MITSUBISHI รถยนต์ยอดเยี่ยม แห่งปี 2022
THE BEST TECHNOLOGY PHEV MITSUBISHI OUTLANDER PHEV
MITSUBISHI OUTLANDER นับเป็นอีกหนึ่งในรถยนต์ PHEV ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบถ้วนด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่นด้วยการสร้างกระแสไฟฟ้าได้ด้วยตัวเอง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพียง 52.6 กม. ต่อลิตร หรือ 1.9 ลิตรต่อ 100 กม.ตามมาตรฐาน NEDC มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับต่ำที่ 43 กรัมต่อกม.
MITSUBISHI OUTLANDER PHEV
มาพร้อมกับขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ส่งกำลังด้วยแบตเตอรี่ Lithium-Ion มีความจุรวมถึง 13.8 kWh โดยมอเตอร์ด้านหน้าส่งกำลัง 82 แรงม้า ให้แรงบิด 137 นิวตันเมตร และ 95 แรงม้าที่มอเตอร์ด้านหลังให้แรงบิด 195 นิวตันเมตร พร้อมด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร (128 แรงม้า แรงบิด 199 นิวตันเมตร) ให้กำลังสูงสุดรวมที่ 305 แรงม้า และส่งแรงบิดมากถึง 531 นิวตันเมตร
ตอบโจทย์การใช่งานด้วย “พลังงานสองรูปแบบ” ที่ได้จากการชาร์จกระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงทำให้หมดกังวลเรื่องระยะทางการขับขี่ ซึ่งสามารถใช้เครื่องยนต์ชาร์จเป็นกระแสตรงได้ (Quick Charge) โดยส่งกำลังไฟได้สูงสุดถึง 80 kW ในการขับเดินทางและ 10 kW เมื่อจอดหยุดนิ่ง สามารถชาร์จไฟ 80% ในเวลา 1.30 ชม. ส่วนการชาร์จกระแสไฟฟ้าสามารถเลือกทำได้ 3 รูปแบบ คือ Normal Charge เป็นการชาร์จด้วยไฟ AC โดยใช้อุปกรณ์ชาร์จไฟที่ติดตั้งภายในบ้านหรือตู้บริการชาร์จไฟเอกชน ชาร์จไฟเต็มใช้เวลา 4 ชม. Quick Charge การชาร์จแบบเร็ว นอกสถานที่เป็นการชาร์จไฟ DC แล้วจ่ายไฟ DC เข้าที่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง ชาร์จถึง 80% ใช้เวลา 25 นาที และ Emergency Charger การชาร์จผ่าน Adapter ที่ติดมากับตัวรถซึ่งจ่ายไฟ 3.7 kWh ชาร์จไฟเต็มใช้เวลา 4 ชม. นอกจากนี้ MITSUBISHI OUTLANDER PHEV ยังสามารถผลิตและจ่ายพลังงานไฟฟ้าจากตัวรถมาใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่มีขนาดไม่เกิน 1,500 วัตต์ ด้วยการเสียบปลั๊กเข้ากับช่องจ่ายกระแสไฟฟ้าภายในตัวรถ เพื่อให้คุณได้สนุกสนานกับไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่
ระบบซูเปอร์-ออลวิลล์คอนโทรล เพิ่มความมั่นใจในการควบคุม MITSUBISHI OUTLANDER PHEV มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซูเปอร์-ออลวิลล์คอนโทรล (S-AWC) ได้รับการพัฒนาเพื่อยกระดับความปลอดภัยในการขับขี่ด้วยคุณสมบัติ “การควบคุมรถดังใจคิด” และ “สมรรถนะการขับขี่ขั้นสูง” ประกอบด้วย ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก Anti-Lock Braking (ABS) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว Active Stability Control (ASC) และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและการเบรกระหว่างล้อซ้ายและล้อขวา Active-Yaw Control (AYC) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ติดตั้งที่เพลาหน้า-หลัง ควบคุมแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ พร้อมเสถียรภาพ เพิ่มสมรรถนะและการควบคุม มั่นใจทุกการเข้าโค้ง ระบบซูเปอร์-ออลวิลล์คอนโทรล ยังทำงานร่วมกับโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ ประกอบด้วย
• LOCK (มอบสมรรถนะเต็มรูปแบบของระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ)
• SNOW (ให้การควบคุม การยึดเกาะ และการควบคุมที่ดีเยี่ยม เมื่อขับขี่บนพื้นผิวถนนที่เปียกลื่น)
• NORMAL (ควบคุมแรงบิดของแต่ละล้อให้เหมาะกับสภาพการขับขี่ )
• SPORT (เพิ่มความแม่นยำของคันเร่ง การควบคุม และการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้ดีมากขึ้น) ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการยึดเกาะและลุยผ่านทุกสภาพถนน พร้อมช่วยรักษาเสถียรภาพ และเพิ่มสมรรถนะในการควบคุมให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
MITSUBISHI OUTLANDER PHEV มาพร้อมกับโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่
• EV DRIVE MODE : โหมดการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยใช้พลังงานจากแบเตอรี่
100 % สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 135 กม./ชม.
