอยู่ที่ 0.26 Cd ลดลงจากรุ่นก่อน 0.01 Cd รวมทั้งยังให้ความสบายในการเดินทางด้วยการมีช่วงล่าง Air Suspension หลังมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานมากับรถ พร้อมกับให้ความทันสมัยและเพลิดเพลินในห้องโดยสารไม่แตกต่างกับตัวถังซีดานที่ออกมาเมื่อเดือนเมษายนด้วยการมี 3 จอเรียงต่อเนื่องที่แผงแดชบอร์ดทั้งจอแสดงข้อมูลผู้ขับ จอระบบ Infotainment ตรงกลาง และจอด้านหน้าผู้โดยสารที่เบาะหน้าเป็นออฟชันให้เลือกติด รวมไปถึงยังมีทั้งกล้องถ่ายเซลฟี แอปป์ TikTok เกม Angry Birds และ Zoom สำหรับการประชุมออนไลน์มาพร้อมกับระบบ Infotainment ของรถ
รถแวกอนรุ่นใหม่ถูกเปิดตัวมาพร้อมกับ 3 ทางเลือกของระบบขับเคลื่อนทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซลพร้อมระบบไมลด์ไฮบริด รวมทั้งปลั๊กอินไฮบริด โดยรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน E200 ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบกำลัง 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ส่วน E220d เป็นเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบมีกำลัง 197 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร ซึ่งทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลมีระบบไมลด์ไฮบริดที่ช่วยเพิ่มกำลังขับเคลื่อน 23 แรงม้า และเพิ่มแรงบิด 205 นิวตัน-เมตร โดยใช้ระบบส่งกำลังอัตโนมัติ 9G Tronic นำกำลังจากเครื่องยนต์สู่ล้อหลังของรถ
สำหรับรุ่นปลั๊กอินไฮบริด E300 e ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังรวมจากระบบ 312 แรงม้า แรงบิด 550 นิวตัน-เมตร ในขณะที่แบตเตอรีของรถมีความจุ 25.4 kWh ทำให้เดินทางโดยใช้เฉพาะพลังงานไฟฟ้าได้ 100 กิโลเมตร โดยใช้ระบบส่งกำลังอัตโนมัติ 9G Tronic นำกำลังจากเครื่องยนต์สู่ล้อหลังของรถเหมือน E200 และ E200d
สำหรับการขายรถแวกอนรุ่นใหม่จะเริ่มที่ยุโรปในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th