Mercedes-Benz GLC 220 d 4MATIC จุดบรรจบของ Price & Options
สำหรับ GLC 220 d นับเป็นการเพิ่มรุ่น เพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคในบ้านเรา หลังจากการจำหน่ายรถในตระกูล GLC มาก่อนแล้ว 2 รุ่น ได้แก่ GLC 250 d 4MATIC OFF-ROAD และ GLC 250 d 4MATIC AMG Dynamic ที่วางราคาจำหน่ายเอาไว้ที่ 3,290,000 บาท และ 3,690,000 บาท ในรุ่นท็อป การเพิ่มทางเลือกในครั้งนี้ ทำให้การเป็นเจ้าของ GLC 220 d 4MATIC นั้น มีความเบาสบายมากขึ้น จากราคาจำหน่ายที่ขยับลงมาอยู่ที่ 3,040,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่เบากว่ารุ่นเริ่มต้นของ GLC 250 d ถึงสองแสนห้า และยังเบาสบายกว่ารุ่นท็อปถึงหกแสนห้าเลยทีเดียว
แต่การบอกเพียงตัวเลขของราคาจำหน่ายที่อาจจะดูเหมือนไม่เยอะเมื่อเทียบกับระดับค่าตัวที่ทะลุเพดานตัวเลข 3 ล้านขึ้นไปแล้ว แต่พอมาพิจารณาที่ตัวเลขที่แตกต่างนั้น หมายความว่า ถ้าคุณเลือก GLC 220 d ในงบประมาณตัวท็อป คุณจะเหลือเงินพอที่จะเป็นเจ้าของ GLC 220 d แล้วแถมรถในระดับอีโคคาร์ตัวท็อปเอาไว้ขับเล่นอีกหนึ่งคันกันเลยทีเดียว ถึงแม้ GLC 220 d จะมีความแตกต่างในรายละเอียดหลายอย่างกับรุ่นพี่ แต่โดยรวมแล้ว หน้าตา รูปลักษณ์ในยามที่ใช้งานนั้น ก็ยังคงให้ความหรูหราและการใช้งานที่ใกล้เคียงกับ GLC 250 d ส่วนความแตกต่างจะมีอะไรบ้างนั้น เดี๋ยวเราจะลองมาดูกันไปในทีละส่วนกัน ว่าเจ้า GLC 220 d พระเอกของเราในฉบับนี้นั้น จะสามารถเป็นทางเลือกที่น่าสนใจจนทำให้คุณกลับหลัง หันมามองเจ้าน้องเล็กคันนี้ได้หรือไม่
GLC 220 d 4MATIC ภายใต้โครงสร้างตัวถังเดียวกันของ GLC ที่เป็นการเปิดประตูสู่ตลาดรถ SUV อย่างจริงจังของเมอร์เซเดส-เบนซ์ มาในเซ็กเมนต์นี้นับเป็นการลงสู่การแข่งขันที่ค่อนข้างดุเดือด จากความนิยมของรถกลุ่มนี้ที่มีเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี GLC นับได้ว่าเป็นเซ็กเมนต์ใหม่ของตระกูลเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่เปิดตัวเจเนอเรชันแรกออกมาได้โดนใจตลาด จากรูปทรงที่ผสมผสานความโค้งมนเข้ากับตัวถังที่กว้างขวางในสไตล์ของรถตรวจการณ์ได้อย่างลงตัว มาพร้อมกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่เพียงพอต่อการใช้งาน GLC 220 d ใหม่ ปรับรูปลักษณ์ไปบ้างในชุดอุปกรณ์รอบคัน อย่าง กันชนหน้าใหม่ ที่ขายเส้นโครเมียมรอบช่องรับลมตรงกลางให้ดูสปอร์ตขึ้น ขนาบข้างด้วยช่องลมใหญ่ ซ้าย-ขวา ให้บุคลิกรถออกไปในแนวสปอร์ตหรู แตกต่างกับรุ่นพี่ตัว OFF-ROAD ที่เน้นไปในมุมบึกบึน กระจังหน้าแบบเส้นนอนคู่โอบรับโลโกดวงดาวตัวเดียวกับที่ใช้อยู่ในรุ่นพี่ แต่จะมาแตกต่างกันก็ตรงชุดไฟหน้าที่มีความแตกต่างในเรื่องของระบบไฟภายในโคมไฟหน้ารูปทรงเดียวกัน ถูกปรับลดจากไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System ที่ประจำการอยู่ใน GLC 250 d ลงมาเป็น LED High Performance ที่ให้ความสว่าง