• SERIES HYBRID MODE : โหมดการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยใช้พลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากเครื่องยนต์ เมื่อแบตเอตรี่ขับเคลื่อนอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเร่งความเร็วโดยฉับพลันหรือเมื่อเร่งเครื่องขึ้นทางลาดชัน
• PARALLEL HYBRID MODE : โหมดการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ โดยใช้กำลังเสริมจากมอเตอร์ไฟฟ้า จะทำงานเมื่อขับขี่ด้วยความสูง หรือต้องการเร่งแซง
โดยการขับขี่ทั้ง 3 รูปแบบ จะถูกสลับปรับเปลี่ยนโหมดแบบอัตโนมัติ พร้อมระบบเบรกที่สามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าคืน (Regenerative Braking) เพื่อทำการชาร์จกระแสไฟฟ้าให้แก่แบตเตอรี่ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ยังติดตั้งเทคโนโลยีการเชื่อมต่อพร้อมระบบสั่งการอัจฉริยะผ่านสมาร์ทโฟน ที่สามารถใช้ได้ทั้งระบบปฏิบัติการไอโอเอสและแอนดรอยด์ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้งาน โดยสามารถตั้งเวลาการชาร์จไฟฟ้า สั่งการเปิด-ปิด เครื่อง
ปรับอากาศภายในรถจากระยะไกล และการตรวจสอบสถานะของตัวรถ
ระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันเต็มรูปแบบ
MITSUBISHI OUTLANDER PHEV มาพร้อมกับเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ อาทิ ระบบสัญญาณเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (RCTA) ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (FCM) ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (BSW) พร้อมระบบสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (LCA) และระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ (AHB) โดยระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ (ACC) ไม่ได้ทำหน้าที่แต่เฉพาะรักษาระดับความเร็วให้คงที่เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่ตรวจจับรถคันหน้า พร้อมควบคุมความเร็วและรักษาระยะห่างเพื่อความปลอดภัยจนกว่ารถจะหยุด
จากความโดดเด่นที่เหนือชั้นทำให้ MITSUBISHI OUTLANDER PHEV ได้รับการโหวดจากคณะกรรมการว่ามีความเหนือชั้นกว่าคู่แข่งในคลาสเดียวกัน จนทำให้สามารถคว้ารางวัล BEST HYBRID SUV UNDER 2,000 c.c. มาครองได้สำเร็จ
BEST HIGH-LIFT PICKUP UNDER 2,500 c.c.
MITSUBISHI TRITON ATHLETE GT
นิยามของความลงตัว
โดดเด่นโฉบเฉี่ยวด้วยชุดตกแต่งกันชนหน้าสีดำแบบสปอร์ต ประกอบด้วย กระจังหน้าสีดำพร้อมกรอบกันชนดีไซน์ไดนามิกชิลด์ด้านหน้าสีดำ หลังคาสีดำพร้อมล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้ว ด้านหลังสะดุดตาด้วยดีไซน์ของมือเปิดกระบะท้ายและกันชนหลังสีดำ พร้อมสัญลักษณ์ ‘ATHLETE’ บนฝากระบะท้าย พร้อมชุดปูพื้นกระบะ แกร่งขึ้นไปอีกขั้นด้วยกรอบกระจกมองข้าง สไตล์ลิ่งบาร์ พร้อมบันไดข้างสีดำ รวมถึงสัญลักษณ์ ‘ATHLETE’ บนแถบกราฟฟิกข้างตัวรถ
MITSUBISHI TRITON ATHLETE GT นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุ้มค่าและลงตัวในการใช้งานทุกด้าน ทั้งขุมพลังเครื่องยนต์ MIVEC ขนาด 2.4 ลิตร 181 แรงม้า ด้วยการออกแบบที่โดดเด่น โฉบเฉี่ยว พร้อมบุคลิกของรถกระบะระดับพรีเมียมที่ยังคงความแกร่งและความสมบูรณ์แบบสำหรับไลฟ์สไตล์ในเมือง จนทำให้คว้ารางวัล THE BEST HIGH-LIFT PICKUP UNDER 2,500 CC. ในปี 2022
ส่วนภายในห้องโดยสาร MITSUBISHI TRITON ATHLETE GT ตกแต่งพิเศษด้วยเบาะหุ้มหนังสังเคราะห์ทูโทนสีดำสลับสีส้ม พร้อมสัญลักษณ์ ‘ATHLETE’ เดินด้ายสีส้มที่หัวเกียร์ แผงประตู และเบรกมือ วัสดุบุนุ่มกันกระแทกบริเวณหัวเข่า และฝากล่องเก็บของคอนโซลกลางตกแต่งด้วยสีส้ม พร้อมพรมห้องโดยสารปักสัญลักษณ์ ‘ATHLETE’ สีส้ม
MITSUBISHI TRITON ATHLETE GT เพิ่มฟังก์ชั่นเบาะนั่งคนขับที่สามารถปรับระดับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง และคงความสะดวกสบายและความปลอดภัยด้วย กุญแจอัจฉริยะ KOS พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ กล้องมองภาพรอบคันพร้อมเส้นกะระยะและเส้นแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถรวมถึงถุงลมนิรภัยคู่หน้า และติดตั้งเครื่องเสียงแบบหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้วรุ่นใหม่ รองรับการใช้งานแอปเปิล คาร์เพลย์และแอนดรอยด์ ออโต้
MITSUBISHI TRITON ATHLETE GT ยังคงความแรงด้วยเครื่องยนต์ MIVEC ขนาด 2.4 ลิตร แรงบิดสูงสุดที่ 430 นิวตันเมตร 181 แรงม้า พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ครบครันด้วยเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยอันทันสมัย อาทิ ระบบเบรกแบบ ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) ระบบลดกำลังเครื่องยนต์ (BOS) เพื่อช่วยเบรก ระบบเสริมแรงเบรก (BA) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวพร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล (ASTC) และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA)
THE MOST VALUABLE PPV UNDER 2,500 c.c.
MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION
MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION หนึ่งในรถ PPV ที่ตอบโจทย์ด้านความแรง ความประหยัด ความล้ำสมัยจนทำให้คณะกรรมผู้ให้คะแนน Car of The Year 2022 ต่างให้ความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่คือรถ PPV ที่คุ้มค่า มากที่สุดในยุคนี้” ซึ่งจะมีความพิเศษอย่างไรบ้างมาติดตามกัน…
MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION มาพร้อมกับระบบ มิตซูบิชิ รีโมท คอนโทรล (แอพพลิเคชั่น Mitsubishi Remote Control) แอพพลิเคชั่นที่สามารถแสดงข้อมูลเกี่ยวกับสถานะของตัวรถ อาทิ การเปิด-ปิดประตู การสตาร์ทรถ การล็อครถ การปิด-เปิดกระจก นอกจากนี้ยังแสดงข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองรวมถึงพฤติกรรมการใช้งานและระยะทางการใช้งานที่สามารถใช้งานได้ แอพพลิเคชั่น Mitsubishi Remote Control ยังมีการแจ้งเตือนระบบต่างๆ เมื่อเกิดสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับตัวรถ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้ขับขี่ผ่านสมาร์ทโฟน สามารถส่งคำสั่งได้จากทุกที่ในระยะของการเชื่อมต่อรถยนต์ผ่านแอปพลิเคชัน โดยทำงานควบคู่กับระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS หรือเมื่ออยู่ในระยะสัญญาณบลูทูธ
เทคโนโลยีที่ให้ทุกการเดินทางสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ด้วยระบบการเชื่อมต่อรถยนต์ ผ่านแอปพลิเคชัน พร้อมสั่งการทำงานบนสมาร์ทโฟน
• RESERVATION สามารถสั่งการเปิด-ปิดประตูท้ายอัตโนมัติได้ล่วงหน้าจากสมาร์ทโฟน (ในระยะเวลาไม่เกิน 20 นาที)
• OPERATION ASSIST ระบบจะแจ้งเตือนถึงสถานะของรถ เช่น ลืมล็อกรถ, ลืมปิดไฟหน้า
สามารถเช็กสถานะของรถ อีกทั้งยังสามารถจัดการรถยนต์ผ่านสมาร์ทโฟน เช่น ปิดไฟฉุกเฉิน, สั่งล็อกประตูรถ
• VEHICLE REMINDER ระบบช่วยเหลือพร้อมแจ้งสาเหตุผ่านสมาร์ทโฟน ในกรณี
ที่คุณไม่สามารถล็อกรถได้ เช่น ไม่มีกุญแจ ประตูปิดไม่สนิท ลืมดับเครื่องยนต์ หรือลืมนำกุญแจออกจากรถ
• VEICLE INFORMATION แสดงข้อมูลและประวัติการใช้งาน เช่น อัตราเฉลี่ย
การบริโภคน้ำมัน, ระยะการเดินทาง, ประวัติการใช้รถ
• CAR FINDER ค้นหารถยนต์ โดยสั่งการให้เปิดไฟหน้าจากสมาร์ทโฟนได้
นอกจากนี้ห้องโดยสารของ MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีการเชื่อมต่อและควบคุมการใช้งานด้วยจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Full LCD ขนาด 8 นิ้วใหม่ที่ง่ายต่อการอ่านมีการแสดงผลมาตรวัดความเร็ว มาตรวัดรอบเครื่องยนต์และข้อมูลอื่นๆ ของตัวรถ พร้อมกับแสดงสถานะของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบหน้าจอได้ 3 แบบ รองรับเมนูภาษาไทย สามารถเชื่อมต่อและแสดงข้อมูลจากหน้าจอเครื่องเสียงระบบสัมผัส SDA (Smartphone-link Display Audio) ที่เป็น Full LCD ขนาด 8 นิ้ว จึงไม่ต้องละสายตาจากจอแสดงข้อมูลขับขี่ อีกทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน และแอปเปิลคาร์เพลย์ ใช้งานง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส และการสั่งงานด้วยเสียง
ส่วนผู้โดยสารตอนหลังมีการปรับจอภาพพร้อมรีโมทคอนโทรล ขนาด 12.1 นิ้ว ติดตั้งบนเพดานรถ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB และสมาร์ทโฟนผ่าน HDMI มาพร้อมกับรีโมทและหูฟังอินฟราเรด สามารถเชื่อมต่อระบบ HDMI และ USB ความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เพื่อเชื่อมต่อความบันเทิงกับ SDA (Smartphone-Link Display Audio) สะดวกสบายมากขึ้นด้วยช่องจ่ายกระแสไฟ AC 220 โวลต์ พร้อมช่องชาร์จอุปกรณ์ USB 2.1A 2 ตำแหน่งบริเวณคอนโซลกลางด้านหลัง
ขุมพลัง MIVEC Clean Diesel ตอบสนองทุกการใช้งาน
MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบขนาด 2,400 ซีซี MIVEC Clean Diesel ให้กำลังสูงสุดได้ถึง 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 43.8 กก.-ม. ที่ 2,500 รอบ/นาที ทำงานคู่กับเทอร์โบชาร์จแบบแปรผัน VG Turbo โดยส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติแบบอัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมสปอร์ตโหมด ผู้ขับสามารถปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ตามความต้องการจากทั้งคันเกียร์ หรือ Paddle Shift
นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยควบคุม และตัดกำลังไปยังเพลาขับโดยอัตโนมัติเมื่อเหยียบเบรก (Idle neutral control) เพื่อลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ และลดการสูญเสียเชื้อเพลิงในขณะรถหยุดนิ่ง เมื่อเกียร์อยู่ในตำแหน่ง D ท่ามกลางสภาพการจราจรที่แออัด ยังผลให้ประหยัดการใช้เชื้อเพลิง และลดการสึกหรอของระบบเกียร์ ยืดอายุการใช้งานของเกียร์ ส่วนระบบ G-SENSOR จะช่วยควบคุมการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ให้มีความแม่นยำมากขึ้นในทางลาดชัน
