MITSUBISHI คว้ารางวัล CAR OF THE YEAR 2020
MITSUBISHI TRITON
THE BEST PICKUP4WD UNDER 2,500 c.c.
นับว่าเป็นอีกหนึ่งรถปิกอัพขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด เพราะนอกจากการใช้งานที่หลากหลายในทุกเส้นทางและความสะดวกสบายจากห้องโดยสารขนาดใหญ่ แถมยังพ่วงเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัย จนทำให้ MITSUBISHI TRITON ได้รับการโหวตอย่างต่อเนื่องจากคณะกรรมการ ว่า นี่คือ…BEST PICKUP 4WD UNDER 2,500 c.c.
มุมมองจากคณะกรรมการ
การออกแบบที่ฉีกกฎเกณฑ์เดิมๆ
MITSUBISHI TRITON ได้รับการดีไซน์ภายใต้คอนเซปต์ “Advanced Dynamic Shield” ที่เน้นความดุดันของฝากระโปรงหน้า พร้อมไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ Bi-LED และไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED ดีไซน์ใหม่ ติดตั้งอยู่บนตำแหน่งที่สูงขึ้น ส่งผลให้ MITSUBISHI TRITON มีรูปลักษณ์ที่สง่างามและทรงพลัง ด้านข้างและด้านหลัง เน้นส่วนโค้งมนตัดกับเส้นสายอันโฉบเฉี่ยว พร้อมซุ้มล้อขนาดใหญ่ เน้นความแกร่งและความทันสมัย รวมถึงไฟท้ายและไฟเบรกแบบ LED พร้อม LED Light Guide และชุดกันชนดีไซน์ที่เพิ่มความบึกบึน นอกจากนี้ ยังเพิ่มความสะดวกด้วยกระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า พร้อมระบบไล่ฝ้า
ภายในห้องโดยสารของ MITSUBISHI TRITON เน้นการออกแบบห้องโดยสารโทนสีเข้ม เบาะนั่งโอบกระชับรับกับทุกสรีระพร้อมระบบปรับตำแหน่ง ด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทางด้านคนขับ พื้นที่ภายในห้องโดยสารตอนหลังกว้างขวาง สามารถยืดขาผ่อนคลายได้ระหว่างทาง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติบนพวงมาลัย (Cruise Control) เพิ่มความพิเศษด้วยระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง พร้อมแผงควบคุม และช่องระบายความเย็น ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่รถปิกอัพได้นำระบบนี้มาใช้
รถปิกอัพที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัย
MITSUBISHI TRITON มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยอันชาญฉลาด ที่ทำให้ผู้ขับและผู้โดยสารปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อาทิ ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา พร้อมระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน (Blind Spot Warning with Lane Change Assist – BSW with LCA) ระบบจะตรวจจับรถคันอื่นที่วิ่งอยู่ในเลนถัดไปทางด้านหลัง ในระยะประมาณ 70 ม. และส่งสัญญาณไฟเตือนบนกระจกมองข้างให้ผู้ขับขี่ทราบว่ามีรถอยู่ในจุดอับสายตา
- ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง (Forward Collision Mitigation System – FCM) พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว ระบบจะทำงานโดยใช้เรดาร์ประเมินระยะห่างจากรถคันหน้า หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะชนรถคันหน้าในช่องทางเดียวกัน ระบบจะทำการเตือนและช่วยชะลอความเร็ว พร้อมเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรก เพื่อให้ประสิทธิภาพในการเบรกที่ดียิ่งขึ้น และบรรเทาความเสียหายจากการชน
- ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรง และรวดเร็ว (Ultrasonic Misacceleration Mitigation System – UMS) ระบบทำงานโดยใช้คลื่น Ultrasonic ตรวจจับวัตถุด้านหน้าหรือด้านหลังในระยะไม่เกิน 4 เมตร ในขณะที่เกียร์อยู่ตำแหน่ง “D” หรือ “R” หากมีการเหยียบคันเร่งผิดพลาดอย่างรุนแรง และรวดเร็ว ระบบจะทำการตัดกำลังเครื่องยนต์ ชั่วขณะอัตโนมัติ และทำงานที่ความเร็วต่ำกว่า 10 กม./ชม. เพื่อช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการชน
- ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (Rear Cross Traffic Alert – RCTA) ในขณะที่รถกำลังถอยหลัง หากเซนเซอร์ด้านหลังตรวจพบรถคันอื่นเข้ามาภายในรัศมีการตรวจจับ ระบบจะส่งเสียงเตือนและสัญญาณไฟกะพริบบนกระจกมองข้างทั้ง 2 ด้าน พร้อมแสดงข้อความเตือนบนหน้าจอแสดงผล