ทัศนวิสัยที่เคลียร์ชัดเจนไม่แพ้กัน แต่ลูกเล่นอย่าง ไฟเลี้ยวตามการหมุนของพวงมาลัย ไฟส่องด้านข้างในยามเลี้ยว ไปจนถึงระบบไฟสูงอัตโนมัตินั้น จะไม่มีในตัว GLC 220 d คันนี้ ซึ่งในการมองหาข้อสังเกตจากภายนอกระหว่างไฟหน้าของทั้งสองรุ่นนั้น จะต้องตั้งใจมองไปที่รายละเอียดในโคมไฟ ถึงจะแยกความแตกต่างได้ ดังนั้น ถ้ามองกันแบบผ่านๆ กันแล้ว ความแตกต่างทางด้านหน้าระหว่าง 220 d กับ 250 d นั้น ค่อนข้างที่จะคล้ายกันมากจนอาจจะแยกไม่ออกในมุมมองของคนทั่วๆ ไป
ถัดมาทางด้านข้างของ GLC 220 d นั้น ความแตกต่างที่เด่นชัดจะตกไปอยู่ที่เจ้าล้อแม็กขนาด 18 นิ้ว ลาย 5 ก้าน ที่ถูกโอบรัดไว้ด้วยยางขนาด 235 ซีรีส์ 60 ที่มีจุดเด่นในเรื่องของความนุ่มนวลในการขับขี่ใช้งาน ให้ความสบายในสไตล์นุ่มหนึบได้ดีตลอดการเดินทาง ช่างเหมาะกับสภาพถนนที่ดีของบ้านเรา อาจจะดูสปอร์ตน้อยกว่าเจ้าล้อขอบ 19 ที่ให้มาในรุ่นพี่ไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายจนดูขัดตา แต่ออปชันหนึ่งที่มีผลในเรื่องความสะดวกสบายในการขับขี่ที่หายไปนั้นสำหรับ GLC 220 d ก็คือ ระบบกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา ที่ช่วยเติมความสะดวกสบายในการขับ โดยเฉพาะการใช้งานในเมืองที่มีเส้นทางตรอกซอกซอย กล้องรอบทิศนี้สามารถช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการขับได้มากถูกตัดออกไป เหลือไว้แค่กล้องถอยหลังเพียงตัวเดียว แต่เมื่อมองกลับไปดูที่ราคาที่ต้องเพิ่มเพื่อจะเอาออปชันกล้องอันนี้ที่ต้องขยับเพิ่มเงินไปเป็นเจ้าของรุ่นพี่ตัวท็อปอีกกว่า 6.5 แสนแล้ว งานนี้หันมาเพิ่มสกิลความสามารถของตัวเอง น่าจะเป็นทางเลือกที่ลงตัวกว่า
จากด้านข้างมาถึงด้านหลังกันบ้าง มุมมองด้านท้ายของ GLC 220 d นั้น จัดได้ว่าให้ความเหมือนกันจนเกือบจะใช้คำว่าเหมือนอย่างกับแกะ เพราะจุดที่จะดูแตกต่างกับรุ่นพี่ 250 d นั้น แทบจะมีก็เพียงโลโก GLC 220 d ที่มุมซ้าย กับโทนสีแบบทูโทนของชายล่างกันชนเพียงเท่านั้น ที่พอจะบอกถึงความแตกต่างกันได้ เพราะไฟท้ายแบบ LED ที่สวยงามนั้น งานนี้ก็ให้มาเหมือนกัน ไม่ได้ถูกตัดทอนออกไป มุมนี้เลยบอกได้คำเดียวว่า เจ้าน้องเล็กคันนี้สามารถตอบโจทย์ได้ดีไม่แพ้พี่คนกลางเลย แถมยังมีค่าตัวที่เบากว่าถึงสองแสนห้าเลยทีเดียว
- ภายในห้องโดยสารเลือกใช้โทนสีดำ เพิ่มเติมความเข้มขรึม และยังดูแลรักษาง่ายกว่าสีโทนสว่าง
ภายในห้องโดยสาร ว่ากันด้วยความแตกต่างระหว่าง 220 d คันนี้ กับรุ่นพี่ อย่าง 250 d เป็นหลักนั้น ความแตกต่างที่เห็นได้ชัด นั่นก็คือชุดเครื่องเสียงขวัญใจนักฟังเพลง อย่าง Burmester นั้น น้องเล็กถูกตัดทอนออกไป เหลือเพียงชุดลำโพง hifi ธรรมดา ที่ให้สุ้มเสียงพอใช้งานได้ หากไม่เน้นในรายละเอียดมากนัก งานนี้พอจะผ่านไปได้ อีกหนึ่งที่ถูกลดสเป็กลงกับระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ที่ในเวอร์ชันนี้ไม่มีติดมาให้ใช้งาน ทางด้านบนชุดหลังคาพาโนรามิคซันรูฟที่เป็นออปชันมาตรฐานของ 250 d รุ่นท็อป เจ้าน้อง อย่าง 220 d นั้น ก็ถูกตัดออกไป ไม่มีให้ชมแสงจันทร์ในยามค่ำเหมือนกับพี่คนกลาง GLC 250 d 4MATIC OFF-ROAD