เทคโนโลยีความปลอดภัยแบบเหนือชั้น
MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยแบบเหนือชั้น อาทิ ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning) เพื่อความปลอดภัยในการเปลี่ยนช่องจราจร ระบบจะส่งสัญญาณไฟเตือนบนกระจกมองข้างให้ผู้ขับขี่ทราบว่ามีรถอยู่ในจุดอับสายตา ซึ่งระบบจะทำงานที่ความเร็ว 20 – 140 กม./ชม. ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง (Forward Collision Mitigation System) พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว ระบบจะทำงานโดยใช้เรดาร์ประเมินระยะห่างจากรถคันหน้า หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะชนรถคันหน้าในช่องทางเดียวกัน ระบบจะทำการเตือนและช่วยชะลอความเร็ว พร้อมเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรกเพื่อให้ประสิทธิภาพในการเบรกที่ดียิ่งขึ้น และบรรเทาความเสียหายจากการชน
เพิ่มเติมความปลอดภัยด้วย ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ(Ultrasonic Misacceleration Mitigation System) เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ระบบทำงานโดยใช้คลื่น Ultrasonic ตรวจจับวัตถุด้านหน้าหรือด้านหลังในระยะไม่เกิน 4 เมตร ในขณะที่เกียร์อยู่ตำแหน่ง “D” หรือ “R” หากมีการเหยียบคันเร่งผิดพลาดอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ระบบจะทำการตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะอัตโนมัติ และทำงานที่ความเร็วต่ำกว่า 10 กม./ชม. เพื่อช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการชน ระบบกล้องมองภาพรอบคัน (Multi Around Monitor) ระบบทำงานผ่านกล้อง 4 ตำแหน่งรอบตัวรถ เพื่อประมวลผลและแสดงภาพแบบ Bird’s Eye View ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นภาพได้รอบตัวรถ เพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการจอดรถได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว(Active Stability Control) ในสภาวะที่รถเสียสมดุล เพื่อป้องกันการลื่นไถลออกนอกเส้นทาง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Active Traction Control) และควบคุมการลื่นไถลจะช่วยควบคุมการหมุนของล้อทั้ง 4 อย่างสมดุล ในสภาวะถนนลื่นขรุขระ หรือทางชัน เพื่อไม่ให้รถสูญเสียการยึดเกาะถนน ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist System)ช่วยป้องกันรถไหลเมื่อต้องออกตัวบนทางลาดชัน ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control) เพื่อการขับขี่ที่ดีขึ้น
…และนี่คือความโดดเด่นเหนือใครที่ทำ MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION ได้รับการคัดเลือก ให้เป็น THE MOST VALUABLE PPV ประจำปี 2022 จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
THE MOST VALUABLE 4WD PICKUP
MITSUBISHI TRITON 4×4
ยังคงความโดดเด่นได้อย่างลงตัวสำหรับ MITSUBISHI TRITON 4X4 ที่การันตีความเป็นสุดยอดด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซลที่มีความจัดจ้านและความประหยัดได้อย่างเหนือชั้น ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่รักสนุกและริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตจนทำให้สามารถคว้ารางวัล THE MOST VALUABLE 4WD PICKUP ในปี 2022 มาครองได้อย่างยอดเยี่ยม
MITSUBISHI TRITON 4X4 ได้รับการดีไซน์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Dynamic Shield” ที่เน้นความดุดันของฝากระโปรงหน้า พร้อมไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ Bi-LED และไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED ดีไซน์ใหม่ติดตั้งอยู่บนตำแหน่งที่สูงขึ้น ส่งผลให้ MITSUBISHI TRITON มีรูปลักษณ์ที่สง่างามและทรงพลัง ด้านข้างและด้านหลัง เน้นส่วนโค้งมนตัดกับเส้นสายอันโฉบเฉี่ยว พร้อมซุ้มล้อขนาดใหญ่เน้นความแกร่งและความทันสมัย รวมถึงไฟท้าย และไฟเบรกแบบ LED พร้อม LED Light Guide และชุดกันชน ดีไซน์ที่เพิ่มความบึกบึนนอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกด้วยกระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า พร้อมระบบไล่ฝ้า
ภายในห้องโดยสารเน้นการออกแบบห้องโดยสารโทนสีเข้มเบาะนั่งโอบกระชับรับกับทุกสรีระ พร้อมระบบปรับตำแหน่งด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทางด้านคนขับ พื้นที่ภายในห้องโดยสารตอนหลังกว้างขวาง สามารถยืดขาผ่อนคลายได้ระหว่างทาง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์, ระบบล็อกความเร็วบนพวงมาลัย (Cruise Control), ปุ่มควบคุมวิทยุ เพิ่มความพิเศษด้วยระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลังพร้อมแผงควบคุม และช่องระบายความเย็น
Super-Select 4WD II ระบบขับเคลื่อนที่พร้อมลุยในทุกพื้นที่
