MINI Aceman Night Drive ค่ำคืนแห่งแสงสีผสานสมรรถนะที่เร่าร้อน
มินิ ประเทศไทย พาสื่อมวลชนไปสัมผัสสีสันยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ ในแบบที่ไม่เหมือนใคร กับ MINI Aceman SE (มินิ เอซแมน เอสอี) ครอสโอเวอร์พลังงานไฟฟ้าที่เปี่ยมด้วยดีเอ็นเอของความสนุกในสไตล์มินิ ให้ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศในกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน ที่ผสมผสานกับแสงสีและนวัตกรรมดิจิทัลจากมินิได้อย่างลงตัว
MINI Aceman SE เป็นรถยนต์ครอสโอเวอร์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่มีความคล่องตัวสำหรับการขับขี่ในเมือง ด้วยขนาดตัวรถที่กะทัดรัด ความยาว 4.07 เมตร แต่ยังมอบพื้นที่ใช้สอยมากมายสำหรับทุกสถานการณ์ในแบบ
5 ที่นั่ง พร้อมความจุสัมภาระสูงสุดถึง 1,005 ลิตรเมื่อพับเบาะแถวหลังลง
ภายนอกแตกต่างจากมินิรุ่นอื่นๆ ด้วยเส้นสายบริเวณซุ้มล้อที่ไม่เหมือนใคร เข้าคู่กับล้อขนาด 18 นิ้วในลาย Night Flash แบบสลับสี ส่วนชุดไฟหน้าระบบ LED และไฟท้าย ทำงานคู่กับระบบ MINI Digital Key Plus เพื่อต้อนรับผู้ขับขี่ทุกครั้งที่เตรียมออกเดินทางด้วยฟังก์ชัน Welcome Projection ที่จะเปิดไฟหน้า-ไฟท้ายและปลดล็อกรถโดยอัตโนมัติเมื่อเจ้าของรถเข้ามาใกล้ตัวรถ ขณะที่เบาะหน้าของผู้ขับขี่มาในสไตล์สปอร์ตสุดโฉบเฉี่ยวแบบ John Cooper Works โดยนอกจากจะรองรับการปรับตำแหน่งและองศาด้วยระบบไฟฟ้าเหมือนกับฝั่งผู้โดยสารแล้ว ยังมีระบบนวดที่สามารถช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ในขณะเดินทางอีกด้วย
ภายในห้องโดยสาร เสริมบรรยากาศบนทุกเส้นทางด้วยหลังคากระจก Panorama Glass Roof ที่รับแสงจากภายนอกในเวลากลางวันมาเสริมให้พื้นที่ภายในดูกว้างขวางยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งยังเปิดให้ทุกคนได้สัมผัสกับบรรยากาศและสีสันจากภายนอกได้อย่างเต็มตาในยามค่ำคืน เพิ่มความสนุกด้วยแถบไฟ Ambient Light ที่ล้อมรอบ Panorama Glass Roof ส่วนหัวใจหลักของห้องโดยสารมินิในเจเนอเรชั่นนี้ อยู่ที่หน้าจอ OLED ทรงกลมบนคอนโซลหน้าที่ทั้งบางเฉียบและใหญ่เต็มตาด้วยความกว้าง 240 มิลลิเมตร ทำหน้าที่เป็นทั้งจอแสดงผลข้อมูลสำหรับผู้ขับขี่และแผงควบคุมระบบต่าง ๆ
หน้าจอทรงกลมนี้ยังเป็นศูนย์กลางของฟังก์ชัน MINI Experience Modes ที่สามารถปรับแต่งบรรยากาศภายในรถให้ตรงกับคาแรกเตอร์ของเจ้าของรถแต่ละคน หรือจะเลือกคุมโทนตามโอกาสและอารมณ์ของการเดินทางแต่ละครั้งก็ยังได้ ด้วย 8 โหมดสุดพิเศษที่ไม่ได้ปรับเพียงแค่โทนสีและข้อมูลที่แสดงผลบนหน้าจอเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสีสันจากระบบไฟ Ambient Lighting ในห้องโดยสาร ซึ่งส่องสว่างออกมาจากทั้งบริเวณใต้แผงคอนโซลหน้า กระจกข้าง และกรอบหลังคา Panorama Glass Roof ขณะที่เสียงเครื่องยนต์แบบจำลองก็จะปรับเปลี่ยนไปตามแต่ละโหมดเช่นกัน ด้วยโทนเสียงที่กระหึ่มสมจริงจากชุดเครื่องเสียงระบบเซอร์ราวด์โดย Harman Kardon