- กล้องมองภาพรอบคัน (Multi Around Monitor) ระบบทำงานผ่านกล้อง 4 ตำแหน่งรอบตัวรถ เพื่อประมวลผลและแสดงภาพแบบ Bird’s Eye View ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นภาพได้รอบตัวรถ เพิ่มความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการจอดรถได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
- ระบบปรับระดับไฟสูง-ต่ำ อัตโนมัติ (Automatic High-Beam – AHB) เพื่อความสะดวกสบาย และความปลอดภัยสำหรับการขับขี่ในยามค่ำคืน ระบบจะตรวจจับแสงไฟจากด้านหน้ารถ เพื่อปรับการทำงานของไฟสูงและไฟต่ำโดยอัตโนมัติ
- ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง เสริมความปลอดภัยด้วยถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง บริเวณหัวเข่าด้านคนขับ และม่านถุงลมนิรภัย ช่วยลดความรุนแรงที่เกิดจากการชนทั้งด้านหน้า และด้านข้าง ทำงานร่วมกันกับเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ
- ระบบเบรกแบบป้องกันล้อล็อก (Anti-Lock Braking System – ABS) จะทำงานทันทีเมื่อเหยียบเบรกกะทันหัน ช่วยให้คุณหักหลบสิ่งกีดขวางได้อย่างทันท่วงที
- ระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Brake Force Distribution – EBD) ทำงานประสานกับระบบเบรก ABS เพื่อให้เกิดการกระจายแรงเบรกอย่างเหมาะสมทั้ง 4 ล้อ ช่วยลดระยะเบรกให้สั้นลง
- ระบบเสริมแรงเบรก (Brake Assist – BA) จะทำงานทันทีที่เหยียบเบรกกะทันหัน ระบบนี้จะช่วยเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรกให้มากขึ้น เพื่อช่วยให้การหยุดรถเป็นไปอย่างรวดเร็ว
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist System – HSA) ช่วยป้องกันรถไหล เมื่อต้องออกตัวบนทางลาดชัน
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Active Stability Control – ASC) ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวของรถ ในสภาวะที่รถเสียสมดุล เพื่อป้องกันการลื่นไถลออกนอกเส้นทาง เช่น กรณีหลุดโค้งเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ถนนลื่น หรือหักหลบกะทันหัน
ขุมพลัง 2.4 ลิตร แรงแต่ประหยัด
MITSUBISHI TRITON มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร 181 แรงม้า MIVEC (Mitsubishi Innovation Valve Timing Electronic Control) อัจฉริยภาพแห่งเครื่องยนต์ ลิขสิทธิ์เฉพาะจากมิตซูบิชิ กับระบบควบคุมการเปิด-ปิด วาล์วไอดีแปรผัน ทำงานสอดคล้องกับความเร็วรอบของเครื่องยนต์ ควบคุมการทำงานด้วยสมองกลอัจฉริยะ ช่วยให้เครื่องยนต์มีแรงดีขึ้นในรอบต่ำและได้แรงม้ามากขึ้นในรอบสูง อัตราเร่งดี ความเร็วสูงสุดเผาไหม้หมดจด ลดมลพิษในอากาศ โดยมี VG Turbo (Variable Geometry Turbo) เพิ่มประสิทธิภาพแรงอัดอากาศด้านไอดีให้สัมพันธ์กับเครื่องยนต์ ด้วยเทอร์โบแปรผันที่สามารถควบคุมปริมาณไอเสีย เพื่อช่วยสร้างแรงอัดอากาศด้านไอดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เครื่องยนต์มีแรงบิดสูงทั้งในรอบต่ำ รอบปานกลางและรอบสูงอย่างต่อเนื่อง ทำงานร่วมกับอินเตอร์คูลเลอร์ขนาดใหญ่ ช่วยลดความร้อนไอดีได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ ไอดีมีความหนาแน่นมากขึ้น เพิ่มความแรงให้กับเครื่องยนต์ ตอบสนองอัตราเร่งได้ทันใจ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม SPORT MODE ช่วยให้ทุกการเปลี่ยนเกียร์เป็นไปอย่างต่อเนื่อง นุ่มนวล มาพร้อมสปอร์ตโหมดให้คุณควบคุมได้อย่างใจ และยังมีรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.9 ม. ช่วยให้คุณเลี้ยวรถได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
Super-Select 4WD II ระบบขับเคลื่อนที่พร้อมลุยในทุกพื้นที่
MITSUBISHI TRITON มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (Super Select 4WD II) เทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ เอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ ให้ความมั่นใจในการขับขี่ทุกสภาพถนน โดยให้คุณสามารถเปลี่ยนโหมดจากระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) แบบ Full-time All Wheel Control เพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนถนนลื่น และเมื่อต้องการขับขี่บนเส้นทางแบบ Off-Road คุณยังสามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนเป็น 4HLc หรือ 4LLc สำหรับพื้นที่ลาดชัน หรือลุยโคลนได้ตามต้องการ