MITSUBISHI TRITON มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (Super Select 4WD II) เทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ เอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ ให้ความมั่นใจในการขับขี่ทุกสภาพถนน โดยให้คุณสามารถเปลี่ยนโหมดจากระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) แบบ Full-time All Wheel Control เพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนถนนลื่น และเมื่อต้องการขับขี่บนเส้นทางแบบ Off – Road คุณยังสามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนเป็น 4HLc หรือ 4LLc สำหรับพื้นที่ลาดชัน หรือลุยโคลนได้ตามต้องการ
นอกจากนี้ Off – Road Mode สามารถปรับรูปแบบการส่งกำลังเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นผิว และเส้นทางในการขับขี่มากยิ่งขึ้น เช่น พื้นกรวด พื้นโคลน พื้นทราย (ใช้งานควบคู่กับระบบ 4HLc และ 4LLc) และพื้นหิน (ใช้งานควบคู่กับระบบ 4LLc) เพิ่มความแข็งแกร่งในการลุยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยระบบล็อกเฟืองท้ายหลัง ควบคุมการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า เพื่อให้เครื่องยนต์ส่งกำลังไปยังล้อหลัง ทั้งซ้ายและขวาหมุนเท่ากันตลอดเวลา ทำงานร่วมกับระบบ Center Differential Lock ช่วยให้ขับผ่านเส้นทางที่วิบากไปได้อย่างง่ายดาย
ส่วนระบบระบบกันสะเทือนด้านหน้า แบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้นคอยส์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลงขนาดใหญ่ เพื่อให้เกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น ด้านหลัง แบบแหนบแผ่นซ้อน ติดตั้งเหนือเสื้อเพลา พร้อมโช้คอัพไขว้ขนาดใหญ่ ออกแบบจุดยึด และปรับตั้งแหนบใหม่ ให้การขับขี่ ที่นุ่มนวลและยึดเกาะถนนดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางธรรมดาที่ต้องการความคล่องตัวสูงและทางออฟโรดที่สมบุกสมบัน
รถปิกอัพที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัย
MITSUBISHI TRITON 4X4 มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ ที่ทำาให้ผู้ขับและผู้โดยสารปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อาทิ ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา พร้อมระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน (Blind Spot Warning with Lane Change Assist – BSW with LCA) ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation System – FCM) ระบบตัดกำาลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรง และรวดเร็ว (Ultrasonic Misacceleration Mitigation System – UMS) ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากชอ่งจอด (Rear Cross Traffic Alert – RCTA) กลอ้ งมองภาพรอบคนั (Multi Around Monitor) ระบบปรับระดับไฟสูง-ต่ำา อัตโนมัติ(Automatic High Beam – AHB) ระบบเบรกแบบป้องกันล้อล็อก (Anti-Lock Braking System – ABS) ระบบกระจายแรงดันนำ้ามันเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Brake Force Distribution – EBD) ระบบเสริมแรงเบรก (Brake Assist – BA) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist System – HSA) ระบบควบคุมเสถียรภาพ การทรงตวั (Active Stability Control – ASC) และระบบปอ้ งกนั ลอ้ หมนุ ฟรแี ละควบคมุ การลืน่ ไถล (Active Traction Control – ATC)
ขุมพลัง 2.4 ลิตร คลีนดีเซล
MITSUBISHI TRITON 4X4 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร 181 แรงม้า MIVEC (Mitsubishi Innovation Valve Timing Electronic Control) อัจฉริยภาพแห่งเครื่องยนต์ลิขสิทธิ์ เฉพาะจากมิตซูบิชิ กับระบบควบคุมการเปิด-ปิดวาล์วไอดีแปรผันทำางานสอดคล้องกับความเร็วรอบของเครื่องยนต์ควบคุมการทำางาน ด้วยสมองกลอัจฉริยะ ช่วยให้เครื่องยนต์มีแรงดีขึ้นในรอบตำ่าและได้แรงม้ามากขึ้นในรอบสูงอัตราเร่งดีความเร็วสูงสุดเผาไหม้หมดจด ลดมลพิษในอากาศ โดยมี VG Turbo (Variable GeometrTurbo) เพิ่มประสิทธิภาพแรงอัดอากาศด้านไอดีให้สัมพันธ์กับเครื่องยนต์ ด้วยเทอร์โบแปรผันที่สามารถควบคุมปริมาณไอเสีย เพื่อช่วยสร้างแรงอัดอากาศด้านไอดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำาให้เครื่องยนต์มีแรงบิดสูงทั้งในรอบตำ่า รอบปานกลาง และรอบสูงอย่างต่อเนื่อง ทำางานร่วมกับอินเตอร์คลูเลอร์ขนาดใหญ่ ช่วยลดความร้อนไอดีได้อย่างรวดเร็ว ทำาให้ไอดีมีความหนาแน่นมากขึ้น เพิ่มความแรงให้กับเครื่องยนต์ ตอบสนองอัตราเร่งได้ทันใจ ส่งกำาลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ6 สปีด ช่วยให้ทุกการเปลี่ยนเกียร์เป็นไปอย่างต่อเนื่อง นุ่มนวล มาพร้อมสปอร์ตโหมดให้คุณควบคุมได้อย่างใจ และยังมีรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.9 ม. ช่วยให้คุณเลี้ยวกลับรถได้อย่างมั่นใจ
BEST MPV UNDER 1,600 c.c.