- เบาะหลังแยกพับ 40-20-40
อีกหนึ่งออปชันที่หายไปในเวอร์ชัน 220 d ก็คือชุดควบคุมการเปิด-ปิด ฝาท้ายด้วยระบบไฟฟ้า ที่ช่วยเติมความสะดวกสบายในการใช้งานได้มาก โดยเฉพาะคุณผู้หญิงตัวเล็กๆ การที่จะต้องเอื้อมมือขึ้นไปสูงๆ เพื่อที่จะดึงฝาท้ายลงมาปิดนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ลำบากไปสักหน่อย (เราผู้ชายตัวใหญ่ๆ คงจะนึกไม่ถึง) ระบบฝาท้ายไฟฟ้าจึงเข้ามาตอบโจทย์ในเรื่องนี้ แต่เพื่อลดต้นทุนของออปชันนี้จึงถูกตัดไป หลงเหลือกลับมาเป็นโช้คอัพแก๊สคู่ที่เราคุ้นเคยกัน ทำหน้าที่ช่วยในการเปิดฝาท้ายขึ้นไปไม่ให้หนักมือ
มาถึงเรื่องหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนกันบ้าง งานนี้เมื่อพิจารณาลงไปที่สเป็ก แล้วประกอบร่วมเข้ากับการได้ทดสอบขับด้วยระยะทางกว่า 800 กิโล พอจะให้ข้อสรุปได้เลยว่า พละกำลังและความต่อเนื่อง นุ่มนวล ในการใช้งานของเจ้า 220 d นั้น นับได้ว่าเพียงพอแล้วสำหรับการขับขี่บนท้องถนนบ้านเรา ภายใต้ข้อกำหนดเรื่องความเร็วที่ถูกจำกัดเอาไว้ไม่เกิน 120 ในบางถนน และป้าย 90 ที่มีเกือบทั่วไปของถนนทางหลวงระหว่างเมืองในบ้านเรา อัตราเร่ง ไปจนถึงอัตราเร่งแซงของแครื่องยนต์ดีเซล 2,143 ซี.ซี. ที่ได้รับการเบ่งพลังจากชุดเทอร์โบ จนได้พละกำลัง 170 ตัว กับแรงบิด 400 นิวตันเมตร ที่ถึงแม้จะโดนตอนลงมาให้น้อยกว่าที่ทำได้ในรุ่นพี่ อย่าง 250 d ที่มีให้ใช้อยู่ 204 แรงม้า 500 นิวตันเมตร ก็มีให้ใช้แบบเหลือๆ สามารถให้ความสะดวกสบายในการเดินทางต่างจังหวัดได้เป็นอย่างดี อีกทั้งแรงบิด 400 นิวตันเมตร ของ 220 d นั้น ยังมีมาให้เรียกใช้งานในรอบเครื่องที่ต่ำกว่าเพียงแค่ 1,400 รอบเท่านั้น และยังเป็นแรงบิดสูงสุดที่มีให้ใช้งานยาวๆ ไปจนถึง 2,800 รอบ ซึ่งเมื่อทำงานร่วมกับชุดเกียร์อัตโนมัติแบบ 9 สปีด ชุดเดียวกับที่ประจำการอยู่ใน 250 d ด้วยแล้ว งานนี้ในเรื่องของความนุ่มนวล ไปจนถึงการตอบสนองที่รวดเร็ว จัดได้ว่าลงตัวดีจริงๆ อีกทั้งถ้าต้องการขยับสไตล์การขับให้ดูสปอร์ตขึ้นอีกนิด ก็สามารถทำได้อย่างง่าย ด้วยฟังก์ชันการควบคุมจังหวะเปลี่ยนเกียร์ที่แป้นควบคุมที่ด้านหลังพวงมาลัย ที่พร้อมตอบสนองสไตล์การขับขี่แบบสปอร์ต
- มาตรวัดเหมือนกับที่ใช้อยู่ใน GLC 250 d มีโหมดขับเคลื่อนให้เลือกใช้ถึง 5 โหมด
ถึงแม้ขุมพลังของ GLC 220 d จะถูกลดทอนกำลังลงมาถึง 34 แรงม้า แต่ในเรื่องของอัตราเร่งแล้ว 220 d ยังสามารถสร้างอัตราเร่ง 0-100 ได้ในระยะเวลาแค่ 8.3 วิ.เท่านั้น มากกว่าขุมพลังเดียวกันที่ประจำการอยู่ใน 250 d เพียงแค่ 0.7 วิ.เท่านั้น (อัตราเร่ง 0-100 ของ GLC 250 d ทำไว้ 7.6 วินาที) อีกทั้งในเรื่องของท็อปสปีดของ 220 d ยังทำตัวเลขเอาไว้ที่ 210 กม./ชม. เรียกได้ว่าเพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