นอกจากนี้ ระบบ 4WD ที่อยู่ใน Off-Road Mode สามารถปรับรูปแบบการส่งกำลังเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นผิว และเส้นทางในการขับขี่มากยิ่งขึ้น เช่น พื้นกรวด พื้นโคลน พื้นทราย (ใช้งานควบคู่กับระบบ 4HLc และ 4LLc) และพื้นหิน (ใช้งานควบคู่กับระบบ 4LLc) เพิ่มความแข็งแกร่งในการลุยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ระบบล็อกเฟืองท้ายหลัง ควบคุมการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า เพื่อให้เครื่องยนต์ส่งกำลังไปยังล้อหลังทั้งซ้ายและขวาหมุนเท่ากันตลอดเวลา ทำงานร่วมกับระบบ Center Differential Lock ช่วยให้ขับผ่านเส้นทางที่วิบากไปได้อย่างง่ายดาย
ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหน้า แบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้น คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลงขนาดใหญ่ เพื่อให้เกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น ด้านหลังแบบแหนบแผ่นซ้อน ติดตั้งเหนือเสื้อเพลา พร้อมโช้คอัพไขว้ขนาดใหญ่ ออกแบบจุดยึด และปรับตั้งแหนบใหม่ ให้การขับขี่ที่นุ่มนวลและยึดเกาะถนนดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางธรรมดาที่ต้องการความคล่องตัวสูง และทางออฟโรดที่สมบุกสมบัน
MITSUBISHI PAJRO SPORT : BEST PPV DIESEL 4WD UNDER 2,500 c.c.
MITSUBISHI PAJERO SPORT หนึ่งในรถ PPV ที่ร้อนแรงที่สุดในชั่วโมงนี้ ทั้งตอบโจทย์ด้านความแรง ความประหยัด ความล้ำสมัย และระบบขับเคลื่อนแบบพิเศษที่สามารถใช้งานได้ทุกสภาพถนน จนทำให้คณะกรรมการผู้ให้คะแนน Car of The Year 2020 ต่างให้ความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่คือรถ PPV ที่คุ้มค่ามากที่สุดในยุคนี้” ซึ่งจะมีความพิเศษอย่างไรบ้าง มาติดตามกัน…
เทคโนโลยี Application ตรวจเช็กรถผ่าน Smartphone
MITSUBISHI PAJERO SPORT มาพร้อมกับระบบ มิตซูบิชิ รีโมท คอนโทรล (แอปพลิเคชัน Mitsubishi Remote Control) แอปพลิเคชันที่สามารถแสดงข้อมูลเกี่ยวกับสถานะของตัวรถ อาทิ การเปิด-ปิด ประตู การสตาร์ทรถ การล็อกรถ การปิด-เปิด กระจก นอกจากนี้ ยังแสดงข้อมูลอัตราสิ้นเปลือง รวมถึงพฤติกรรมการใช้งานและระยะทางการใช้งานที่สามารถใช้งานได้ แอปพลิเคชัน Mitsubishi Remote Control ยังมีการแจ้งเตือนระบบต่างๆ เมื่อเกิดสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับตัวรถ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้ขับขี่ผ่านสมาร์ทโฟนและสามารถส่งคำสั่งได้จากทุกที่ในระยะของการเชื่อมต่อรถยนต์ผ่านแอปพลิเคชัน โดยทำงานควบคู่กับระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS หรือเมื่ออยู่ในระยะสัญญาณบลูทูธ
แอปพลิเคชัน M-Connect รองรับการเชื่อมต่อข้อมูลของตัวรถไปยังสมาร์ทโฟน โดยมี 4 เมนูหลัก ได้แก่
1. Roadside Assistance บริการช่วยเหลือบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อสั่งการผ่านสมาร์ทโฟน และหน้าจอระบบสัมผัส SDA
2. Vehicle Information การรายงานข้อมูลทั้งสภาพรถ ประวัติการเข้ารับบริการ และแสดงข้อมูลตัวรถขณะขับขี่
3. Vehicle Health Report การแจ้งเตือนสถานะของตัวรถเพื่อการตรวจสอบและซ่อมบำรุง อาทิ ระบบกุญแจอัจฉริยะ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบเบรก เป็นต้น
4. Emergency Call การประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์ตลอด 24 ชั่วโมง โดยระบบนี้ทำงานทันทีเมื่อถุงลมนิรภัยทำงานหรือสั่งการผ่านสมาร์ทโฟนและหน้าจอระบบสัมผัส SDA
ภายในล้ำสมัยด้วยเรือนไมล์ LCD
ห้องโดยสารของ MITSUBISHI PAJERO SPORT โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีการเชื่อมต่อและควบคุมการใช้งานด้วยจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว ใหม่ ที่ง่ายต่อการอ่าน มีการแสดงผลมาตรวัดความเร็ว มาตรวัดรอบเครื่องยนต์และข้อมูลอื่นๆ ของตัวรถ พร้อมกับแสดงสถานะของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบหน้าจอได้ 3 แบบ รองรับเมนูภาษาไทย สามารถเชื่อมต่อและแสดงข้อมูลจากหน้าจอเครื่องเสียงระบบสัมผัส SDA (Smartphone-link Display Audio) ที่เป็น LCD ขนาด 8 นิ้ว จึงไม่ต้องละสายตาจากจอแสดงข้อมูลขับขี่ อีกทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน และ Apple CarPlay ใช้งานง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส และการสั่งงานด้วยเสียง
