Mini Anniversary Edition มาพร้อมจิตวิญญาญสปอร์ตดั้งเดิมของ John Cooper

Mini ฉลอง 60 ปีที่มีความร่วมมือกับ Cooper Family ที่ยกระดับสมรรถนะรถบนถนนรวมทั้งสร้างตำนานความสำเร็จในสนามแข่งด้วยการนำ Mini Hatch 3 ประตูทั้ง Mini Cooper, Mini Cooper S และ Mini John Cooper Works มาทำเป็น Anniversary Edition โดยมีจำนวนจำกัด 740 คันสำหรับขายทั่วโลก

Mini Anniversary Edition ทั้ง Cooper, Cooper S และ John Cooper Works ไม่ได้จำกัดสีภายนอกของรถไว้ที่สีเดียวเหมือนรถรุ่นพิเศษส่วนใหญ่ เพราะมี 3 สีให้เลือกคือสีเขียว British Racing Green สีดำ Midnight Black และสีเขียว Rebel Green โดยที่มีสีขาวและสีดำเงา Piano Black ตัดเพิ่มความเด่นที่ภายนอก อย่างหลังคา แถบบนฝากระโปรง ครอบกระจกมองข้าง มือจับเปิดประตู และสปอยเลอร์ปลายหลังคาที่เป็นสีขาว ในขณะที่วัสดุสีดำ Piano Black จะถูกใช้บริเวณกระจังหน้า ช่องดักอากาศ คิ้วขอบประตู และ Diffuser ที่กันชนหลัง

นอกจากนี้ยังมีตัวเลข 74 ที่ประตูของรถซึ่งมาจากเลขของรถดั้งเดิมที่เคยชนะการแข่งขันเป็นครั้งแรก แถมเพิ่มความเด่นด้านหน้ารถด้วยแถบสีแดงที่กระจังหน้า รวมไปถึงมีป้าย Cooper ออกแบบเป็นพิเศษทั้งที่บริเวณซุ้มล้อหน้าและที่เสา C-Pillar ส่วนล้ออัลลอยที่มาพร้มกับรถมีขนาด 18 นิ้ว

ภายในห้องโดยสารของ Mini Anniversary Edition มาพร้อมกับเบาะสปอร์ตที่ใช้ทั้ง Dinamica และหนัง ส่วนพวงมาลัยสปอร์ตหุ้มด้วยหนัง Nappa พร้อมกับมีป้าย Cooper ในขณะที่หลังคาเป็น Anthracite ส่วนการเพิ่มความพิเศษอื่นๆ ในห้องโดยสารมีการแต่งด้วยสีดำเงา Piano Black พร้อมกับใช้วงกลมสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ดั้งเดิมของ John Cooper เพิ่มความเด่น ส่วนแป้นเหยียบต่างๆ เป็นสเตนเลส สตีล โดยสิ่งที่สำคัญซึ่งบ่งบอกความพิเศษของรถคือคือมีลายเซ็นของทั้ง John, Mike และ Charlie Cooper ที่บริเวณเรือนไมล์

ในส่วนขุมกำลังที่อยู่ใต้ฝากระโปรงของ Mini Anniversary Edition มีความหลากหลายตั้งแต่เครื่องยนต์ 3 สูบ 1.5 ลิตร เทอร์โบชาร์จ 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 219 นิวตัน-เมตรใน Mini Cooper, เครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ 192 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 279 นิวตัน-เมตรใน Mini Cooper S และรุ่นแรงสุด Mini John Cooper Works ที่มากับกำลัง 231 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 318 นิวตัน-เมตร อย่างไรก็ตามทางผู้ผลิตรถยนต์จากสหราชอาณาจักรไม่ได้ระบุถึงราคาเอาไว้รวมกับข้อมูลของรถ