และด้วย MINI Experience Modes ผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกโหมด Go-Kart เพื่อตั้งค่าให้พวงมาลัยและคันเร่งตอบสนองฉับไวมากขึ้นเป็นพิเศษ พร้อมโลดแล่นไปกับการขับขี่ที่สปอร์ตและคล่องตัวกว่าเดิม หรือออกผจญภัยไปกับโหมด Trail ที่มีเฉพาะในรุ่น Countryman และ Aceman เท่านั้น โดยในโหมดนี้ จอ OLED กลมจะแสดงข้อมูลเส้นทางในสไตล์เข็มทิศพร้อมด้วยองศาความชันของถนนและโทนสีอบอุ่นแบบธรรมชาติ ส่วนโหมด Personal เพิ่มทางเลือกในการปรับแต่งบรรยากาศในห้องโดยสารให้ตรงใจมากยิ่งขึ้น โดยเปิดให้อัพโหลดภาพอะไรก็ได้มาใช้เป็นพื้นหลังหน้าจอ พร้อมปรับสีระบบไฟภายในห้องโดยสารให้ตรงกับโทนสีของภาพนั้นๆ โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ มินิ เอซแมน เอสอี และมินิรุ่นใหม่ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ MINI Operating System 9 ยังมีอีกหนึ่งโหมดลับสำหรับสายปาร์ตี้ เพียงเปิดเพลงผ่านหน้าจอ OLED แล้วปาดนิ้วมือ 4 นิ้วบนหน้าจอ ก็สามารถเข้าสู่โหมด DJ ให้สแครชแผ่นกันได้แบบไม่ต้องมีอุปกรณ์เสริม
ฟีเจอร์ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรมดิจิทัลมากมายที่ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นบริการ MINI Connected ครบชุด รองรับการติดตั้งแอปพลิเคชันจาก MINI Connected Store เพื่อเพิ่มออปชั่นและคุณสมบัติใหม่ๆ แท่นชาร์จไร้สายสำหรับสมาร์ทโฟน และระบบ MINI head-up display ที่แสดงข้อมูลสำคัญให้ผู้ขับขี่เห็นโดยไม่ต้องละสายตาจากถนนข้างหน้า ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ Driving Assistant Plus เสริมทั้งความสะดวกและปลอดภัยด้วยตัวช่วยคุมรถให้อยู่ในเลน พร้อม Adaptive Cruise Control ที่ติดตั้งมาให้เป็นฟังก์ชันมาตรฐาน ช่วยควบคุมความเร็วและรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าแบบอัตโนมัติ และยังสามารถปรับความเร็วให้รับมือกับทางโค้งและทางชันอย่างมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้นอีกด้วย
ในด้านสมรรถนะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้พละกำลังสูงสุด 160 กิโลวัตต์ / 218 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร มอบอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 7.1 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาด 54.2 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ให้ระยะทางขับขี่สูงสุดตามมาตรฐาน WLTP ที่ 405 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง โดยสามารถชาร์จ จาก 0-100% ด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ที่กำลังไฟ 11 กิโลวัตต์ ในเวลา 5 ชั่วโมง 45 นาที และชาร์จความเร็วสูงด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ที่กำลังไฟ 95 กิโลวัตต์ จาก 10-80% ในเวลาเพียง 31 นาที
สามารถเป็นเจ้าของ MINI Aceman SE ได้แล้ววันนี้ ในราคาเริ่มต้นที่ 1,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็กเกจบำรุงรักษา MSI Standard คุ้มครองการบำรุงรักษา 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง) โดยมีให้เลือก 6 สี ได้แก่
สีแดง Rebel Red, สีน้ำเงิน Indigo Blue, สีน้ำเงิน Blazing Blue, สีขาว Nanuq White สีเทา Melting Silver, และสีเขียว Ocean Wave Green
เรื่อง : พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th