ส่วนผู้โดยสารตอนหลังมีจอภาพแบบ Wide Screen ขนาด 12.1 นิ้ว ติดตั้งบนเพดานรถ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB และสมาร์ทโฟน ผ่าน HDMI มาพร้อมกับรีโมทและหูฟังอินฟราเรด สะดวกสบายมากขึ้น ด้วยช่องจ่ายกระแสไฟ AC 220 โวลต์ พร้อมช่องชาร์จอุปกรณ์ USB 2.1A 2 ตำแหน่งบริเวณคอนโซลกลางด้านหลัง
MITSUBISHI PAJERO SPORT มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ ขนาด 2,400 ซี.ซี. MIVEC Clean Diesel ให้กำลังสูงสุดได้ถึง 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 43.8 กก.-ม. ที่ 2,500 รอบ/นาที ทำงานคู่กับเทอร์โบชาร์จแบบแปรผัน VG Turbo โดยส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติแบบอัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมสปอร์ตโหมด ผู้ขับสามารถปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ตามความต้องการ จากทั้งคันเกียร์ หรือ Paddle Shift
นอกจากนี้ ยังมีระบบช่วยควบคุม และตัดกำลังไปยังเพลาขับโดยอัตโนมัติเมื่อเหยียบเบรก (Idle neutral control) เพื่อลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ และลดการสูญเสียเชื้อเพลิงในขณะรถหยุดนิ่ง เมื่อเกียร์อยู่ในตำแหน่ง D ท่ามกลางสภาพการจราจรที่แออัด ยังผลให้ประหยัดการใช้เชื้อเพลิง และลดการสึกหรอของระบบเกียร์ ยืดอายุการใช้งานของเกียร์ ส่วนระบบ G-SENSOR จะช่วยควบคุมการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ให้มีความแม่นยำมากขึ้นในทางลาดชัน
เทคโนโลยีความปลอดภัยในรูปแบบพรีเมียม
MITSUBISHI PAJERO SPORT มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยแบบเหนือชั้น อาทิ ระบบ Blind Spot Warning ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา เพื่อความปลอดภัยในการเปลี่ยนช่องจราจร ระบบจะส่งสัญญาณไฟเตือนบนกระจกมองข้างให้ผู้ขับขี่ทราบว่ามีรถอยู่ในจุดอับสายตา ซึ่งระบบจะทำงานที่ความเร็ว 20-140 กม./ชม. ระบบ Forward Collision Mitigation System ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว ระบบจะทำงานโดยใช้เรดาร์ประเมินระยะห่างจากรถคันหน้า หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะชนรถคันหน้าในช่องทางเดียวกัน ระบบจะทำการเตือนและช่วยชะลอความเร็ว พร้อมเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรก เพื่อให้ประสิทธิภาพในการเบรกที่ดียิ่งขึ้น และบรรเทาความ เสียหายจากการชน
เพิ่มเติมความปลอดภัยด้วย ระบบ ULTRASONIC MISACCELERATION MITIGATION SYSTEM ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ระบบทำงานโดยใช้คลื่น Ultrasonic ตรวจจับวัตถุด้านหน้าหรือด้านหลังในระยะไม่เกิน 4 เมตร ในขณะที่เกียร์อยู่ตำแหน่ง “D” หรือ “R” หากมีการเหยียบคันเร่งผิดพลาดอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ระบบจะทำการตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะอัตโนมัติ และทำงานที่ความเร็วต่ำกว่า 10 กม./ชม. เพื่อช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการชน, ระบบ Multi Around Monitor กล้องมองภาพรอบคัน ระบบทำงานผ่านกล้อง 4 ตำแหน่งรอบตัวรถ เพื่อประมวลผลและแสดงภาพแบบ Bird’s Eye View ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นภาพได้รอบตัวรถ เพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการจอดรถได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น, ระบบ ACTIVE STABILITY AND TRACTION CONTROL ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวในสภาวะที่รถเสียสมดุล เพื่อป้องกันการลื่นไถลออกนอกเส้นทางพร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถลจะช่วยควบคุมการหมุนของล้อทั้ง 4 อย่างสมดุล ในสภาวะถนนลื่น ขรุขระ หรือทางชัน เพื่อไม่ให้รถสูญเสียการยึดเกาะถนน, Hill Start Assist System ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ช่วยป้องกันรถไหลเมื่อต้องออกตัวบนทางลาดชัน, Hill Descent Control ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย ยิ่งขึ้น