จากความลงตัวที่เข้ากันได้ดีของขนาดบอดี้ที่กำลังเหมาะ ไม่ใหญ่และเล็กจนเกินไปกับการรองรับผู้โดยสาร 4-5 คน กับเครื่องยนต์ดีเซลที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความประหยัด และการตอบสนองที่ดีของขุมพลังเทอร์โบที่ผสานกันได้อย่างลงตัวกับระบบเกียร์อัตโนมัติที่มีอัตราทดที่ละเอียดถึง 9 สปีด พร้อมการถ่ายทอดกำลังลงล้อทั้ง 4 ด้วยระบบ 4MATIC ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ สามารถทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองในการเดินทางนอกเมือง ด้วยความเร็วระดับ 100-120 กม./ชม. ได้ดีในระดับ 16.11 กม./ลิตร นับเป็นตัวเลขที่บ่งบอกถึงความประหยัดของเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลยุคนี้ได้ดี สะท้อนถึงความลงตัวในการใช้งานของรถตรวจการณ์ดาวเด่นของค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ซุ่มพัฒนาเทคโนโลยีทั้งเครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน จนมาถึงบอดี้ที่ใช้ความอดทนอยู่หลายปี กว่าจะส่งลงมาสู้ศึกในเซ็กเมนต์นี้ หลังจากปล่อยให้บรรดาคู่แข่งทำตลาดกับรถเซ็กเม้นต์นี้ไปแล้ว 2-3 เจนเนอเรชันกันเลยทีเดียว งานนี้ GLC 220 d 4MATIC คงจะเป็นอีกหนึ่งขุนพลตัวสำคัญ ที่พร้อมไปด้วยความลงตัวทั้งในเรื่องของออปชันที่ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป กับระดับราคาที่เบาลงมาแตะหลักสามล้าน เกินไปแค่สี่หมื่น พร้อมชิงชัยเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคในบ้านเราอีกหนึ่งคัน
ความเร็วเดินทางที่เกียร์สูงสุด
ความเร็ว (กม./ชม.) รอบ (รอบ/นาที)
100 1,300
120 1,600
140 1,900
160 2,200
ข้อมูลทางเทคนิค
ยี่ห้อและรุ่นรถ Mercedes-Benz GLC 220 d 4MATIC
ประเทศผู้ผลิต และรุ่นปี ประเทศไทย รุ่นปี 2019
แบบเครื่องยนต์ 4 สูบ ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์
ปริมาตรความจุ (ซี.ซี.) 2,143
กำลังสูงสุด (แรงม้า/รอบ/นาที) 170/3,000-4,200
แรงบิดสูงสุด (กก.-ม./รอบ/นาที) 40.77/1,400-2,800
ถังเชื้อเพลิงจุ (ลิตร) 66
ระบบขับเคลื่อน สี่ล้อ 4MATIC
ระบบเกียร์ เกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC
ระบบพวงมาลัย แร็ค แอนด์ พิเนียน พร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรงแบบไฟฟ้า
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด (เมตร) 6.05
ระบบช่วงล่างหน้า อิสระ แบบโฟร์ลิงก์
ระบบช่วงล่างหลัง อิสระ แบบมัลติลิงก์
ระบบเบรก หน้า ดิสก์เบรก พร้อมช่องระบายความร้อน
หลัง ดิสก์เบรก
มิติ กว้าง x ยาว x สูง (มม.) 1,890 x 4,656 x 1,639
ฐานล้อยาว (มม.) 2,873
ล้อ ล้อแม็ก ขนาด 18 นิ้ว
ยาง (หน้า, หลัง) 235/60R18
อัตราความสิ้นเปลือง (กม./ลิตร)
นอกเมือง 16.11
ราคาจำหน่าย 3,040,000 บาท
เรื่อง : กิตติศักดิ์ ด้วงพิมพ์ ภาพ : พิศวัส พงศ์พุฒิโสภณ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th