MITSUBISHI XPANDER
สำหรับความลงตัวรถ MPV UNDER 1,600 c.c. ในปีนี้คงต้องยกความเป็นสุดยอด ให้กับ MITSUBISHI XPANDER รถยนต์อเนกประสงค์ 7 ที่การรันตีความนิยมด้วยยอดจำหน่ายอันดับหนึ่งของรถยนต์นั่งในคลาส MPV ที่มีความคุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งาน ได้อย่างครบถ้วน ซึ่งนับเป็นเหตุผลสำคัญที่เหล่าคณะกรรมการต่างโหวตให้คะแนน MITSUBISHI XPANDER เป็นรถ MPV ที่คุ้มค่าที่สุดใน Car of The Year 2022
MITSUBISHI XPANDER ที่ได้รับการดีไซน์แบบ Advanced ‘Dynamic Shield’ ที่ช่วยปกป้องทั้งผู้ขับขี่ ผู้โดยสารและผู้ร่วมใช้เส้นทางให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยตำแหน่งไฟหน้าติดตั้งในกันชนหน้าเพื่อเลี่ยงไม่ให้แสงจากไฟหน้ารบกวนสายตาผู้ใช้ทางเท้ารวมถึงผู้ขับขี่ยานพาหนะที่สวนมา ขณะที่ไฟหรี่แบบ Crystal LED ถูกติดตั้งอยู่ด้านบนของฝากระโปรงและเยื้องมาด้านหน้าซุ้มล้อจึงช่วยให้ผู้ใช้ทางเท้าและยานพาหนะอื่น ๆ สังเกตเห็นได้ง่ายขึ้น ส่วนด้านหลัง ก็ดูมีมิติมีการเล่นระดับจับคู่กับไฟท้ายเป็นแบบ LED ดีไซน์เป็นรูปตัว L ซึ่งทำให้ดูกว้างและสะดุดตา
ภายในกว้าง ใช้งานได้จริงในทุกที่นั่ง
MITSUBISHI XPANDER ได้รับการออกแบบภายในให้มีความกว้างโปร่งสบายไม่อึดอัด ตอบโจทย์การใช้งานคนเมืองที่มีครอบครัวใหญ่อย่างครบถ้วน ซึ่งมาพร้อมอุปกรณ์อำนวย ความสะดวกที่ครบครัน อาทิ กุญแจอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ แผงควบคุมระบบปรับอากาศด้านหลัง พวงมาลัยไฟฟ้าที่ปรับระดับสูง-ต่ำและปรับเข้า-ออก และสวิตช์ควบคุมระบบเครื่องเสียงบนพวงมาลัย พร้อมหน้าจอแสดงผลข้อมูลอเนกประสงค์แบบสามมิติ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว พวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนัง มีระบบล็อกความเร็วบนพวงมาลัย จอภาพระบบสัมผัสขนาด 6.2 นิ้ว และเบาะที่นั่งหุ้มหนังและวัสดุหนังสังเคราะห์ทั้ง 3 แถว
ส่วนพื้นที่ใช้สอยในห้องโดยสารด้านหลังสามารถดีไซน์ได้ตามความต้องการไม่ว่าจะเป็น การพับเบาะแถวที่ 3 แบบ 50:50 โดยแยกการพับได้ทั้งด้านซ้ายและขวา ในส่วนแถวที่ 2 เบาะนั่งยังสามารถพับต่อเนื่องในรูปแบบ 40:20:40 ได้อีกด้วย ซึ่งแบ่งแยกซ้ายขวาได้เช่นเดียวกัน ทำให้สามารถเลือกการพับเบาะได้ตามความต้องการในทุกรูปแบบการใช้งาน ที่สำคัญเบาะนั่งแถวที่ 2 ยังสามารถเลื่อนขึ้นด้านหน้าเพื่อเพิ่มพื้นที่วางขาในที่นั่งแถวที่ 3 ให้มีความกว้างมากขึ้น ซึ่งสามารถรองรับคนนั่งที่มีความสูงได้ถึง 175 เซนติเมตร โดยที่ขาไม่ติดเบาะแถวที่ 2
ขุมพลัง 1,500 ซี.ซี. ตอบโจทย์การใช้งานอย่างลงตัว
MITSUBISHI XPANDER มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC MIVEC 16 วาล์ว 105 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมด้วยพวงมาลัยแบบไฟฟ้าที่เพิ่มความหน่วงตามความเร็ว ซึ่งสั่งการผ่านกล่องอิเล็กทรอนิกส์ทำให้มีความละเอียดและแม่นยำในการควบคุม
ส่วนระบบช่วงล่างเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริงและเหล็กกันโคลงที่ด้านหน้า และทอร์ชันบีมที่ด้านหลัง ให้ความนุ่มนวลที่มากกว่ารถในคลาสเดียวกัน ซึ่งมีความนุ่มใกล้เคียงกับรถซีดาน 4 ประตู ไม่ยวบย้วยเวลาใช้ความเร็วในการเดินทาง ซึ่งถ้ามองรวมๆ แล้ว MITSUBISHI XPANDER เป็นรถครอบครัวที่ตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี อีกจุดที่น่าสนใจคือความสูงจากพื้นถึงชายล่างรถอยู่ที่ 205 มม. สามารถลุยน้ำหรือพื้นขรุขระได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว
ระบบความปลอดภัยที่เพิ่มความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
MITSUBISHI XPANDER อัดแน่นด้วยระบบความปลอดภัยทั้งในเชิงป้องกันและปกป้อง ได้แก่ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC-Active Stability Control) ระบบป้องกันการลื่นไถล (TCL-Traction Control System) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA-Hill Start Assist System) ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS – Anti-Lock Braking System) และระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD-Electronic Brake Force Distribution) พร้อมระบบเสริมแรงเบรก (BA-Brake Assist) ระบบไฟกะพริบฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS-Emergency Stop Signal System) ถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับและระบบผ่อนแรงอัตโนมัติ ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง และเข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุด 5 ตำแหน่งสำหรับผู้โดยสารทุกที่นั่ง รุ่นสูงสุดยังมาพร้อมกับกล้องมองภาพด้านหลัง