ระบบขับเคลื่อนที่ให้มากกว่าการลุย
สำหรับในโหมดระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select 4WD-II ของ MITSUBISHI PAJERO SPORT มาพร้อม 4 โหมดการขับขี่ ได้แก่
– โหมด 2H ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2WD High-Range) ใช้ในการเดินทางชีวิตประจำวัน
– โหมด 4H (4WD High-Range) สามารถทำความเร็วได้เท่ากับระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ซึ่งเป็นการแปรผันระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบอัตโนมัติ โดยจะทำงานด้านหน้า 40% ด้านหลัง 60% ทันทีที่เจอพื้นถนนลื่น กรวด ทราย ขึ้นเขา หรือลงเขา ระบบจะปรับเปลี่ยนเป็น 50-50 โดยอัตโนมัติ
– ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full-Time All Wheel Control โหมด 4HLc ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วสูง (4WD High-Range with Locked Transfer) เหมาะกับการลุยที่ไม่ยากลำบากนัก สามารถทำความเร็วได้โดยประมาณ 120-130 กิโลเมตร/ชั่วโมง
(ซึ่ง 2H, 4H และ 4HLc สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องจอดรถ ในความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง)
– โหมด 4LLc ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วต่ำ (4WD Low-Range with Locked Transfer) เหมาะกับการลุยแบบหนักๆ เพราะรอบเครื่องจะสูง สามารถเรียกแรงบิดได้อย่างทันที ในตำแหน่งนี้ไม่ควรใช้ความเร็วเกิน 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมโหมดออฟโรด 4 ลักษณะ โดยนับเป็นครั้งแรกในรถยนต์มิตซูบิชิ มีการทำงานสัมพันธ์กันตลอดเวลาระหว่างเครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อนและเบรก ช่วยให้ตัวรถขับเคลื่อนผ่านสภาพเส้นทางต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ได้แก่ Gravel เหมาะสำหรับถนนลูกรังที่มีกรวดและดิน, Mud/Snow เหมาะสำหรับบริเวณที่เป็นโคลนหรือหิมะหนา, Sand เหมาะสำหรับบริเวณที่เป็นทรายละเอียด, Rock เหมาะสำหรับถนนที่พื้นผิวขรุขระ เช่น มีหินมาก หรือล้อลอยจากพื้น รวมทั้งระบบล็อกเฟืองท้ายที่ส่งกำลังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
…และนี่คือความโดดเด่นเหนือใคร ที่ทำให้ MITSUBISHI PAJERO SPORT ได้รับการคัดเลือกให้เป็น BEST PPV DIESEL 4WD UNDER 2,500 c.c. ประจำปี 2020 จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
MITSUBISHI XPANDER : THE BEST MPV UNDER 1,600 c.c.
สร้างความโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง สำหรับรถยนต์อเนกประสงค์
7 ที่นั่ง อย่าง MITSUBISHI XPANDER ที่การันตีความนิยมด้วยยอดจำหน่ายอันดับหนึ่งของรถยนต์นั่งในคลาส MPV ที่มีความคุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมที่คล่องตัว พื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง และห้องโดยสารแถวที่สามสามารถใช้งานได้จริง ซึ่งนับเป็นเหตุผลสำคัญที่เหล่าคณะกรรมการต่างโหวตให้คะแนน MITSUBISHI XPANDER เป็นรถ MPV ที่คุ้มค่าที่สุด ใน Car of The Year 2020
การออกแบบที่ฉีกทุกความคิด
MITSUBISHI XPANDER ที่ได้รับการดีไซน์แบบ ‘Advanced Dynamic Shield’ ที่ช่วยปกป้องทั้งผู้ขับขี่ ผู้โดยสารและผู้ร่วมใช้เส้นทางให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยตำแหน่งไฟหน้าติดตั้งในกันชนหน้า เพื่อเลี่ยงไม่ให้แสงจากไฟหน้ารบกวนสายตาผู้ใช้ทางเท้า รวมถึงผู้ขับขี่ยานพาหนะที่สวนทางมา ขณะที่ไฟหรี่แบบ Crystal LED ถูกติดตั้งอยู่ด้านบนของฝากระโปรงและเยื้องมาด้านหน้าซุ้มล้อ จึงช่วยให้ผู้ใช้ทางเท้าและยานพาหนะอื่นๆ สังเกตเห็นได้ง่ายขึ้น ส่วนด้านหลังก็ดูมีมิติ มีการเล่นระดับจับคู่กับไฟท้ายเป็นแบบ LED ดีไซน์เป็นรูปตัว L ซึ่งทำให้ดูกว้างและสะดุดตา
ภายในกว้าง ใช้งานได้จริงในทุกที่นั่ง
