Mitsubishi รถยอดเยี่ยมแห่งปี 2023
BEST MPV UNDER 1,600 c.c.
MITSUBISHI XPANDER
สร้างความโดดเด่นอย่างต่อเนื่องสำหรับรถยนต์อเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง อย่าง MITSUBISHI XPANDER ที่การันตีความนิยมด้วยยอดจำหน่ายอันดับหนึ่งของรถยนต์นั่งในคลาส MPV ที่มีความคุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบถ้วน นับเป็นเหตุผลสำคัญที่เหล่าคณะกรรมการต่างโหวตให้คะแนน MITSUBISHI XPANDER เป็นรถ MPV ที่คุ้มค่าที่สุดใน Car of The Year 2023
จุดเด่นที่คณะกรรมการลงคะแนน
MITSUBISHI XPANDER 2023 ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด ‘Mitsubishi Motors-ness’ ยกระดับดีไซน์ภายนอกแบบ SUV ด้านหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Advanced Dynamic Shield ที่บ่งบอกถึงพละกำลังและความมั่นใจ ด้านหลังดีไซน์ใหม่ พร้อมติดตั้งกันชนท้ายและแผ่นกันกระแทกแบบใหม่ ดีไซน์แบบ 3 มิติ ช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ แบบสีทูโทน ขนาด 17 นิ้ว ที่แสดงถึงความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่น เหนือระดับยิ่งขึ้น ขนาดตัวถังรถมีดีไซน์ขนาดใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง (ใหญ่เพิ่มขึ้นอีก 95 มม.) ทำให้มีความสูงจากพื้นที่เพิ่มขึ้นอีก 15 มม. จึงทำให้รถมีความสูงมากถึง 220 มม. ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่และพร้อมลุยทุกเส้นทาง
นอกจากนี้ ภายในของ MITSUBISHI XPANDER 2023 ยังออกแบบด้วยความประณีต ใส่ใจทุกรายละเอียด ด้วยห้องโดยสารดีไซน์ใหม่แบบ Horizontal Axis เพื่อการจัดเรียงแผงควบคุมที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ขับขี่ให้สามารถใช้งานง่าย พร้อมช่วยเพิ่มทัศนวิสัยและความสะดวกในการขับขี่มากยิ่งขึ้น พวงมาลัยดีไซน์ใหม่ ทรงสปอร์ตและกระชับมือมากยิ่งขึ้น ระบบเบรกมือควบคุมด้วยไฟฟ้าอัตโนมัติ พร้อมระบบ Brake Auto Hold ห้องโดยสารดีไซน์ใหม่แบบสีทูโทน สีน้ำตาล-ดำ หรูหรายิ่งขึ้นด้วยด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์หุ้มเบาะนั่ง ที่พักแขน และแผงประตูข้าง หน้าจอระบบสัมผัส รุ่นใหม่ ขนาด 9 นิ้ว ที่รองรับการใช้งานแอปเปิล คาร์เพลย์ ระบบปรับอากาศดีไซน์ใหม่แบบดิจิทัล ห้องโดยสารมีขนาดใหญ่ สะดวกสบาย และสามารถบรรทุกสัมภาระได้อย่างหลากหลาย พร้อมกันนี้ยังติดตั้ง ที่วางขวดน้ำขนาด 600 มล. มากถึง 4 ขวด ที่บริเวณที่พักแขนอีกด้วย สะดวกสบายเพิ่มมากขึ้นด้วยช่อง USB 2 ช่อง สำหรับเบาะแถวที่สอง แบบ Type-A และ Type-C พร้อมช่องจ่ายกระแสไฟ DC ขนาด 12 โวลต์ บริเวณคอนโซลหน้าและเบาะนั่งแถวที่สาม พร้อมติดตั้งเพิ่มที่วางแก้วน้ำบนที่พักแขนเบาะแถวที่สอง
MITSUBISHI XPANDER 2023 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC MIVEC 16 วาล์ว 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติแบบแปรผันต่อเนื่องรุ่นใหม่ Eco-Dynamic CVT เมื่อเหยียบคันเร่ง ระบบจะตอบสนองด้วยอัตราเร่งที่รวดเร็วและทรงพลัง พร้อมเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ขับขี่ และเมื่อเหยียบคันเร่งเพียงเล็กน้อย ผู้ขับขี่จะสามารถสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลที่เป็นเอกลักษณ์ของระบบดังกล่าว รวมทั้งการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยม พร้อมด้วยความประหยัดและความเงียบ
ส่วนระบบช่วงล่างเป็นแบบแมคเฟอร์สัน สตรัท คอยล์สปริงและเหล็กกันโคลงที่ด้านหน้าและทอร์ชันบีมที่ด้านหลัง มีการปรับระบบกันสะเทือนแบบใหม่ โดยที่ด้านหน้ามีการติดตั้งเหล็กกันโคลงและเหล็กค้ำหัวโช้คเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง และที่ด้านหลังมีการปรับเปลี่ยนขนาดของโช้คอัพให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มความนุ่มนวลทุกการขับขี่ ภายในติดตั้งด้วยวัสดุซับเสียงคุณภาพเยี่ยม ช่วยเพิ่มความเงียบสงบภายในห้องโดยสาร
MITSUBISHI XPANDER 2023 อัดแน่นด้วยระบบความปลอดภัยทั้งในเชิงป้องกันและปกป้อง ได้แก่ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC – Active Stability Control) ระบบป้องกันการลื่นไถล (TCL – Traction Control System) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HAS – Hill Start Assist System) ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS – Anti Lock Braking System) และระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD – Electronic Brake Force Distribution) พร้อมระบบเสริมแรงเบรก (BA – Brake Assist) ระบบไฟกะพริบฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS – Emergency Stop Signal System) ถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับและระบบผ่อนแรงอัตโนมัติ ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง และเข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุด 5 ตำแหน่งสำหรับผู้โดยสารทุกที่นั่ง รุ่นสูงสุดยังมาพร้อมกับกล้องมองภาพด้านหลัง
…และนี่คือความพิเศษที่ทำให้ MITSUBISHI XPANDER เป็นรถที่ดีที่สุดในชั่วโมงนี้ และมีความคุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบถ้วน จนทำให้คว้าอันดับหนึ่งในคลาส BEST MPV UNDER 1,600 c.c.ได้สำเร็จ
BEST 4WD PICKUP UNDER 2,500 c.c.