…และนี่คือความพิเศษที่ทำให้ MITSUBISHI XPANDER เป็นรถที่ดีที่สุดในชั่วโมงนี้และมีความคุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบถ้วน จนทำให้คว้าอันดับหนึ่งในคลาส MINI MPV ได้สำเร็จ
THE MOST VALUABLE ECO SEDAN
MITSUBISHI ATTRAGE
นับเป็นอีกหนึ่งรถยนต์ ECO CAR ที่มีความคุ้มค่าและลงตัวมากที่สุดสำหรับ MITSUBISHI ATTRAGE ที่โดดเด่นใน ด้านความประหยัดสามารถทำตัวเลขได้ถึง 23.3 กิโลเมตรต่อลิตร ด้วยบล็อกเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ซึ่งพ่วงเทคโนโลยีความประหยัดด้วยระบบเกียร์ CVT อัจฉริยะ INVECS-III ที่ช่วยจำพฤติกรรมการขับให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด จนทำให้คณะกรรมการต่างลงความเป็นว่านี่คือ… THE MOST VALUABLE ECO SEDAN
เครื่อง 1.2 ลิตร ขุมพลังแห่งความประหยัดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
MITSUBISHI ATTRAGE มาพร้อมกับขุมพลังความประหยัดในรูปแบบเครื่องยนต์เบนซิน DOHC MIVEC 1.2 ลิตร 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที พร้อมระบบวาล์วแปรผันด้านไอดี MIVEC (MITSUBISHI INNOVATIVE VALUE TIMING ELECTRONIC CONTROL SYSTEM) ช่วยให้เครื่องยนต์ มีแรงบิดดีขึ้นในรอบต่ำ ทำให้เครื่องยนต์ อัตราเร่งดีเยี่ยม ให้การเผาไหม้หมดจด ลดมลพิษ รักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสีย 100 กรัมต่อกิโลเมตร
โดยพละกำลังเครื่องยนต์ทั้งหมดส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ CVT (CONTINUOUSLY VARIABLE TRANSMISSION) WITH INC (IDLE NEUTRAL CONTROL) & G-SENSOR ระบบเกียร์ อัตโนมัติ CVT ควบคุมการทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยให้ทุกการเปลี่ยนเกียร์ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และนุ่มนวล ทำงานควบคู่กับระบบ INC ที่ช่วยควบคุมและตัดระบบ ส่งกำลังไปยังเพลาขับอัตโนมัติในขณะรถหยุดนิ่งและ เหยียบเบรกในตำแหน่งเกียร์ “D” ลดภาระการทำงานของ เครื่องยนต์ส่งผลให้ประหยัดน้ำมันในทุกการขับขี่ และลดการสึกหรอของระบบเกียร์ช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์ให้ยาวนานขึ้น
พร้อมด้วยระบบ G-SENSOR ช่วยควบคุมการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ ใหม่ควาแม่นยำมากขึ้นในทางลาดชัน โดยมีระบบ INVECS-III (INTELLIGENT AND INNOVATIVE VEHICLE ELECTRONIC CONTROL SYSTEM III ) ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ อัจฉริยะ INVECS-III ซึ่งช่วยวิเคราะห์และจดจำลักษณะการขับขี่ เพื่อนำไปประมวลผลการเปลี่ยนเกียร์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละบุคคล
BEST FUEL ECONOMY ECO CAR
MITSUBISHI MIRAGE
จากการโหวดให้คะแนนจากคณะกรรมการในกลุ่มรถยนต์นั่ง ECO CAR ได้ยกให้ MITSUBISHI MIRAGE เป็นรถที่มีความคุ้มค่ามากที่สุด ทั้งในด้านราคา การใช้งาน รวมถึงเทคโนโลยีความปลอดภัยที่เหนือชั้นกว่ากลุ่มในรถเซกเมนต์เดียวกัน ด้วยความโดดเด่นที่ครบคลุมในทุกๆ ด้าน จนทำให้คว้ารางวัล BEST FUEL ECONOMY ECO CAR มาครองได้อย่างต่อเนื่อง…ซึ่งความพิเศษจะมีอะไรบ้างมาดูกัน
มุมมองจากคณะกรรมการ
การออกแบบเน้นความคุ้มค่า ลงตัวทุกการใช้งาน
MITSUBISHI MIRAGE ได้มีการดีไซน์รูปลักษณ์ภายนอกดีไซน์ใหม่ดึงดูดทุกสายตามากยิ่งขึ้นด้วย กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ตกแต่งด้วยเส้นสีแดง กันชนหน้าใหม่ ไฟหน้าแบบ Bi-LED พร้อมไฟเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์ ชุดไฟตัดหมอกแบบใหม่ ไฟท้ายแบบ LED และ ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 15 นิ้ว ทั้งนี้ Mitsubishi Mirage ยังมาพร้อมกับสปอยเลอร์หลังดีไซน์สปอร์ต
นอกเหนือการออกแบบ Mitsubishi Mirage ยังมาพร้อมความประหยัดซึ่งสามารถทำตัวเลขได้สูงสุด 23.3 กม./ลิตร ด้วยขุมพลังความประหยัดขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร แบบ 3 สูบ DOHC MIVEC 12 Valve ให้กำลังสูงสุด 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 100 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมระบบวาล์วแปรผันด้านไอดี MIVEC (MITSUBISHI INNOVATIVE TIMING ELECTRONIC CONTROL SYSTEM) ช่วยให้เครื่องยนต์มีแรงบิดดีขึ้นในรอบต่ำ ทำให้เครื่องยนต์มีอัตราเร่งดีเยี่ยม ประหยัดน้ำมัน ลดมลพิษ รักษาสิ่งแวดล้อม
