First Drive! Mercedes-Benz GLB คอมแพ็กต์เอสยูวี 7 ที่นั่ง-ก่อนเปิดตัวในเมืองไทย
ท่ามกลางบรรยากาศชายทะเลของแคว้นอันดาลูเซีย ทางตอนใต้ของประเทศสเปน Mercedes-Benz นำสื่อมวลชนจากทั่วโลกมารวมตัวกันเพื่อทดสอบ GLB คอมแพ็กต์เอสยูวีที่มาพร้อมออปชั่นให้เลือกติดตั้งเบาะนั่งแถวที่ 3 เป็นครั้งแรก
ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาตลาดรถยนต์อเนกประสงค์หรือ SUV เติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก โดยตัวเลขจาก JATO บริษัทสำรวจข้อมูลธุรกิจรถยนต์ชั้นนำระบุว่าในปี 2018 รถยนต์ประเภทนี้มียอดขายรวมทั่วโลก 29.77 ล้านคัน เพิ่มขึ้นราว 6.8 เปอร์เซ็นต์หรือเกือบๆ 1.9 ล้านคัน ครองอันดับ 1 เหนือกว่าทุกเซกเม้นต์ด้วยตัวเลขส่วนแบ่งการตลาด 36.4 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่สภาพเศรษฐกิจโลกตกอยู่ในสภาวะซบเซา แต่ยอดขายใน 3 ตลาดสำคัญอย่างจีน (10.35 ล้านคัน), สหรัฐฯ (7.75 ล้านคัน) และกลุ่ม 29 ประเทศยุโรป (5.42 ล้านคัน) ยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
จนกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ Mercedes-Benz เลือกเซี่ยงไฮ้ ออโต้โชว์ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เป็นเวทีแนะนำรถต้นแบบ Concept GLB เพื่อสื่อสารสู่ลูกค้าในแดนมังกร และทั่วโลกให้เตรียมพบคอมแพ็กต์เอสยูวีรุ่นแรกของพวกเขาที่สามารถติดตั้งเบาะนั่งแถวที่ 3 แต่เพิ่มความดุดันแบบพร้อมลุยเป็นทางเลือกตรงกลางระหว่าง GLA กับ GLC โมเดลเอสยูวียอดนิยมของค่ายดาวสามแฉก
จากนั้นอีกราว 2 เดือน โมเดลที่เป็นเวอร์ชั่นผลิตขายจริงของ Mercedes-Benz GLB เผยโฉมอย่างเป็นทางการที่เมืองยูท่าห์ ประเทศสหรัฐฯ พร้อมประกาศกำหนดการที่จะเข้าสู่โชว์รูมของที่นั้น และแถบยุโรปในช่วงปลายปี 2019 โดยแบ่งเป็น 6 รุ่นย่อยมีตัวเลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล ก่อนจะปล่อยตัวแรง AMG GLB 35 4MATIC ตามออกมาหลังจากนั้นไม่นาน
ด้วยกำหนดการขายใน 2 ภูมิภาคสำคัญกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เป็นธรรมเนียมของ Mercedes จะเชิญสื่อมวลชนจากทั่วโลกมาสัมผัสโมเดลใหม่ล่าสุดของพวกเขา โดยครั้งนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย นำกลุ่มนักข่าวชาวไทยเดินทางสู่เมืองมาลาก้า ในแคว้นอันดาลูเซีย ที่มีวิวอันสวยงามของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นฉากหลัง
ทริปทดสอบครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นทันทีหลังจากเดินทางถึงสนามบินเมืองมาลาก้า โดยทีมงาน Mercedes จัดเตรียมรถไว้ทั้งหมด 5 รุ่น เครื่องยนต์เบนซินมาครบไลน์อัพ GLB 200 เครื่องยนต์เทอร์โบ 1.4 ลิตร 163 แรงม้า และ GLB 250 4MATIC เครื่องยนต์เทอร์โบ 2.0 ลิตร 224 แรงม้า
ในขณะที่รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลมีให้ลองขับ 2 รุ่นบนสุด GLB 200 d 4MATIC และ GLB 220 d 4MATIC โดยใช้ขุมพลังดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตรเหมือนกัน แตกต่างที่พละกำลังโมเดลแรกจะอยู่ที่ 150 แรงม้า ส่วนตัวหลังจะมีกำลังเพิ่มเป็น 190 แรงม้า