MITSUBISHI XPANDER ได้รับการออกแบบภายในให้มีความกว้าง โปร่งสบาย ไม่อึดอัด ตอบโจทย์การใช้งานคนเมืองที่มีครอบครัวใหญ่อย่างครบถ้วน ซึ่งมาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน อาทิ กุญแจอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์แผงควบคุมระบบปรับอากาศด้านหลัง พวงมาลัยไฟฟ้าที่ปรับระดับสูง-ตำและปรับเข้า-ออก และสวิตช์ควบคุมระบบเครื่องเสียงบนพวงมาลัย พร้อมหน้าจอแสดงผลข้อมูลอเนกประสงค์แบบสามมิติ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว พวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนัง มีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติบนพวงมาลัย จอภาพระบบสัมผัสขนาด 6.2 นิ้ว และเบาะที่นั่งหุ้มหนังและวัสดุหนังสังเคราะห์ทั้ง 3 แถว
ส่วนพื้นที่ใช้สอยในห้องโดยสารด้านหลัง สามารถดีไซน์ได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการพับเบาะแถวที่ 3 แบบ 50:50 โดยแยกการพับได้ทั้งด้านซ้ายและขวา ในส่วนแถวที่ 2 เบาะนั่งยังสามารถพับต่อเนื่องในรูปแบบ 60:40 ได้อีกด้วย ซึ่งแบ่งแยกซ้าย-ขวา ได้เช่นเดียวกัน ทำให้สามารถเลือกการพับเบาะได้ตามความต้องการในทุกรูปแบบการใช้งาน ที่สำคัญ เบาะนั่งแถวที่ 2 ยังสามารถเลื่อนขึ้นด้านหน้าเพื่อเพิ่มพื้นที่วางขาในที่นั่งแถวที่ 3 ให้มีความกว้างมากขึ้น ซึ่งสามารถรองรับคนนั่งที่มีความสูงได้ถึง 175 เซนติเมตร โดยที่ขาไม่ติดเบาะแถวที่ 2
ระบบความปลอดภัยที่เพิ่มความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
MITSUBISHI XPANDER อัดแน่นด้วยระบบความปลอดภัยทั้งในเชิงป้องกันและปกป้อง ได้แก่ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC – Active Stability Control) ระบบป้องกันการลื่นไถล (TCL – Traction Control System) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA – Hill Start Assist System) ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS – Anti Lock Braking System) และระบบกระจายแรงดันนำมันเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD – Electronic Brake Force Distribution) พร้อมระบบเสริมแรงเบรก (BA – Brake Assist) ระบบไฟกะพริบฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS – Emergency Stop Signal System) ถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับและระบบผ่อนแรงอัตโนมัติ ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง และเข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุด 5 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารทุกที่นั่ง รุ่นสูงสุดยังมาพร้อมกับกล้องมองภาพด้านหลัง
ขุมพลัง 1,500 ซี.ซี. จับคู่ช่วงล่างนุ่มนวล
MITSUBISHI XPANDER มาพร้อมกับเครื่องยนต์อลูมินัม อัลลอย เบนซิน ขนาด 1.5 ลิตร DOHC MIVEC 16 วาล์ว 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมด้วยพวงมาลัยแบบไฟฟ้าที่เพิ่มความหน่วงตามความเร็ว ซึ่งสั่งการผ่านกล่องอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้มีความละเอียดและแม่นยำในการควบคุม
ส่วนระบบช่วงล่างเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริงและเหล็กกันโคลงที่ด้านหน้าและทอร์ชันบีมที่ด้านหลัง ให้ความนุ่มนวลที่มากกว่ารถในคลาสเดียวกัน ซึ่งมีความนุ่มใกล้เคียงกับรถซีดาน 4 ประตู ไม่ยวบย้วยเวลาใช้ความเร็วในการเดินทาง ซึ่งถ้ามองรวมๆ แล้ว MITSUBISHI XPANDER เป็นรถครอบครัวที่ตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี อีกจุดที่น่าสนใจ คือ ความสูงจากพื้นถึงชายล่างรถอยู่ที่ 205 มม. สามารถลุยนำหรือพื้นขรุขระได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว
ซึ่งทั้งหมดนี้ คือความคิดเห็นจากคณะกรรมการที่โหวตให้คะแนน MITSUBISHI XPANDER เป็นรถที่ดีที่สุดในชั่วโมงนี้และคว้ารางวัล BEST MPV UNDER 1,600 c.c. มาได้อีกครั้ง
MITSUBISHI MIRAGE : BEST FUEL ECONOMY ECO CAR
นับเป็นอีกหนึ่งรถยนต์ ECO CAR ที่มีความคุ้มค่าและลงตัวมากที่สุด สำหรับ MITSUBISHI MIRAGE ที่โดดเด่นในด้านความประหยัด สามารถทำตัวเลขได้ถึง 23.3 กิโลเมตรต่อลิตร ด้วยบล็อกเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ซึ่งพ่วงเทคโนโลยีความประหยัดด้วยระบบเกียร์ CVT อัจฉริยะ INVECS-III ที่ช่วยจำพฤติกรรมการขับให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด จนทำให้คณะกรรมการต่างลงความเห็นว่า นี่คือ… BEST FUEL ECONOMY ECO CAR
เครื่อง 1.2 ลิตร จับคู่ CVT อัจฉริยะ INVECS-III