MITSUBISHI TRITON ATHLETE
หนึ่งในรถปิกอัพขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด เพราะนอกจากการใช้งานที่หลากหลายในทุกเส้นทางและความสะดวกสบายจากห้องโดยสารขนาดใหญ่ แถมยังพ่วงเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัย ทำให้ MITSUBISHI TRITON ATHLETE ได้รับการโหวตอย่างต่อเนื่องจากคณะกรรมการว่า นี่คือที่สุดของรถปิกอัพขับเคลื่อน 4 ล้อ
มุมมองจากคณะกรรมการ
Super Select 4WD II ระบบขับเคลื่อนที่พร้อมลุยในทุกพื้นที่
MITSUBISHI TRITON ATHLETE มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (Super Select 4WD II) เทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ เอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ ให้ความมั่นใจในการขับขี่ทุกสภาพถนน โดยให้คุณสามารถเปลี่ยนโหมดจากระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) แบบ Full-time All Wheel Control เพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนถนนลื่น และเมื่อต้องการขับขี่บนเส้นทางแบบ Off-Road คุณยังสามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนเป็น 4HLc หรือ 4LLc สำหรับพื้นที่ลาดชัน หรือลุยโคลนได้ตามต้องการ
นอกจากนี้ Off-Road Mode สามารถปรับรูปแบบการส่งกำลังเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นผิว และเส้นทางในการขับขี่มากยิ่งขึ้น เช่น พื้นกรวด พื้นโคลน พื้นทราย (ใช้งานควบคู่กับระบบ 4HLc และ 4LLc) และพื้นหิน (ใช้งานควบคู่กับระบบ 4LLc) เพิ่มความแข็งแกร่งในการลุยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ระบบล็อกเฟืองท้ายหลัง ควบคุมการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า เพื่อให้เครื่องยนต์ส่งกำลังไปยังล้อหลัง ทั้งซ้ายและขวาหมุนเท่ากันตลอดเวลา ทำงานร่วมกับระบบ Center Differential Lock ช่วยให้ขับผ่านเส้นทางที่วิบากไปได้อย่างง่ายดาย
ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหน้า แบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้น คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลงขนาดใหญ่ เพื่อให้เกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น ด้านหลังแบบแหนบแผ่นซ้อน ติดตั้งเหนือเสื้อเพลา พร้อมโช้คอัพไขว้ขนาดใหญ่ ออกแบบจุดยึด และปรับตั้งแหนบใหม่ ให้การขับขี่ที่นุ่มนวลและยึดเกาะถนนดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางธรรมดาที่ต้องการความคล่องตัวสูง และทางออฟโรดที่สมบุกสมบัน
ขุมพลัง 2.4 ลิตรในมาตรฐานที่สูงกว่า EURO 5
MITSUBISHI TRITON ATHLETE มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร 181 แรงม้า MIVEC (Mitsubishi Innovation Valve Timing Electronic Control) อัจฉริยภาพแห่งเครื่องยนต์ ลิขสิทธิ์เฉพาะจากมิตซูบิชิ กับระบบควบคุมการเปิด-ปิด วาล์วไอดีแปรผัน ทำงานสอดคล้องกับความเร็วรอบของเครื่องยนต์ ควบคุมการทำงานด้วยสมองกลอัจฉริยะ ช่วยให้เครื่องยนต์มีแรงดีขึ้นในรอบต่ำและได้แรงม้ามากขึ้นในรอบสูง อัตราเร่งดี ความเร็วสูงสุด เผาไหม้หมดจด ลดมลพิษในอากาศ โดยมี VG Turbo (Variable Geometry Turbo) เพิ่มประสิทธิภาพแรงอัดอากาศด้านไอดีให้สัมพันธ์กับเครื่องยนต์ ด้วยเทอร์โบแปรผันที่สามารถควบคุมปริมาณไอเสีย เพื่อช่วยสร้างแรงอัดอากาศด้านไอดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เครื่องยนต์มีแรงบิดสูงทั้งในรอบต่ำ รอบปานกลาง และรอบสูงอย่างต่อเนื่อง ทำงานร่วมกับอินเตอร์คูลเลอร์ขนาดใหญ่ ช่วยลดความร้อนไอดีได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ไอดีมีความหนาแน่นมากขึ้น เพิ่มความแรงให้กับเครื่องยนต์ ตอบสนองอัตราเร่งได้ทันใจ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม SPORT MODE ช่วยให้ทุกการเปลี่ยนเกียร์เป็นไปอย่างต่อเนื่อง นุ่มนวล มาพร้อมสปอร์ตโหมดให้คุณควบคุมได้อย่างใจ และยังมีรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.9 ม. ช่วยให้เลี้ยวกลับรถได้อย่างมั่นใจ
การออกแบบที่ฉีกกฎเกณฑ์เดิมๆ
MITSUBISHI TRITON ATHLETE ได้รับการดีไซน์ภายใต้คอนเซปต์ “Dynamic Shield” ที่เน้นความดุดันของฝากระโปรงหน้า พร้อมไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ Bi-LED และไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED ดีไซน์ใหม่ ติดตั้งอยู่บนตำแหน่งที่สูงขึ้น ส่งผลให้ MITSUBISHI TRITON ATHLETE มีรูปลักษณ์ที่สง่างามและทรงพลัง ด้านข้างและด้านหลัง เน้นส่วนโค้งมนตัดกับเส้นสายอันโฉบเฉี่ยว พร้อมซุ้มล้อขนาดใหญ่ เน้นความแกร่งและความทันสมัย รวมถึงไฟท้าย และไฟเบรกแบบ LED พร้อม LED Light Guide และชุดกันชนดีไซน์ที่เพิ่มความบึกบึน นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกด้วยกระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า พร้อมระบบไล่ฝ้า