ส่วนรุ่นสุดท้ายคงเดากันไม่ยาก Mercedes-AMG GLB 35 4MATIC ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ AMG 2.0 ลิตร แถวเรียง 4 สูบ ที่ถูกอัพกำลังเพิ่มเป็น 306 แรงม้า และสร้างแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 3,000 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติแบบดูอัล-คลัตช์ AMG Speedshift DCT 8G พร้อมระบบวาล์วแปรผัน Camtronic เพื่อจัดการควบคุมความร้อนเพื่อให้ดึงประสิทธิภาพสูงสุดของเครื่องยนต์ออกมา และลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง รวมทั้งการทำงานของหัวฉีด Piezo ที่มีความแม่นยำสูง
หลังจากฟังอธิบายข้อมูลรถ และเส้นทางการขับของทริปนี้เป็นที่เรียบร้อย สื่อมวลชนแยกย้ายไปประจำรถทดสอบ โดยคันแรกที่ได้ขับเป็น GLB 200 โทนสีเทา Mountain Gray Metallic เพื่อเดินทางสู่จุดหมายแรก Enduro Park Andalucia สนามทดสอบออฟโร้ดชื่อดังประจำตอนใต้ของสเปน
ทีมงาน Mercedes กำหนดเส้นทางทดสอบให้เลือก 2 รูปแบบ 1a จะมีระยะทาง 75 กิโลเมตร ใช้เวลาขับประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที กับ 1b ระยะทาง 55 กิโลเมตร ใช้เวลาขับเพียง 50 นาที โดยทั้ง 2 เส้นทางจะมีความแตกต่างที่รูปแบบถนนทางโค้ง-ทางตรง, การวิ่งผ่านชุมชน และความสวยงามของทิวทัศน์ข้างทางที่มีการคิดออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ให้เห็นชัดเจนตามสไตล์เยอรมัน
แต่ภูมิประเทศของอันดาลูเซียเป็นเมืองที่ถูกโอบล้อมด้วยแนวเทือกเขาทำให้ทั้ง 2 เส้นทางมีโอกาสสัมผัสสมรรถนะของ Mercedes-Benz GLB 200 อย่างเต็มที่ โดยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.4 ลิตร ให้กำลัง 163 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรที่ 1,620-4,000 รอบต่อนาที ให้อัตราเร่งกำลังดีสำหรับการเดินทาง 2 คน หากมีผู้โดยสารเพิ่มเป็น 4-6 คน อาจจะมีอาการอืดแซงลำบากเล็กน้อย
ในส่วนของห้องโดยสารที่เป็นไฮไลต์สำคัญของ GLB ที่ใช้แพล็ตฟอร์ม MFA2 ร่วมกับ A-Class, B-Class และ CLA ถูกขยายความยาวตัวถังเพิ่มเป็น 2,829 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวที่สุดในบรรดารถกลุ่มคอมแพ็กต์ของ Mercedes ทำให้ตั้งแต่เบาะนั่งด้านหน้าจะมีพื้นที่เหนือศีรษะสูงสุด 1,069 มิลลิเมตร, พื้นที่วางขาของเบาะนั่งแถวสองจะมากถึง 967 มิลลิเมตร เท่าที่ทดลองนั่งค่อนข้างสบายจริงไม่แตกต่างจาก SUV รุ่นอื่นๆ ของค่ายนี้
หากเลือกติดตั้งเบาะนั่งแถวสามเพื่อรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 2 คน Mercedes ระบุว่าจะสะดวกสบายสำหรับคนที่รูปร่างสูงไม่เกิน 1.68 เมตร โดยติดตั้งฟังก์ชั่น Easy Entry ในการปรับเบาะเพื่อการเข้า-ออกรถที่สะดวกสบาย รวมทั้งสามารถเพิ่มพื้นที่วางขาอีก 90 มิลลิเมตรสำหรับคนนั่งแถวสามด้วยการเลื่อนเบาะแถวสองขึ้นมา โดยทั้งเบาะนั่งแถวสอง-สาม สามารถติดตั้งเบาะนั่งเด็ก (Car Seat) ตามมาตรฐาน ISOFIX พร้อมตัวยึด Top Tether เป็นมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยตลอดการเดินทางอีกด้วย
ในส่วนการรองรับสัมภาระที่เป็นอีกความสำคัญในการตัดสินใจเลือกซื้อรถ SUV ของหลายคน ถ้าติดตั้งเบาะนั่งแถวสามจะสามารถพับแบบ 40:20:40 โดยหากพับเบาะแถวสองสามารถใส่ของที่มีความยาวสูงสุด 2.66 เมตรในรุ่น 5 ที่นั่ง และ 2.67 เมตรสำหรับรุ่น 7 ที่นั่ง
ระหว่างการขับยังมีโอกาสทดสอบระบบมัลติมีเดียใหม่ MBUX ถึงจะมีการบันทึกเส้นทางการขับให้เลือกในรถทดสอบแต่ละคัน โดย GLB จะสามารถรองรับระบบแผนที่ what3words ที่สามารถระบุโลเคชั่นของสถานที่ซึ่งต้องการไปด้วยการพูดคำค้นหาง่ายๆ 3 คำเท่านั้น โดยทีมงานจะมีคำที่ต้องใช้อยู่ในหนังสือคู่มือประจำทริปเรียบร้อย