ขุมพลังแบบประหยัด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
MITSUBISHI MIRAGE มาพร้อมกับขุมพลังความประหยัดในรูปแบบเครื่องยนต์เบนซิน DOHC MIVEC 1.2 ลิตร 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 100 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที พร้อมระบบวาล์วแปรผันด้านไอดี MIVEC (MITSUBISHI INNOVATIVE VALUE TIMING ELECTRONIC CONTROL SYSTEM) ช่วยให้เครื่องยนต์มีแรงบิดดีขึ้นในรอบตำ ทำให้เครื่องยนต์อัตราเร่งดีเยี่ยม ให้การเผาไหม้หมดจด ลดมลพิษ รักษาสิ่งแวดล้อมซึ่งมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสีย 100 กรัมต่อกิโลเมตร
โดยพละกำลังเครื่องยนต์ทั้งหมด ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ CVT 6 จังหวะ (CONTINUOUSLY VARIABLE TRANSMISSION) WITH INC (IDLE NEUTRAL CONTROL) & G-SENSOR ระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ควบคุมการทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยให้ทุกการเปลี่ยนเกียร์เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และนุ่มนวล ทำงานควบคู่กับระบบ INC ที่ช่วยควบคุมและตัดระบบส่งกำลังไปยังเพลาขับอัตโนมัติในขณะรถหยุดนิ่งและเหยียบเบรกในตำแหน่งเกียร์ “D” ลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ ส่งผลให้ประหยัดนำมันในทุกการขับขี่ และลดการสึกหรอของระบบเกียร์ ช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์ให้ยาวนานขึ้น พร้อมด้วยระบบ G-SENSOR ช่วยควบคุมการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ ให้ความแม่นยำมากขึ้นในทางลาดชัน โดยมีระบบ INVECS-III (INTELLIGENT AND INNOVATIVE VEHICLE ELECTRONIC CONTROL SYSTEM III ) ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์อัจฉริยะ INVECS-III ซึ่งช่วยวิเคราะห์และจดจำลักษณะการขับขี่ เพื่อนำไปประมวลผลการเปลี่ยนเกียร์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละบุคคล
เทคโนโลยีความปลอดภัยเต็มรูปแบบ
สำหรับ MITSUBISHI MIRAGE มาพร้อมระบบความปลอดภัยแบบอัจฉริยะ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยต่อผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น อาทิ ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็วในช่วงความเร็วตำ(Forward Collision Mitigation System-Low Speed Range FCM-LS) โดยระบบจะประเมินระยะห่างจากรถคันหน้า หากพบว่าเคลื่อนที่เข้าใกล้รถคันหน้ามากเกินไป หรือมีความเสี่ยงที่จะชน ระบบจะแสดงสัญลักษณ์พร้อมเสียงเตือน ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็วด้านหน้า (Rader Sensing Misacceleration Mitigation System-Forward RMS-FORWARD), ระบบตรวจจับวัตถุด้านหน้าระยะห่างไม่เกิน 4 เมตร หากมีการเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ระบบจะแสดงสัญลักษณ์พร้อมเสียงเตือน และตัดกำลังเครื่องยนต์อัตโนมัติชั่วขณะ เพื่อให้ผู้ขับสามารถเหยียบเบรกได้ทัน ช่วยลดอุบัติเหตุจากการชน มีผลที่ความเร็วไม่เกิน 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ MITSUBISHI MIRAGE ยังมาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ที่ครบครัน อาทิ ถุงลม SRS, ระบบไฟส่องสว่างอัตโนมัติ Welcome Light System เมื่อปลดล็อกรถ ไฟนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์, ระบบ ESS ไฟกะพริบฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal System) สัญญาณไฟกะพริบฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อมีการเบรกกระทันหัน เพื่อเป็นการแจ้งเตือนรถยนต์คันหลัง พร้อมด้วยระบบเบรก ABS, EBD และ BA, ระบบควบคุมการทรงตัวและลื่นไถล ASC (Active Stability Control), ระบบ HSA ช่วยออกตัวบนถนนลาดชัน
จากความโดดเด่นที่เหนือชั้น ทำให้ MITSUBISHI MIRAGE ได้รับการโหวตจากคณะกรรมการว่ามีความเหนือชั้นกว่าคู่แข่งในคลาสเดียวกัน จนทำให้สามารถคว้ารางวัล BEST FUEL ECONOMY ECO CAR มาครองได้สำเร็จ
MITSUBISHI BEST EXPORT BRAND