ภายในห้องโดยสารของ MITSUBISHI TRITON ATHLETE เน้นการออกแบบห้องโดยสารโทนสีเข้ม เบาะนั่งโอบกระชับ รับกับทุกสรีระ พร้อมระบบปรับตำแหน่งด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทางด้านคนขับ พื้นที่ภายในห้องโดยสารตอนหลังกว้างขวาง สามารถยืดขาผ่อนคลายได้ระหว่างทาง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันควบคุมการสั่งงานด้วยเสียง พร้อมปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ ระบบล็อกความเร็วบนพวงมาลัย (Cruise Control) ปุ่มควบคุมการสั่งงานวิทยุได้ด้วยเสียง พร้อมปุ่มรับสาย-วางสายโทรศัพท์ที่พวงมาลัย เพิ่มความพิเศษด้วยระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง พร้อมแผงควบคุม และช่องระบายความเย็น ซึ่งนับเป็นครั้งแรงที่รถปิกอัพได้นำระบบนี้มาใช้
รถปิกอัพที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัย
MITSUBISHI TRITON ATHLETE มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยที่ทำให้ผู้ขับและผู้โดยสารปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อาทิ ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา พร้อมระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน (Blind Spot Warning with Lane Change Assist – BSW with LCA) ระบบจะตรวจจับรถคันอื่นที่วิ่งอยู่ในเลนถัดไปทางด้านหลัง ในระยะประมาณ 70 ม. และส่งสัญญาณไฟเตือนบนกระจกมองข้างให้ผู้ขับขี่ทราบว่ามีรถอยู่ในจุดอับสายตา
ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง (Forward Collision Mitigation System – FCM) พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว ระบบจะทำงานโดยใช้เรดาร์ประเมินระยะห่างจากรถคันหน้า หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะชนรถคันหน้าในช่องทางเดียวกัน ระบบจะทำการเตือนและช่วยชะลอความเร็ว พร้อมเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรก เพื่อให้ประสิทธิภาพในการเบรกที่ดียิ่งขึ้น และบรรเทาความเสียหายจากการชน
ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรง และรวดเร็ว (Ultrasonic Misacceleration Mitigation System – UMS) ระบบทำงานโดยใช้คลื่น Ultrasonic ตรวจจับวัตถุด้านหน้าหรือด้านหลัง ในระยะไม่เกิน 4 เมตร ในขณะที่เกียร์อยู่ตำแหน่ง “D” หรือ “R” หากมีการเหยียบคันเร่งผิดพลาดอย่างรุนแรง และรวดเร็ว ระบบจะทำการตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะอัตโนมัติ และทำงานที่ความเร็วต่ำกว่า 10 กม./ชม. เพื่อช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการชน
ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (Rear Cross Traffic Alert – RCTA) ในขณะที่รถกำลังถอยหลัง หากเซนเซอร์ด้านหลังตรวจพบรถคันอื่นเข้ามาภายในรัศมีการตรวจจับ ระบบจะส่งเสียงเตือนและสัญญาณไฟกะพริบบนกระจกมองข้างทั้ง 2 ด้าน พร้อมแสดงข้อความเตือนบนหน้าจอแสดงผล
กล้องมองภาพรอบคัน (Multi Around Monitor) ระบบทำงานผ่านกล้อง 4 ตำแหน่งรอบตัวรถ เพื่อประมวลผลและแสดงภาพแบบ Bird’s Eye View ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นภาพได้รอบตัวรถ เพิ่มความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการจอดรถได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
ระบบปรับระดับไฟสูง-ต่ำ อัตโนมัติ (Automatic High-Beam – AHB) เพื่อความสะดวกสบาย และความปลอดภัยสำหรับการขับขี่ในยามค่ำคืน ระบบจะตรวจจับแสงไฟจากด้านหน้ารถ เพื่อปรับการทำงานของไฟสูงและไฟต่ำโดยอัตโนมัติ
ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง เสริมความปลอดภัยด้วยถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง บริเวณหัวเข่าด้านคนขับ และม่านถุงลมนิรภัย ช่วยลดความรุนแรงที่เกิดจากการชนทั้งด้านหน้า และด้านข้าง ทำงานร่วมกันกับเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ
ระบบเบรกแบบป้องกันล้อล็อก (Anti-Lock Braking System – ABS) จะทำงานทันทีเมื่อเหยียบเบรกกะทันหัน ช่วยให้คุณหักหลบสิ่งกีดขวางได้อย่างทันท่วงที
ระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Brake Force Distribution – EBD) ทำงานประสานกับระบบเบรก ABS เพื่อให้เกิดการกระจายแรงเบรกอย่างเหมาะสมทั้ง 4 ล้อ ช่วยลดระยะเบรกให้สั้นลง ,ระบบเสริมแรงเบรก (Brake Assist – BA) จะทำงานทันทีที่เหยียบเบรกกะทันหัน ระบบนี้จะช่วยเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรกให้มากขึ้น เพื่อช่วยให้การหยุดรถเป็นไปอย่างรวดเร็ว , ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist System – HSA) ช่วยป้องกันรถไหล เมื่อต้องออกตัวบนทางลาดชัน , ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Active Stability Control – ASC) ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวของรถ ในสภาวะที่รถเสียสมดุล เพื่อป้องกันการลื่นไถลออกนอกเส้นทาง เช่น กรณีหลุดโค้งเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ถนนลื่น หรือหักหลบกะทันหัน
BEST DIESEL 4WD PPV UNDER 2,500 c.c.
MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION 4WD
MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION 4WD หนึ่งในรถ PPV ที่ร้อนแรงที่สุดในชั่วโมงนี้ ทั้งตอบโจทย์ด้านความแรง ความประหยัด ความล้ำสมัย และระบบขับเคลื่อนแบบพิเศษที่สามารถใช้งานได้ทุกสภาพถนน จนทำให้คณะกรรมการผู้ให้คะแนน Car of The Year 2023 ต่างให้ความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่คือรถ PPV ที่คุ้มค่ามากที่สุดในยุคนี้” ซึ่งจะมีความพิเศษอย่างไรบ้าง มาติดตามกัน…
มุมมองจากคณะกรรมการ
MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION 4WD มาพร้อมกับระบบ มิตซูบิชิ รีโมท คอนโทรล (แอปพลิเคชัน Mitsubishi Remote Control) แอปพลิเคชันที่สามารถแสดงข้อมูลเกี่ยวกับสถานะของตัวรถ อาทิ การเปิด-ปิดประตู การสตาร์ทรถ การล็อกรถ การปิด-เปิดกระจก นอกจากนี้ ยังแสดงข้อมูลอัตราสิ้นเปลือง รวมถึงพฤติกรรมการใช้งานและระยะทางการใช้งานที่สามารถใช้งานได้ แอปพลิเคชัน Mitsubishi Remote Control ยังมีการแจ้งเตือนระบบต่างๆ เมื่อเกิดสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับตัวรถ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้ขับขี่ผ่านสมาร์ทโฟน สามารถส่งคำสั่งได้จากทุกที่ในระยะของการเชื่อมต่อรถยนต์ผ่านแอปพลิเคชัน โดยทำงานควบคู่กับระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS หรือเมื่ออยู่ในระยะสัญญาณบลูทูธ
MITSUBISHI REMOTE CONTROL
เทคโนโลยีที่ให้ทุกการเดินทางสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ด้วยระบบการเชื่อมต่อรถยนต์ผ่านแอปพลิเคชัน พร้อมสั่งการทำงานบนสมาร์ทโฟน
• RESERVATION สามารถสั่งการเปิด-ปิดประตูท้ายอัตโนมัติได้ล่วงหน้าจากสมาร์ทโฟน (ในระยะเวลาไม่เกิน 20 นาที)
• VEHICLE REMINDER ระบบจะแจ้งเตือนถึงสถานะของรถ เช่น ลืมล็อกรถ, ลืมปิดไฟหน้า สามารถเช็กสถานะของรถ อีกทั้งยังสามารถจัดการรถยนต์ผ่านสมาร์ทโฟน เช่น ปิดไฟฉุกเฉิน, สั่งล็อกประตูรถ
• OPERATION ASSIST ระบบช่วยเหลือพร้อมแจ้งสาเหตุผ่านสมาร์ทโฟน ในกรณีที่คุณไม่สามารถล็อกรถได้ เช่น ไม่มีกุญแจ, ประตูปิดไม่สนิท, ลืมดับเครื่องยนต์ หรือลืมนำกุญแจออกจากรถ
• VEHICLE INFORMATION แสดงข้อมูลและประวัติการใช้งาน เช่น อัตราเฉลี่ยการบริโภคน้ำมัน, ระยะการเดินทาง, ประวัติการใช้รถ
• CAR FINDER ค้นหารถยนต์ โดยสั่งการให้เปิดไฟหน้าจากสมาร์ทโฟนได้
ภายในล้ำสมัย ออกแบบเพื่อการใช้งานทุกรูปแบบ
ภายในห้องโดยสารของ MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION 4WD มาพร้อมเบาะนั่งสีน้ำตาล ‘QUOLE MODURE’ ที่มีคุณสมบัติพิเศษช่วยสะท้อนความร้อนจากแสงแดด เพื่อความสบายตลอดการเดินทาง ทั้งยังตกแต่งพิเศษด้วยแผงข้างประตูและคอนโซลกลางบุด้วยวัสดุนุ่มสีน้ำตาล พร้อมสัญลักษณ์ ‘PAJERO SPORT’ เหนือกล่องเก็บของด้านหน้าฝั่งผู้โดยสาร ฝาครอบสเตนเลสพร้อมไฟ LED พรมห้องโดยสารปักโลโก้ ‘PAJERO SPORT’ และกล้องบันทึกภาพหน้ารถ DVR (Digital VDO Recorder) พร้อมปลายท่อไอเสียสเตนเลส ทั้งนี้ ยังติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งสีดำทั้งหมด ได้แก่ ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ชุดตกแต่งใต้กันชนหน้า-หลัง ราวหลังคาสปอยเลอร์หลัง และเสาอากาศแบบครีบฉลาม
นอกจากนี้ ห้องโดยสารของ MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION 4WD เพิ่มความสะดวกสบายด้วย ระบบดันหลังไฟฟ้า ระบบกรองอากาศอัปเกรดเป็น Nanoe-X it ระบบแจ้งเตือนลมยางผิดปกติ และชุดเครื่องเสียงเป็นแบบ Premium Audio โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีการเชื่อมต่อและควบคุมการใช้งานด้วยจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Full LCD ขนาด 8 นิ้วใหม่ ที่ง่ายต่อการอ่าน มีการแสดงผลมาตรวัดความเร็ว มาตรวัดรอบเครื่องยนต์และข้อมูลอื่นๆ ของตัวรถ พร้อมกับแสดงสถานะของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบหน้าจอได้ 3 แบบ รองรับเมนูภาษาไทย สามารถเชื่อมต่อและแสดงข้อมูลจากหน้าจอเครื่องเสียงระบบสัมผัส SDA (Smartphone-link Display Audio) ที่เป็น Full LCD ขนาด 8 นิ้ว จึงไม่ต้องละสายตาจากจอแสดงข้อมูลขับขี่ อีกทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน และแอปเปิลคาร์เพลย์ ใช้งานง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส และการสั่งงานด้วยเสียง
ส่วนผู้โดยสารตอนหลังมีการปรับจอภาพพร้อมรีโมทคอนโทรล ขนาด 12.1 นิ้ว ติดตั้งบนเพดานรถ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB และสมาร์ทโฟนผ่าน HDMI มาพร้อมกับรีโมทและหูฟังอินฟราเรด สามารถเชื่อมต่อระบบ HDMI และ USB ความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เพื่อเชื่อมต่อความบันเทิงกับ SDA (Smartphone-Link Display Audio) สะดวกสบายมากขึ้นด้วยช่องจ่ายกระแสไฟ AC 220 โวลต์ พร้อมช่องชาร์จอุปกรณ์ USB 2.1A 2 ตำแหน่ง บริเวณคอนโซลกลางด้านหลัง
ขุมพลัง MIVEC Clean Diesel ตอบสนองทุกการใช้งาน
MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION 4WD มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ ขนาด 2,400 ซี.ซี. MIVEC Clean Diesel ให้กำลังสูงสุดได้ถึง 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 43.8 กก.-ม. ที่ 2,500 รอบ/นาที ทำงานคู่กับเทอร์โบชาร์จแบบแปรผัน VG Turbo โดยส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติแบบอัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมสปอร์ตโหมด ผู้ขับสามารถปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ตามความต้องการจากทั้งคันเกียร์ หรือ Paddle Shift
นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยควบคุม และตัดกำลังไปยังเพลาขับโดยอัตโนมัติเมื่อเหยียบเบรก (Idle neutral control) เพื่อลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ และลดการสูญเสียเชื้อเพลิงในขณะรถหยุดนิ่ง เมื่อเกียร์อยู่ในตำแหน่ง D ท่ามกลางสภาพการจราจรที่แออัด ยังผลให้ประหยัดการใช้เชื้อเพลิง และลดการสึกหรอของระบบเกียร์ ยืดอายุการใช้งานของเกียร์ ส่วนระบบ G-SENSOR จะช่วยควบคุมการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ให้มีความแม่นยำมากขึ้นในทางลาดชัน
เทคโนโลยีความปลอดภัยในรูปแบบพรีเมียม
MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION 4WD มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยแบบเหนือชั้น อาทิ ระบบ Blind Spot Warning ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา เพื่อความปลอดภัยในการเปลี่ยนช่องจราจร ระบบจะส่งสัญญาณไฟเตือนบนกระจกมองข้างให้ผู้ขับขี่ทราบว่ามีรถอยู่ในจุดอับสายตา ซึ่งระบบจะทำงานที่ความเร็ว 20-140 กม./ชม. ระบบ Forward Collision Mitigation System ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว ระบบจะทำงานโดยใช้เรดาร์ประเมินระยะห่างจากรถคันหน้า หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะชนรถคันหน้าในช่องทางเดียวกัน ระบบจะทำการเตือนและช่วยชะลอความเร็ว พร้อมเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรกเพื่อให้ประสิทธิภาพในการเบรกที่ดียิ่งขึ้น และบรรเทาความเสียหายจากการชน
เพิ่มเติมความปลอดภัยด้วย ระบบ Ultrasonic Misacceleration Mitigation System ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ระบบทำงานโดยใช้คลื่น Ultrasonic ตรวจจับวัตถุด้านหน้าหรือด้านหลังในระยะไม่เกิน 4 เมตร ในขณะที่เกียร์อยู่ตำแหน่ง “D” หรือ “R” หากมีการเหยียบคันเร่งผิดพลาดอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ระบบจะทำการตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะอัตโนมัติ และทำงานที่ความเร็วต่ำกว่า 10 กม./ชม. เพื่อช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการชน, ระบบ Multi Around Monitor กล้องมองภาพรอบคัน ระบบทำงานผ่านกล้อง 4 ตำแหน่งรอบตัวรถ เพื่อประมวลผลและแสดงภาพแบบ Bird’s Eye View ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นภาพได้รอบตัวรถ เพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการจอดรถได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น, ระบบ Active Stability Control ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ในสภาวะที่รถเสียสมดุล เพื่อป้องกันการลื่นไถลออกนอกเส้นทาง Active Traction Control ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถลจะช่วยควบคุมการหมุนของล้อทั้ง 4 อย่างสมดุล ในสภาวะถนนลื่น ขรุขระ หรือทางชัน เพื่อไม่ให้รถสูญเสียการยึดเกาะถนน, Hill Start Assist System ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ช่วยป้องกันรถไหลเมื่อต้องออกตัวบนทางลาดชัน, Hill Descent Control (HDC) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น
ระบบขับเคลื่อนที่ให้มากกว่าการลุย
สำหรับในโหมดระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select 4WD-II ของ MITSUBISHI PAJERO SPORT มาพร้อม 4 โหมดการขับขี่ ได้แก่
– โหมด 2H ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2WD High-Range) ใช้ในการเดินทางชีวิตประจำวัน
– โหมด 4H (4WD High-Range) สามารถทำความเร็วได้เท่ากับระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ซึ่งเป็นการแปรผันระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบอัตโนมัติ โดยจะทำงานด้านหน้า 40% ด้านหลัง 60% ทันทีที่เจอพื้นถนน ลื่น กรวด ทราย ขึ้นเขา หรือลงเขา ระบบจะปรับเปลี่ยนเป็น 50-50 โดยอัตโนมัติ
– ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full-Time All Wheel Control โหมด 4HLc ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วสูง (4WD High-Range with Locked Transfer) เหมาะกับการลุยที่ไม่ยากลำบากนัก สามารถทำความเร็วได้โดยประมาณ 120-130 กิโลเมตร/ชั่วโมง
(ซึ่ง 2H 4H และ 4HLc สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องจอดรถ ในความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง)
– โหมด 4LLc ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วต่ำ (4WD Low-Range with Locked Transfer) เหมาะกับการลุยแบบหนักๆ เพราะรอบเครื่องจะสูง สามารถเรียกแรงบิดได้อย่างทันที สามารถทำความเร็วได้โดยประมาณ 40-50 กิโลเมตร/ชั่วโมง
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมโหมดออฟโรด 4 ลักษณะ โดยนับเป็นครั้งแรกในรถยนต์ มิตซูบิชิ มีการทำงานสัมพันธ์กันตลอดเวลาระหว่างเครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อนและเบรก ช่วยให้ตัวรถขับเคลื่อนผ่านสภาพเส้นทางต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ได้แก่ Gravel – เหมาะสำหรับถนนลูกรังที่มีกรวดและดิน, Mud/Snow – เหมาะสำหรับบริเวณที่เป็นโคลนหรือหิมะหนา, Sand – เหมาะสำหรับบริเวณที่เป็นทรายละเอียด, Rock – เหมาะสำหรับถนนที่พื้นผิวขรุขระ เช่น มีหินมาก หรือล้อลอยจากพื้น รวมทั้งระบบล็อกเฟืองท้ายที่ส่งกำลังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
…และนี่คือความโดดเด่นเหนือใคร ที่ทำให้ MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION 4WD ได้รับการคัดเลือกให้เป็น BEST DIESEL 4WD PPV UNDER 2,500 c.c. ประจำปี 2023 จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
THE MOST VALUABLE ECO SEDAN
MITSUBISHI ATTRAGE
