MG HS PHEV ลองขับด้วยโหมด EV สบายๆ 60 กิโลเมตร ไม่ใช่น้ำมันสักหยด!
หนึ่งในความกังวลของคนที่กำลังอยากจะเป็นเจ้าของรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า นั่นคือ ระยะของการขับต่อการชาร์จไฟเต็มจะไปได้ไกลแค่ไหน ตัวอย่างเช่น สเปคของรถไฟฟ้ารุ่นหนึ่งสามารถขับได้ไกล 250 กิโลเมตร แต่เวลาใช้งานจริง มีการใช้คันเร่ง เบรก และมีน้ำหนักบรรทุกที่แตกต่างกัน นั่นอาจจะทำให้ระยะการขับลดลง อาจจะเหลือ 220 กิโลเมตร ซึ่งเรื่องแบบนี้ใครๆ ย่อมกังวลได้ ฉะนั้น การเลือกใช้รถที่เป็นแบบ Plug-in Hybrid จึงเข้ามาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น เช่นเดียวกับ MG HS PHEV รุ่นนี้ ที่ไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมด เพราะมันทำงานร่วมกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่อยากรู้มั้ยว่า ถ้าลองขับด้วยโหมด EV เพียงอย่างเดียวจนแบตเตอรี่แสดงสถานะเหลือ 0% จะขับไปได้ไกลกี่กิโลเมตร วันนี้ Grandprix Online มีคำตอบ…
มาทำความรู้จักกับระบบขับเคลื่อนแบบ Plug-in Hybrid ที่อยู่ใน MG HS PHEV กันสักหน่อย..
New MG HS PHEV มีพละกำลังรวมทั้งจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าอยู่ที่ 284 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร แบ่งเป็นพละกำลังจากเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบร์ ขนาด 1.5 ลิตร 162 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร และจากมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงอีก 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์แบบ EDU II 10 สปีด ใช้เวลาเปลี่ยนเกียร์เพียง 0.2 วินาที ทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 7.5 วินาที พร้อมโหมดการขับให้เลือก 5 แบบ คือ Eco, Normal, EV, Sport และ Super Sport ที่ครั้งนี้เราจะใช้เพียงโหมด EV เพียงอย่างเดียว
สำหรับแบตเตอรี่เป็นแบบ Lithium-Ion แบบ 6 โมดูล ขนาด 16.6 kWh สามารถขับด้วยพลังงานไฟฟ้าสูงสุด 67 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และสามารถชาร์จพลังงานกลับสู่แบตเตอรี่ในระหว่างขับด้วยระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ที่เลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับได้ถึง 3 ระดับ ซึ่งตามสเปคแล้ว New MG HS PHEV มีอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดอยู่ที่ 65 กิโลเมตรต่อลิตร แต่จากการใช้งานจริงจะทำได้กี่กิโลเมตรต่อลิตรกันนะ?
เริ่มการทดลองขับ…จุดเริ่มต้นจาก CDC เลียบทางด่วนรามอินทรา ขับไปทางพระราม9 มุ่งหน้าอนุสาวรีย์ชัย ถนนราชวิถีข้ามสะพานกรุงธน (ซังฮี้) แล้วเลี้ยวเข้าพุทธมณฑลสาย 1 เพื่อไปยัง NANA HUNTER Coffee Roasters ที่เป็นจุดพักรถจุดแรก แล้วขับต่อมาเส้นราชพฤกษ์ ต่อเนื่องถนนกรุงธนบุรี ข้ามสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มาทานมื้อเที่ยงกันที่ Dusit Gourmet and Garden Bar ถนนศาลาแดง แล้วจึงขึ้นทางด่วนจากถนนพระราม 4 ขับกลับมาลงถนนประดิษฐ์มนูธรรม ย้อนมาที่ CDC อีกครั้งเป็นอันจบเส้นทางในครั้งนี้ รวมระยะทาง 63 กิโลเมตร
โดยผลการขับออกมาตามนี้ (ค่าเฉลี่ยจากรถทั้งหมด 8 คัน) เส้นทางทดสอบแบบใช้งานจริงภายในเมือง รถค่อนข้างเยอะ การจราจรค่อนข้างคับคั่ง ระยะทางทดสอบเฉลี่ยรวมจากทุกคัน 75.90 กม. (ระยะทางจริง 71.9 กม. ที่เกินเพราะบางคันขับหลงทาง) มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของรถที่ใช้ EV Mode และ AUTO Mode สลับแบบการใช้งานทั่วไปอยู่ที่ 45.4 กม./ ลิตร มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง เฉลี่ยรวมของรถทดสอบทั้ง 8 คัน / บางคันมีการขับขี่ทุกโหมด (Super Sport, Charge Mode) มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 30.20 กม./ลิตร โดยระยะทางที่รถสามารถวิ่งได้ด้วย EV Mode เฉลี่ยรวมของทั้งทั้ง 8 คัน อยู่ที่ 60.62 กม. (คันที่สามารถวิ่งได้ไกลสุด 65.6 กม.) และมีปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต่อคัน เฉลี่ยรวมทั้ง 8 คัน อยู่ที่ 1 ลิตร กับอีก 583 ซีซี.
