MG ปักธงสร้างยอดขายขึ้นท็อป 3 ในทศวรรษที่ 2-พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้าสู่คนรุ่นใหม่
บริษัทเอสเอไอซี มอเตอร์–ซีพี และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์ MG ในประเทศไทย ฉลองการเป็นแบรนด์รถยนต์ที่เติบโตมาอย่างยาวนานครบ 100 ปี พร้อมเผยความสำเร็จของ SAIC Motor Corporation หลังครองแชมป์ ยอดขาย สูงสุดในปี 2566 ที่ประเทศจีนรวมกว่า 5.02 ล้านคัน ส่วนเอ็มจีในประเทศไทยกวาดยอดขายได้ถึง 27,311 คัน
พร้อมก้าวสู่ทศวรรษที่ 2 ด้วยแผนขับเคลื่อนแบรนด์ไปสู่ตำแหน่งท็อป 3 ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย วางกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าไปยังคนรุ่นใหม่ด้วยการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยนวัตกรรมยานยนต์ ดีไซน์ และความคุ้มค่า ควบคู่กับการบริการที่ถูกยกระดับในทุกมิติ และสานต่อการยกระดับ MG EV ECOSYSTEM ให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์คนใช้งานรถไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น
MG ยืนยัน Cyberster, MG4 X Power เปิดตัวปีนี้-รอลุ้นรถกระบะ-รถตู้ไฟฟ้า
จากการถือกำเนิดของแบรนด์ MG ในสหราชอาณาจักรเมื่อปี 2467 (ค.ศ.1924) ปีนี้จึงมีวาระสำคัญของครบรอบ 100 ปี จึงสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นแบรนด์ยานยนต์ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเทคโนโลยีล้ำสมัย ซึ่งได้สร้างจุดเปลี่ยนสำคัญให้กับวงการยานยนต์ระดับโลกเป็นที่ยอมรับ และเชื่อมั่นจากนานาประเทศ
นับตั้งแต่ เอ็มจี เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยในปี 2556 จนถึงปัจจุบัน มีรถยนต์ MG หลากหลายรุ่นโลดแล่นอยู่บนถนนเมืองไทยแล้วกว่า 200,000 คัน เต็มเปี่ยมไปด้วยนวัตกรรมยานยนต์ที่ล้ำสมัย, ความคุ้มค่า และมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับคนไทย โดยเฉพาะการเป็นผู้เบิกทางให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ราคาจับต้องได้เข้าสู่ตลาดยานยนต์ไทย ควบคู่ไปกับการสร้าง EV ECOSYSTEM ให้สมบูรณ์เพื่อรองรับการขยายตัวของสังคมอีวี และเป็นแบรนด์แรกที่วางหมุดกระจายสถานีชาร์จเร็วอย่าง MG SUPER CHARGE ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ซึ่งในปัจจุบันมีสถานีที่พร้อมใช้งานมากถึง 146 สถานี
มร. ซู๋ว์ หยิ่น กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) และรองกรรมการผู้จัดการบริษัทเอสเอไอซี มอเตอร์–ซีพี กล่าวว่า “สำหรับปี 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่มีความท้าทายในเรื่องอุตสาหกรรมยานยนต์โลกชะลอตัวจากปัจจัยต่างๆ แต่ SAIC Motor Corporation มียอดขายรถยนต์รวมกว่า 5.02 ล้านคัน โดยยังคงรักษาตำแหน่งอันดับหนึ่งของกลุ่มบริษัทรถยนต์ในประเทศจีนต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 ด้วยศักยภาพในการส่งออกรถยนต์ไปทั่วโลกกว่า 1.208 ล้านคัน มีอัตราการเติบโต 18.8 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี 2565 และมีปริมาณยอดขายรถยนต์ New Energy มากกว่า 1.123 ล้านคัน เติบโตถึง 4.6 เปอร์เซ็นต์”
“โดย MG ZS เป็นรถที่ส่งออกจากประเทศจีนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในหมวดรถยนต์นั่ง มียอดส่งออกกว่า 201,874 คัน ตามมาด้วยรถยนต์ไฟฟ้า MG4 Electric ที่สร้างความสำเร็จในตลาดทั่วโลก และเป็นโกลบอลโมเดลขวัญใจของคนไทย มียอดส่งออกกว่า 138,736 คัน และ MG5 มียอดส่งออกกว่า 109,431 คัน ส่งผลให้ SAIC Motor Corporation ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์ที่ส่งออกรถยนต์เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศจีน”