จากการโหวตให้คะแนนจากคณะกรรมการในกลุ่มรถยนต์นั่ง 4 ประตู ประเภท ECO SEDAN ได้ยกให้ MITSUBISHI ATTRAGE เป็นรถที่มีความคุ้มค่ามากที่สุด ทั้งในด้านราคา การใช้งาน รวมถึงเทคโนโลยีความปลอดภัยที่เหนือชั้นกว่ากลุ่มในรถเซ็กเมนต์เดียวกัน ด้วยความโดดเด่นที่ครอบคลุมในทุกๆ ด้าน ทำให้คณะกรรมการต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า “MITSUBISHI ATTRAGE คือรถที่มีความคุ้มค่ามากที่สุด” จนทำให้คว้ารางวัล THE MOST VALUABLE ECO SEDAN มาครองได้อย่างต่อเนื่อง…ซึ่งความพิเศษจะมีอะไรบ้าง มาดูกัน
มุมมองจากคณะกรรมการ
การออกแบบเน้นความคุ้มค่า ลงตัวทุกการใช้งาน
MITSUBISHI ATTRAGE ได้มีการดีไซน์ใหม่ให้ดึงดูดทุกสายตามากยิ่งขึ้น ด้วยกระโปรงหน้าดีไซน์ใหม่ กระจังหน้าตกแต่งด้วยเส้นสีแดง กันชนหน้าใหม่ ไฟหน้าแบบ Bi-LED พร้อมไฟเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์ ชุดไฟตัดหมอกแบบใหม่ ไฟท้ายแบบ LED ที่มาพร้อมกับสปอยเลอร์หลังดีไซน์สปอร์ต และล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 15 นิ้ว
นอกเหนือการออกแบบ MITSUBISHI ATTRAGE ยังมาพร้อมความประหยัด ซึ่งสามารถทำตัวเลขได้สูงสุด 23.3 กม./ลิตร ด้วยขุมพลังความประหยัด ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร แบบ 3 สูบ DOHC MIVEC 12 Valve ให้กำลังสูงสุด 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 100 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที และ ROLLER CAMSHAFT ที่ช่วยลดการเสียดทานของเครื่องยนต์ พร้อมระบบวาล์วแปรผันด้านไอดี MIVEC (MITSUBISHI INNOVATIVE TIMING ELECTRONIC CONTROL SYSTEM) ช่วยให้เครื่องยนต์มีแรงบิดดีขึ้นในรอบต่ำ ทำให้เครื่องยนต์มีอัตราเร่งดีเยี่ยม ประหยัดน้ำมัน ลดมลพิษ รักษาสิ่งแวดล้อม
รองรับทั้งเบนซิน 91 และ 95, แก๊สโซฮอล์ 91, 95 และ E20 โดยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียอยู่ที่ 100 กรัมต่อกิโลเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT ควบคุมการทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำงานควบคู่กับระบบ INC ที่ช่วยควบคุมและตัดระบบส่งกำลังไปยังเพลาขับอัตโนมัติในขณะรถหยุดนิ่งและเหยียบเบรกในตำแหน่งเกียร์ “D” ลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ ส่งผลให้ประหยัดน้ำมันในทุกการขับขี่ และลดการสึกหรอของระบบเกียร์ ช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์ให้ยาวนานขึ้น พร้อมด้วยระบบ G-SENSOR ช่วยควบคุมการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ให้มีความแม่นยำมากขึ้น INVECS III (INTELLIGENT AND INNOVATIVE VEHICLE ELECTRONIC CONTROL SYSTEM) ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์อัจฉริยะ INVECS III ช่วยวิเคราะห์และจดจำลักษณะการขับขี่ เพื่อนำไปประมวลผลการเปลี่ยนเกียร์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละบุคคล
นอกจากนี้ MITSUBISHI ATTRAGE ยังมีรัศมีวงเลี้ยวที่แคบสุดเพียง 4.8 เมตร คล่องตัวในการขับขี่ ง่ายต่อการเลี้ยว กลับรถ หรือถอยจอดในพื้นที่จำกัด และด้วยตัวรถที่มีน้ำหนักเบา จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรกอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถยังมีความจุมากถึง 450 ลิตร ทำให้สะดวกต่อการเก็บของหรือใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์ในเมืองได้เป็นอย่างดี
ECO SEDAN ที่มีระบบความปลอดภัยมากที่สุด
MITSUBISHI ATTRAGE มาพร้อมกับระบบเทคโนโลยีความปลอดภัยที่เหนือชั้น อาทิ FCM-LS ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (ที่ความเร็วต่ำ), RMS-FORWARD ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็วด้านหน้า เพื่อตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ขับขี่เบรกรถได้ทัน ช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการชน
พ่วงด้วยระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ อาทิ ระบบ ASC (Active Stability Control) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวในสภาวะที่รถเสียสมดุล เพื่อช่วยควบคุมกรณีที่เกิดการลื่นไถลออกนอกเส้นทาง เช่น กรณีหลุดโค้ง เมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ถนนลื่น หรือหักหลบกะทันหัน, ระบบ TCL (Traction Control System) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล ระบบจะช่วยควบคุมการหมุนของล้ออย่างสมดุลในสภาวะถนนลื่น เพื่อไม่ให้รถสูญเสียการยึดเกาะถนน, ระบบ HSA (Hill Start Assist) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ช่วยป้องกันรถไหล เมื่อต้องออกตัวบนทางลาดชัน, ระบบเบรก ABS (Antilock Braking System) ช่วยป้องกันล้อล็อก พร้อมระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ EBD (Electronic Brake-force Distribution) จะทำงานประสานกับระบบเบรก ABS เพื่อการกระจายแรงเบรกอย่างเหมาะสมทั้ง 4 ล้อ ช่วยให้การหยุดรถสั้นลง ถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า และเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติแบบคู่ด้านคนขับ ซึ่งช่วยลดแรงกระแทกจากการชนจากด้านหน้า รวมทั้งลดอาการบาดเจ็บที่หน้าอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
BEST TECHNOLOGY PHEV
MITSUBISHI OUTLANDER
MITSUBISHI OUTLANDER นับเป็นอีกหนึ่งในรถยนต์ PHEV ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบถ้วน ด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ด้วยการสร้างกระแสไฟฟ้าได้ด้วยตัวเอง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพียง 52.6 กม.ต่อลิตร หรือ 1.9 ลิตรต่อ 100 กม. ตามมาตรฐาน NEDC มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับต่ำ ที่ 43 กรัมต่อกม.
