Mini Cooper SE มาแล้วเวอร์ชั่นไฟฟ้าของรถเล็กยอดนิยมจากเมืองผู้ดี
เป็นข่าวมานานกับการพัฒนาเวอร์ชั่นใช้ไฟฟ้าของ Mini และวันนี้ที่รอคอยสำหรับแฟนรถเล็กจากอังกฤษที่อยากสัมผัสรูปแบบการเดินทางโดยไม่ปล่อยมลพิษก็มาถึง เมื่อทาง Mini นำเอา Cooper SE ซึ่งเป็นรุ่นใช้พลังงานไฟฟ้าไปเปิดตัวที่รอตเตอร์ดัมประเทศเนเธอร์แลนด์
Mini Cooper SE ซึ่งมีตัวถังแฮทช์แบ็ก 3 ประตูได้รับการออกแบบทั้งด้านมิติตัวรถ รวมทั้งพื้นที่ต่างๆ และภายในรถโดยใช้พื้นฐานจากรุ่นใช้เครื่องยนต์ปกติ โดยมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมระบบส่งกำลังถูกวางอยู่ใต้ฝากระโปรงหน้าแทนเครื่องยนต์ให้กำลัง 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตรสู่ล้อหน้าในการขับเคลื่อน นอกจากนี้ทาง Mini ยังระบุว่ารถใช้พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของตนใช้นวัตกรรมระบบขับเคลื่อนใหม่พร้อมกับการจำกัดการลื่นของล้อเพื่อให้ความคล่องตัวในการขับและความรู้สึกเหมือนรถโกคาร์ต ในขณะที่อัตราเร่งของ Mini ไฟฟ้าจาก 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 7.3 วินาที ก่อนที่จะไปถูกจำกัดความเร็วสูงสุดที่ 150 กม./ชม.
[expander_maker id=”4″ more=”อ่านเพิ่มเติม” less=”Read less”]Read more hidden text
ในส่วนของพลังงานขับเคลื่อน Mini Cooper SE ใช้แบตเตอรีลิเธียมไอออนวางในรูปแบบตัว T ที่พื้นรถโดยมีความจุ 32.6 kWh ให้ระยะในการเดินทางได้ระหว่าง 235 กิโลเมตรถึง 270 กิโลเมตร ส่วนการชาร์จพลังงานแก่แบตเตอรีสามารถทำได้ 3 ทางเลือกระหว่างการชาร์จกับไฟตามบ้านปกติ จาก Mini Electric Wallbox หรือสถานีชาร์จพลังงาน โดยช่องชาร์จรองรับทั้งไฟ AC และ DC โดยจะใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่งสามารถชาร์จพลังงานได้ 80 เปอร์เซ็นต์ และชาร์จพลังงานจนเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์โดยใช้เวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง แต่หากชาร์จพลังงานกับสถานีชาร์จไฟ DC แบบเร็วจะใช้เวลาเร็วขึ้น โดยกับไฟ 50 kW ใช้เวลา 35 นาทีจะสามารถชาร์จพลังงานได้ 80 เปอร์เซ็นต์
Mini Cooper SE มาพร้อมกับโหมดการขับ 4 โหมดให้เลือกคือ Sport ซึ่งให้การตอบสนองด้านการควบคุมและกำลังขับเคลื่อนที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับโหมด MID ซึ่งเป็นโหมดการขับมาตรฐาน ในขณะที่โหมด GREEN จะให้ลักษณะการควบคุมรถที่ให้ความสบายเช่นเดียวกับโหมด MID พร้อมกับเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนโหมด GREEN+ จะเน้นไปที่การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยจำกัดหรือหยุดการทำงานเพื่อความสะดวกสบายบางอย่างของรถอย่างระบบปรับอากาศของรถ ระบบปรับความอุ่นที่เบาะ เพื่อเน้นการได้ระยะการเดินทางสูงสุด
นอกจากนี้ Mini ยังออกแบบรูปแบบการขับของ Cooper SE ที่เรียกว่า One-Pedal Feeling สำหรับการใช้งานในเมือง โดยรถจะรับรู้ถึงความต้องการเบรกได้ทันทีที่ผู้ขับถอนเท้าจากคันเร่งทำให้นอกจากจะสามารถดความเร็วของรถโดยไม่ต้องใช้เบรกเมื่อขับด้วยความเร็วต่ำแล้วยังสามารถชาร์จพลังงานกลับเข้าไปเก็บไว้ที่แบตเตอรีเพื่อเป็นพลังงานสำหรับการเดินทางต่อไปได้ นอกจากนี้ผู้ขับยังสามารถปรับเลือกการตอบสนองต่อการทำงานนี้ได้ 2 ระดับ
ภายนอกของ Mini Cooper SE ที่มาในรูปทรงที่ไม่แตกต่างกับรุ่นใช้เครื่องยนต์ปกติ 3 ประตู มีความแตกต่างในรายละเอียดต่างๆ เพื่อบ่งบอกถึงการเป็นรถไฟฟ้าทั้งกระจังหน้าแบบปิด รวมทั้งการใช้สีเหลืองแต่งส่วนต่างๆ ของรถทั้งแถบคาดที่กระจังหน้า สัญลักษณ์ Mini ไฟฟ้าทั้งที่กระจังหน้าและประตูท้าย รวมไปถึงใช้ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 16 นิ้วลาย Mini Electric Revolite Spoke ที่ถูกออกแบบใหม่โดยเฉพาะ
ส่วนภายในห้องโดยสารยังคงกลิ่นไอของ Mini แต่เพิ่มความรู้สึกไฮเทคมากขึ้นจากจอแสดงข้อมูลดิจิตอลแก่ผู้ขับขนาด 5.5 นิ้วและจอระบบ Infotainment ขนาด 6.5 ที่มาพร้อมกับระบบนำทาง Connect Navigation พร้อมรองรับ Apple CarPlay ตัดกับแผงแดชบอร์ดสีดำของรถ ในขณะที่เอุปกรณ์มาตรฐานภายในห้องโดยสารมีเบาะผ้า Double Stripe Carbon Black รวมทั้งระบบปรับอากาศ 2 โซน แต่ก็มีเบาะผ้าผสมหนัง และเบาะหลังเป็นทางเลือกเสริม
Mini Cooper SE จะถูกผลิตลายการผลิตที่โรงงานในออกซ์ฟอร์ดพร้อมกับรุ่นใช้เครื่องยนต์ แต่ยังไม่มีการระบุในเรื่องเราคาการช่วงเวลาที่จะจำหน่ายออกมา ซึ่งคาดว่าน่าจะหลังการนำไปเปิดตัวอีกครั้งที่งานแฟรก์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ในเดือนกันยายน
เรื่อง: กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th[/expander_maker]