รองรับทั้งเบนซิน 91 และ 95 แก๊สโซฮอล์ 91, 95 และ E20 โดยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียต่ำสุดอยู่ที่ 100 กรัมต่อกิโลเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT ควบคุมการทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำงานควบคู่กับระบบ INC ที่ช่วยควบคุมและตัดระบบส่งกำลังไปยังเพลาขับอัตโนมัติในขณะรถหยุดนิ่งและเหยียบเบรกในตำแหน่งเกียร์ “D” ลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ ส่งผลให้ประหยัดน้ำมันในทุกการขับขี่ และลดการสึกหรอของระบบเกียร์ ช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์ให้ยาวนานขึ้น พร้อมด้วยระบบ G-SENSOR ช่วยควบคุมการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ให้มีความแม่นยำมากขึ้น INVECS II (INTELLIGENT AND INNOVATIVE VEHICLE ELECTRONIC CONTROL SYSTEM) ระบบควมคุมการเปลี่ยนเกียร์อัจฉริยะ INVECS II ช่วยวิเคราะห์และจดจำลักษณะการขับขี่ เพื่อนำไปประมวลผลการเปลี่ยนเกียร์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละบุคคล
ภายในห้องโดยสารของ Mitsubishi Mirage มาพร้อมการยกระดับใหม่ ทั้ง จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ High Contrast ตกแต่งด้วยลายคาร์บอนดีไซน์ใหม่, เบาะนั่งวัสดุหนังสังเคราะห์ดีไซน์ใหม่ และเหนือระดับไปอีกขั้นด้วยแผงควบคุมเปิด-ปิดกระจกข้างตกแต่งด้วยลายคาร์บอนดีไซน์ใหม่ พร้อมวัสดุบุนุ่มบริเวณแผงประตู
สามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับหน้าจอระบบสัมผัส Smartphone – Link Display Audio (SDA) ขนาด 7 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และการเชื่อมต่อบลูทูธ ครบครันและสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมายเทียบเท่ารถซีดานระดับบน ได้แก่ ระบบล็อกความเร็วบนพวงมาลัย ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ และ กล้องมองภาพหลังขณะถอยจอด
นอกจากนี้ Mitsubishi Mirage ยังมีรัศมีวงเลี้ยวที่แคบสุดเพียง 4.4 เมตร คล่องตัวในการขับขี่ ง่ายต่อการเลี้ยว กลับรถ หรือถอยจอดในพื้นที่จำกัด และด้วยตัวรถที่มีน้ำหนักเบา จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรกในอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถยังมีความจุมากถึง 450 ลิตร ทำให้สะดวกต่อการเก็บของหรือใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์ในเมืองได้เป็นอย่างดี
ECO SEDAN ที่มีระบบความปลอดภัยมากที่สุด
Mitsubishi Mirage มาพร้อมกับระบบเทคโนโลยีความปลอดภัยที่เหนือชั้น อาทิ FCM-LS ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (ที่ความเร็วต่ำ) RMS-FORWARD ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็วด้านหน้า เพื่อตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะอัตโนมัติเพื่อให้ผู้ขับขี่เบรกรถได้ทัน ช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการชน
พ่วงด้วยระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ อาทิ ระบบ ASC (Active Stability Control) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวในสภาวะที่รถเสียสมดุล เพื่อช่วยควบคุมกรณีที่เกิดการลื่นไถลออกนอกเส้นทาง เช่น กรณีหลุดโค้ง เมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ถนนลื่น หรือหักหลบกะทันหัน ระบบ TCL (Traction Control System) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล ระบบจะช่วยควบคุมการหมุนของล้ออย่างสมดุลในสภาวะถนนลื่นเพื่อไม่ให้รถสูญเสียการยึดเกาะถนน ระบบ HSA (Hill Start Assist System) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ช่วยป้องกันรถไหล เมื่อต้องออกตัวบนทางลาดชัน ระบบเบรก ABS (Anti – Lock Braking System) ช่วยป้องกันล้อล็อก พร้อมระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ EBD (Electronic Brake-force Distribution) จะทำงานประสานกับระบบเบรก ABS เพื่อการกระจายแรงเบรกอย่างเหมาะสมทั้ง 4 ล้อ ช่วยให้การหยุดรถสั้นลง ถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า และเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติแบบคู่ด้านคนขับ ซึ่งช่วยลดแรงกระแทกจากการชนจากด้านหน้า รวมทั้งลดอาการบาดเจ็บที่หน้าอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