THE BEST TECHNOLOGY PHEV
MITSUBISHI OUTLANDER PHEV มาพร้อมกับขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ส่งกำลังด้วยแบตเตอรี่ Lithium-Ion มีความจุรวมถึง 13.8 kWh โดยมอเตอร์ด้านหน้าส่งกำลัง 82 แรงม้า ให้แรงบิด 137 นิวตันเมตร และ 95 แรงม้า ที่มอเตอร์ด้านหลังให้แรงบิด 195 นิวตันเมตร พร้อมด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร (128 แรงม้า แรงบิด 199 นิวตันเมตร) ให้กำลังสูงสุดรวมที่ 305 แรงม้า และส่งแรงบิดมากถึง 531 นิวตันเมตร
ตอบโจทย์การใช้งานด้วย “พลังงานสองรูปแบบ” ที่ได้จากการชาร์จกระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้หมดกังวลเรื่องระยะทางการขับขี่ ซึ่งสามารถใช้เครื่องยนต์ชาร์จเป็นกระแสตรงได้ (Quick Charge) โดยส่งกำลังไฟได้สูงสุดถึง 80 kW ในการขับเดินทาง และ 10 kW เมื่อจอดหยุดนิ่ง สามารถชาร์จไฟ 80% ในเวลา 1.30 ชม. ส่วนการชาร์จกระแสไฟฟ้าสามารถเลือกทำได้ 3 รูปแบบ คือ Normal Charge เป็นการชาร์จด้วยไฟ AC โดยใช้อุปกรณ์ชาร์จไฟที่ติดตั้งภายในบ้านหรือตู้บริการชาร์จไฟเอกชน ชาร์จไฟเต็มใช้เวลา 4 ชม. Quick Charge การชาร์จแบบเร็วนอกสถานที่ เป็นการชาร์จไฟ DC แล้วจ่ายไฟ DC เข้าที่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง ชาร์จถึง 80% ใช้เวลา 25 นาที และ Emergency Charger การชาร์จผ่าน Adapter ที่ติดมากับตัวรถ ซึ่งจ่ายไฟ 3.7 kWh ชาร์จไฟเต็มใช้เวลา 4 ชม.
นอกจากนี้ MITSUBISHI OUTLANDER PHEV ยังสามารถผลิตและจ่ายพลังงานไฟฟ้าจากตัวรถมาใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่มีขนาดไม่เกิน 1,500 วัตต์ ด้วยการเสียบปลั๊กเข้ากับช่องจ่ายกระแสไฟฟ้าภายในตัวรถ เพื่อให้คุณได้สนุกสนานกับไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่
ระบบซูเปอร์-ออลวิลล์คอนโทรล เพิ่มความมั่นใจในการควบคุม
MITSUBISHI OUTLANDER PHEV มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซูเปอร์-ออลวิลล์คอนโทรล (S-AWC) ได้รับการพัฒนาเพื่อยกระดับความปลอดภัยในการขับขี่ ด้วยคุณสมบัติ “การควบคุมรถดังใจคิด” และ “สมรรถนะการขับขี่ขั้นสูง” ประกอบด้วย ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก Anti-Lock Braking (ABS), ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว Active Stability Control (ASC) และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและการเบรกระหว่างล้อซ้ายและล้อขวา Active-Yaw Control (AYC) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ติดตั้งที่เพลาหน้า-หลัง ควบคุมแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ พร้อมเสถียรภาพ เพิ่มสมรรถนะและการควบคุม มั่นใจทุกการเข้าโค้ง ระบบซูเปอร์-ออลวิลล์คอนโทรล ยังทำงานร่วมกับโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ ประกอบด้วย
โหมดล็อก (มอบสมรรถนะเต็มรูปแบบของระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ
โหมดสโนว์ (ให้การควบคุม การยึดเกาะ และการควบคุมที่ดีเยี่ยม เมื่อขับขี่บนพื้นผิวถนนที่เปียกลื่น)
โหมดนอร์มอล (ควบคุมแรงบิดของแต่ละล้อให้เหมาะกับสภาพการขับขี่ )
โหมดสปอร์ต (เพิ่มความแม่นยำของคันเร่ง การควบคุม และการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้ดีมากขึ้น) ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการยึดเกาะและลุยผ่านทุกสภาพถนน พร้อมช่วยรักษาเสถียรภาพ และเพิ่มสมรรถนะในการควบคุมให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
MITSUBISHI OUTLANDER PHEV มาพร้อมกับโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่
– โหมดอีวี (ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ)
– โหมดซีรีส์ ไฮบริด (ขับเคลื่อนหลักด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีเครื่องยนต์ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าให้แก่มอเตอร์ไฟฟ้าคู่)
– โหมดพาราเรล ไฮบริด (เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ขับเคลื่อนตัวรถไปพร้อมกัน)
โดยการขับขี่ทั้ง 3 รูปแบบ จะถูกสลับปรับเปลี่ยนโหมดแบบอัตโนมัติ พร้อมระบบเบรกที่สามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าคืน (Regenerative Braking) เพื่อทำการชาร์จกระแสไฟฟ้าให้แก่แบตเตอรี่ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ยังติดตั้งเทคโนโลยีการเชื่อมต่อพร้อมระบบสั่งการอัจฉริยะผ่านสมาร์ทโฟน ที่สามารถใช้ได้ทั้งระบบปฏิบัติการไอโอเอสและแอนดรอยด์ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้งาน โดยสามารถตั้งเวลาการชาร์จไฟฟ้า สั่งการเปิด-ปิด เครื่องปรับอากาศภายในรถจากระยะไกล และการตรวจสอบสถานะของตัวรถ
ระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันเต็มรูปแบบ
MITSUBISHI OUTLANDER PHEV มาพร้อมกับเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ อาทิ ระบบสัญญาณเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (RCTA), ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (FCM), ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (BSW), พร้อมระบบสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (LCA) และระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ (AHB) โดยระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ (ACC) ไม่ได้ทำหน้าที่แต่เฉพาะรักษาระดับความเร็วให้คงที่เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่ตรวจจับรถคันหน้า พร้อมควบคุมความเร็วและรักษาระยะห่างเพื่อความปลอดภัยจนกว่ารถจะหยุด
จากความโดดเด่นที่เหนือชั้น ทำให้ MITSUBISHI OUTLANDER PHEV ได้รับการโหวตจากคณะกรรมการว่ามีความเหนือชั้นกว่าคู่แข่งในคลาสเดียวกัน จนทำให้สามารถคว้ารางวัล BEST TECHNOLOGY PHEV มาครองได้สำเร็จ
BEST FUEL ECONOMY ECO CAR
MITSUBISH MIRAGE RALLIART