MG ก้าวสู่ทศวรรษที่ 2 ด้วยความเป็นโกลบอลแบรนด์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
ทะยานสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ติดอันดับท็อป 3 ของอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย
มร. ซู๋ว์ หยิ่น กล่าวเพิ่มเติมว่า “เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี และทศวรรษที่สอง เอ็มจี เตรียมแผนที่จะยกระดับแบรนด์ด้วยรถยนต์ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีในหลากหลายรูปแบบการขับเคลื่อน อีกทั้งยังเตรียมแผนผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเพื่อการส่งออกไปยังประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคอื่น ๆ ซึ่งสอดคล้องกับหมุดหมายใหม่ของ MG”
“นอกจากนั้นยังมีการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่หลากหลายขุมพลังขับเคลื่อนเข้าสู่ตลาดโดยมุ่งเน้นกลุ่มรถยนต์พลังงานทางเลือก เทคโนโลยีอัจฉริยะที่เทียบเท่าระดับสากลโลก (New Energy, Intelligent, Internationalization) รวมไปถึงการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของคนไทยได้มากขึ้น”
“สอดคล้องกับความตั้งใจของแบรนด์ที่พร้อมสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่ Net Zero ผ่านนโยบาย EV 3.5 นำทัพโดย New MG4 Electric รุ่นผลิตในประเทศไทย รวมถึงรถสปอร์ตโรดสเตอร์พลังงานไฟฟ้าอย่าง MG CYBERSTER นอกจากนี้ยังมีรถรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาเติมสีสันในตลาดรถเก๋งขนาดเล็กอีก 1 รุ่น”
“และเพื่อให้สอดรับกับกระแสอีวี เอ็มจีเตรียมนำเสนอมิติใหม่ของโชว์รูมด้วยการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าด้วยการ เอ็มจี อีวี โชว์รูม (MG EV Showroom) ที่จะมุ่งเน้นนำเสนอนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมที่จำหน่ายในปัจจุบันอย่าง MG MAXUS9 รวมถึงเตรียมความพร้อมสำหรับโมเดลอื่น ๆ ที่เตรียมเข้ามาทำการตลาดในประเทศไทยด้วย”
ทางด้าน พงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ในปี 2566 ที่ผ่าน MG มี ยอดขาย รวมอยู่ที่ 27,311 คัน มีสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์สันดาป แบ่งเป็นสัดส่วนอย่างละครึ่ง”
“โดย MG5 ครองแชมป์ยอดขายสูงสุด จำนวน 6,419 คัน ตามด้วย MG4 Electric จำนวน 5,615 คัน, MG EP จำนวน 4,717 คัน, MG ZS จำนวน 2,534 คัน, MG VS HEV จำนวน 2,071 คัน, MG ZS EV จำนวน 1,354 คัน, MG HS และ MG HS PHEV จำนวน 1,373 คัน, MG Maxus 9 จำนวน 1,284 คัน, MG ES และ MG Extender จำนวนรวม 1,943 คัน และครองส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์”
ในช่วงปีที่ผ่านมา MG วางแผนเพิ่มศักยภาพรถยนต์ในทุกเซกเมนต์ด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัยในทุกขั้นตอน รวมถึงการลงทุนสร้างและขยายพื้นที่ New Energy Industrial Park เพื่อผลิตแบตเตอรี่อีวีแห่งแรกในอาเซียน หลังจากนี้ เอ็มจี ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมยานยนต์ให้เทียบเท่าระดับโลกตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ยกระดับการทำงานในทุกด้านบริการผ่านโชว์รูมและศูนย์บริการเอ็มจีกว่า 150 แห่งทั่วประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ให้ลูกค้าคนไทย
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย)
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th