หน้าจอแสดงผลที่มีรายละเอียดชัดเจนมาก ที่มุมซ้ายล่างแสดงสถานะน้ำมัน มุมขวาล่างแสดงสถานะแบตเตอรี่ รวมทั้งแสดงผลข้อมูลการขับขี่เอาไว้ในหน้าจอเดียว
สีของหน้าจอแสดงผลที่เปลี่ยนไปตามโหมดการขับขี่ เฟี้ยวฟ้าวได้ใจมากๆ สวยและเร้าใจจริงๆ
สามารถปรับเปลี่ยนการตั้งค่าต่างๆ ได้ที่หน้าจอแสดงผลแบบสัมผัส ใช้งานได้ง่ายมาก
นั่นเท่ากับว่าหากขับใช้งานด้วย EV Mode อย่างเดียว จะสามารถขับได้ไกลถึง 60 กิโลเมตร ก่อนที่เครื่องยนต์จะทำงานเพื่อชาร์จพลังงานกลับสู่แบตเตอรี่และใช้ในการขับเคลื่อน คิดง่ายๆ ว่า หากในหนึ่งวันมีการใช้รถโดยเฉลี่ยวันละ 50 กิโลเมตร ทั้งไปและกลับ เท่ากับในวันนั้นจะขับรถโดยที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ใช้น้ำมันเลยสักนิด ซึ่งการทำความเร็วสูงสุดของการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ทำได้ถึง 155 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นั่นมากเพียงพอต่อการใช้งาน รวมทั้งที่มาตรวัดปริมาณของแบตเตอรี่ที่เห็นหากลดลงจนหมดเหลือ 0% ก็ไม่ต้องกังวล เพราะจะมีแบตเตอรี่เหลืออยู่ในระบบอีก 25% เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนในช่วงออกตัว โดยที่เครื่องยนต์จะเข้ามารับหน้าที่เป็นพลังในการขับเคลื่อนต่อไป
ภายในห้องโดยสารแบบสองอารมณ์ น่าเสียดายแบบด้านบนที่เป็นโทนสีแบบทูโทนจะมีเฉพาะตัวถังสีขาวเท่านั้น
เพิ่มเติมสักนิดเกี่ยวกับ MG HS PHEV ตอนนี้กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก เป็นรถในกลุ่ม PHEV หรือ Plug-in Hybrid ที่ราคาดีที่สุดในตลาดตอนนี้ ซึ่งปกติดแล้วโมเดล HS เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมเพราะด้วยรูปแบบตัวถัง ขนาดความกว้างของห้องโดยสาร การตกแต่งภายในที่ดูสะดุดตา เทคโนโลยีที่จัดมาให้แบบเต็มๆ ติดอยู่อย่างเดียวที่เครื่องยนต์มีขนาดเล็กไปหน่อยเมื่อเทียบกับตัวถัง นั่นทำให้อัตราสิ้นเปลืองค่อนข้างเป็นรองในกลุ่ม แม้ว่าช่วงล่างจะเซ็ตมาได้ดีมาก ขับนุ่มนวล แต่พอมาดูที่อัตราสิ้นเปลืองและอัตราเร่งทำให้เรื่องนี้กลายเป็นจุดด้อยไปเลย แล้วพอรุ่นใหม่นี้เปลี่ยนขุมพลังมาเป็นแบบ Plug-in Hybrid ทำให้ข้อด้อยทุกอย่างถูกลบทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง อัตราเร่งจัดจ้าน ประหยัดน้ำมัน เพิ่มเติมด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน 25 ระบบ พร้อมทั้ง Advanced Driver Assistance System ที่ช่วยเหลือผู้ขับขี่เทียบเท่าระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous) ระดับ 2 อีกด้วยแล้ว ทำให้น่าสนใจยิ่งขึ้น เมื่อดูจากราคาค่าตัวที่ 1,359,000 บาท ที่เพิ่มจากเดิม 240,000 บาท แล้วได้เทคโนโลยี Plug-in Hybrid มาใช้งาน ทำให้ MG HS PHEV เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากในเวลานี้
เรื่อง : พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th