แต่ความจริงเส้นทางทดสอบครั้งนี้นี้ไม่ซับซ้อนมากนัก ทำให้รถทุกคันมาถึง Enduro Park Andalucia อย่างพร้อมเพรียงกัน โดยหลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อย ถึงเวลาสัมผัสประสบการณ์แบบออฟโรดบนพื้นที่เหมืองหินเก่ากับโมเดล GLB 200 d 4MATIC ขุมกำลังดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร มีกำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 3,400-4,400 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตรที่ 1,400-3,200 รอบต่อนาที
ถึงจะพยายามขายความเป็น SUV สไตล์ครอบครัว แต่ GLB ซ่อนความแข็งแกร่งเพื่อลุยบนเส้นทางสมบุกสมบันเอาไว้เช่นกัน โดยออกแบบให้มีความสูงจากถนน-ใต้ตัวถัง 200 มิลลิเมตร ระยะมุมเงย (Approach Angle) 18 องศา, มุมจาก (Departure Angle) 18.3 องศา และมุมคร่อม (Breakover Angle) 13.9 องศา รวมทั้งอัตราการไต่ทางลาดชัน (Gradeability) สูงสุด 70 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตามเส้นทดสอบเป็นช่วงสั้นๆ พอให้ได้รู้ถึงความยอดเยี่ยมของ GLB ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4MATIC พร้อมแพ็คเกจ Off-Road Engineering โดยจะมีระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา Downhill Speed Regulation และหน้าจอบริเวณคอนโซลกลางเพื่อแสดงให้ผู้ขับขี่เห็นตำแหน่งของรถ รวมทั้งกำลังเครื่องยนต์ และระบบการทำงานของเบรก
หลังจบช่วงออฟโรด จุดหมายต่อไปคือเข้าสู่ที่พักโรงแรมโนบุ ริมชายหาดมาร์เบลล่าที่มีชื่อเสียงของเมืองมาลาก้า โดยมี 2 เส้นทางให้เลือกเหมือนเดิม โดยช่วงนี้มีโอกาสเปลี่ยนมาขับตัวแรง Mercedes-AMG GLB 35 4MATIC สีแดง Designo Patagonia Red Metallic
การติดสัญลักษณ์ AMG ไม่เพียงจะมีความพิเศษที่เครื่องยนต์ แต่รวมถึงชุดแต่งที่อัพเกรดขึ้นมาตั้งแต่กระจังหน้า Radiator Grill ดีไซน์พิเศษสำหรับรถตระกูล AMG โดยเป็นครั้งแรกที่ติดตั้งในซีรีส์ 35, Front Splitter ด้านหน้ากรอบเงินโครเมียม, คาลิเปอร์เบรกสีเงินพร้อมตัวหนังสือสีดำ AMG, แร็คหลังคา AMG Roof Spoiler สีดำ Gloss-Black, ท่อไอเสียคู่ที่ดุดันด้วยกรอบเงิน และล้อขนาด 19-21 นิ้ว AMG Light-alloy มีให้เลือก 7 สไตล์
เส้นทางในการขับเป็นเนินเขาขึ้น-ลงสลับไปมาอยู่ตลอด ช่วยเพิ่มความสนุกในการขับ GLB 35 4MATIC โดยเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ AMG 2.0 ลิตร ที่มีกำลังสูงสุด 306 แรงม้า ไม่ได้น่ากลัวอะไรสำหรับคนที่ยังไม่เคยลองขับรถตระกูล AMG เรียกว่าความแรงกำลังดีในสไตล์ SUV และควบคุมง่ายด้วยระบบพวงมาลัยไฟฟ้า Speed-sensitive Power Steering รวมทั้งโหมดเลือกรูปแบบการขับขี่ 5 โปรแกรม Slippery, Comfort, Sport, Sport+ และ Individual
หลังจากขับชมความสวยงามของธรรมชาติ และสถาปัตยกรรมที่อยู่ 2 ข้างทางที่เป็นการผสมผสานระหว่างความรุ่งเรืองในยุคสมัยจักรวรรดิโรมัน, วัฒนธรรมอาหรับในยุคของชนเผ่ามัวร์ และช่วงสมัยของอาณาจักรชาวคริสเตียน มาถึงโรงแรมโนบุ สถานที่พักของสื่อมวลชนในทริปนี้ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการดินเนอร์ที่ร้านอาหารชื่อดัง El Chiringuito พร้อมพูดคุยกับทีมงานของ Mercedes-Benz ถึงประสบการณ์การขับ GLB ตลอด 1 วันนี้
Mercedes-Benz GLB Gallery
เรื่อง: อโณทัย เอี่ยมลำเนา
ขอบคุณข้อมูล: เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th