จากยอดส่งออกที่เติบโตอย่างต่อเนื่องมาถึง 4 ล้านคัน และส่งออกมากกว่า 120 ประเทศทั่วโลก ทำให้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทยครองตำแหน่งผู้ส่งออกรถยนต์อันดับ 1 ในประเทศไทย กลายเป็นรถที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้รถทั่วโลก ซึ่งตัวเลขส่งออกทั้ง 4 ล้านคัน มาจากการประกอบด้วยโรงงานผลิตรถยนต์ 3 แห่ง และโรงงานผลิตเครื่องยนต์ 1 แห่ง ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ถือเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
สำหรับโรงงานผลิตรถยนต์ที่อำเภอแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นศูนย์การผลิตนอกประเทศญี่ปุ่น ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น โดยปัจจุบันมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มีพนักงานมากกว่า 7,000 คน และอีกกว่าหนึ่งหมื่นคนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่ส่งออกรถยนต์ที่ผลิตขึ้นด้วยฝีมือคนไทย และก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เริ่มต้นการดำเนินงานในประเทศไทยในปี 2504 โดย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้วางรากฐานให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตนอกประเทศญี่ปุ่นในปี 2531 ด้วยการส่งออกรถยนต์ มิตซูบิชิ แลนเซอร์ แชมป์ ไปยังประเทศแคนาดา ถือเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่ส่งออกรถยนต์ที่ผลิตโดยฝีมือคนไทย
โดยโรงงานแหลมฉบัง 1 เปิดทำการในปี 2535 ถือเป็นโรงงานผลิตรถยนต์แห่งแรกของศูนย์การผลิต มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ต่อด้วยการเปิดโรงงานแหลมฉบัง 2 เพื่อรองรับการผลิตรถกระบะขนาดหนึ่งตันในปี 2539 ขณะที่โรงงานแหลมฉบัง 3 เปิดทำการในปี 2555 และในปี 2556 มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย สามารถสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการจำหน่ายรถยนต์ภายในประเทศไทยครบ 1 ล้านคัน และสามารถส่งออกรถยนต์ครบ 2 ล้านคัน ซึ่งถือเป็นการครบรอบ 25 ปี ของการส่งออกรถยนต์จาก มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และด้วยศักยภาพของประเทศไทย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส จึงได้ตัดสินใจลงทุนสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาขึ้นในประเทศไทย โดยศูนย์ฯดังกล่าวถือเป็นแห่งแรกที่เปิดดำเนินการและตั้งอยู่นอกประเทศญี่ปุ่น โดยมีพันธกิจหลัก 3 ประการ ได้แก่ 1. มุ่งพัฒนาคุณภาพของรถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างรวดเร็ว 2. การเพิ่มบทบาทในการพัฒนารุ่นปรับโฉม ยกระดับและเปลี่ยนรุ่นสำหรับประเทศไทย และ 3. เพื่อค้นคว้าข้อมูลแนวโน้มการตลาด และเทคโนโลยีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในปี 2559 มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้ฉลองการส่งออกรถยนต์ครบ 3 ล้านคัน และก้าวขึ้นสู่การเป็นบริษัทผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และในปีงบประมาณ 2561 ที่ผ่านมา มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้ส่งออกรถยนต์เป็นจำนวนมากกว่า 298,000 คัน และถือเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในปัจจุบัน
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ขับเคลื่อนสู่การเติบโตและมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และสามารถสร้างยอดการส่งออกได้ครบ 4 ล้านคัน โดยมีสัดส่วนการส่งออกรถยนต์ที่สำคัญ ดังนี้ รถกระบะในสัดส่วนร้อยละ 70 รถซิตี้คาร์ ร้อยละ 22 รถอเนกประสงค์ ร้อยละ 5 และรถยนต์ประเภทอื่นๆ ร้อยละ 3
สำหรับรุ่นรถที่ส่งออกกว่า 120 ประเทศทั่วโลก มีดังนี้ มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่, มิตซูบิชิ แอททราจ ใหม่ และ มิตซูบิชิ มิราจ ใหม่ รวมถึง มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ใหม่ นั่นเท่ากับว่า ผู้ใช้รถมิตซูบิชิทุกรุ่นในเมืองไทยไม่ต้องกลัวเรื่องอะไหล่ เพราะการประกอบและส่งออกมากกว่า 4 ล้านคัน คือการการันตีมาตรฐานเรื่องการบริการและอะไหล่ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังมีแผนการผลิตรถรุ่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
เรื่อง กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th