สานต่อความดุดันในรูปแบบ RALLY ระดับตำนานสำหรับรถยนต์อีโคคาร์ จากค่าย MITSUBISHI ที่ได้เสริมชุดเเต่งจากทาง RALLIART ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเเบรนด์ที่เป็นตำนานมาอย่างยาวนาน กับการเเเข่งขันแรลลี่ครอส จากสนามแข่งทางฝุ่น สำหรับ MITSUBISH MIRAGE RALLIART นอกจากชุดแต่งที่มีเอกลักษณ์ MITSUBISH MIRAGE RALLIART ยังทำความประหยัด สามารถทำตัวเลขได้ถึง 23.3 กิโลเมตรต่อลิตร ด้วยบล็อกเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ซึ่งพ่วงเทคโนโลยีความประหยัดด้วยระบบเกียร์ CVT อัจฉริยะ INVECS-III ที่ช่วยจำพฤติกรรมการขับให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด จนทำให้คณะกรรมการต่างลงความเป็นว่า นี่คือ… BEST FUEL ECONOMY ECO CAR
มุมมองจากคณะกรรมการ
การออกแบบ
MITSUBISHI MIRAGE RALLIART การตกแต่งสไตล์แรลลี่อาร์ท โดยมีสีภายนอกแบบทูโทนให้เลือก 2 สี พร้อมตกแต่งหลังคาสีดำเงา กระจังหน้าสีดำ กระจกมองข้างสีดำ และล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว สีดำ สอดรับกันตลอดทั้งคัน ในขณะที่ด้านหน้าโดยรวมยังคงดึงดูดสายตาได้ดีด้วยดีไซน์แบบ advanced dynamic shield บริเวณฝากระโปรงหน้า และกระจังหน้าตกแต่งด้วยสีดำเงาตัดเส้นสีแดง กันชนหน้าปรับรูปทรงใหม่ เน้นความสปอร์ต แต่งด้วยแถบโครเมียมขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังให้ความโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยสติกเกอร์ลายสวยตกแต่งด้านข้าง ที่มาพร้อมกับแถบสีแดง สีเงิน และสีดำ บ่งบอกเอกลักษณ์เฉพาะรุ่นได้อย่างชัดเจน บริเวณบังโคลน มาพร้อมแผ่นยางสีแดง โลโก้แรลลี่อาร์ท พร้อมชุดตกแต่งซุ้มล้อสีดำ และสปอยเลอร์หลังสีดำ เพิ่มความโดดเด่นระดับตำนานของแชมป์แรลลี่
ภายในห้องโดยสารตกแต่งเร้าใจยิ่งขึ้น ด้วยเบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าสีทูโทน สีดำ-แดง และพรมปูพื้นรุ่นพิเศษพร้อมโลโก้แรลลี่อาร์ท ที่เน้นย้ำถึงความพิเศษ และความแตกต่างของรถยนต์รุ่นนี้ ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ รองรับการใช้งานได้ดี เน้นความเรียบง่าย แผงหน้าปัดติดตั้งจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ High Contrast ตกแต่งด้วยลายคาร์บอน พร้อมด้วยแผงควบคุมเปิด-ปิดกระจกข้างตกแต่งด้วยลายคาร์บอนดีไซน์ใหม่ และวัสดุบุนุ่มบริเวณแผงข้างประตู บริเวณแผงแดชบอร์ด ตกแต่งด้วยวัสดุดำเงา พร้อมติดตั้งจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับภาคบันเทิงได้ค่อนข้างครบทั้ง CD / DVD / MP3 / USB พร้อมรองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto หน้าจอสัมผัสจัดว่าใช้ง่าย ให้สัมผัสที่ไว มีหน้าจอใหญ่ มองเห็นได้ชัดเจน
เครื่อง 1.2 ลิตร ขุมพลังแห่งความประหยัดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
MITSUBISH MIRAGE RALLIART มาพร้อมกับขุมพลังความประหยัดในรูปแบบเครื่องยนต์เบนซิน DOHC MIVEC 1.2 ลิตร 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 100 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที พร้อมระบบวาล์วแปรผันด้านไอดี MIVEC (MITSUBISHI INNOVATIVE VALUE TIMING ELECTRONIC CONTROL SYSTEM) ช่วยให้เครื่องยนต์มีแรงบิดดีขึ้นในรอบต่ำ ทำให้เครื่องยนต์อัตราเร่งดีเยี่ยม ให้การเผาไหม้หมดจด ลดมลพิษ รักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสีย 1,000 กรัมต่อกิโลเมตร นอกจากนี้ MITSUBISHI MIRAGE ยังมาพร้อมกับ
โดยพละกำลังเครื่องยนต์ทั้งหมด ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ CVT 6 จังหวะ (CONTINUOUSLY VARIABLE TRANSMISSION) WITH INC (IDLE NEUTRAL CONTROL) & G-SENSOR ระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ควบคุมการทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยให้ทุกการเปลี่ยนเกียร์เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และนุ่มนวล ทำงานควบคู่กับระบบ INC ที่ช่วยควบคุมและตัดระบบส่งกำลังไปยังเพลาขับอัตโนมัติในขณะรถหยุดนิ่ง และเหยียบเบรกในตำแหน่งเกียร์ “D” ลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ ส่งผลให้ประหยัดน้ำมันในทุกการขับขี่ และลดการสึกหรอของระบบเกียร์ ช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์ให้ยาวนานขึ้น พร้อมด้วยระบบ G-SENSOR ช่วยควบคุมการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ ให้ความแม่นยำมากขึ้นในทางลาดชัน โดยมีระบบ INVECS-III (INTELLIGENT AND INNOVATIVE VEHICLE ELECTRONIC CONTROL SYSTEM III ) ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์อัจฉริยะ INVECS-III ซึ่งช่วยวิเคราะห์และจดจำลักษณะการขับขี่ เพื่อนำไปประมวลผลการเปลี่ยนเกียร์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละบุคคล
เทคโนโลยีความปลอดภัยเต็มรูปแบบ
สำหรับ MITSUBISH MIRAGE RALLIART มาพร้อมระบบความปลอดภัยแบบอัจฉริยะ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยต่อผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น อาทิ ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็วในช่วงความเร็วต่ำ FCM-LS (Forward Collision Mitigation System-Low Speed Range) โดยระบบจะประเมินระยะห่างจากรถคันหน้า หากพบว่าเคลื่อนที่เข้าใกล้รถคันหน้ามากเกินไป หรือมีความเสี่ยงที่จะชน ระบบจะแสดงสัญลักษณ์พร้อมเสียงเตือน และช่วยชะลอความเร็วในช่วงความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง, ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็วด้านหน้า RMS-FORWARD (Rader Sensing Misacceleration Mitigation System-Forward) ระบบตรวจจับวัตถุด้านหน้าระยะห่างไม่เกิน 4 เมตร หากมีการเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ระบบจะแสดงสัญลักษณ์พร้อมเสียงเตือน และตัดกำลังเครื่องยนต์อัตโนมัติชั่วขณะ เพื่อให้ผู้ขับสามารถเหยียบเบรกได้ทัน ช่วยลดอุบัติเหตุจากการชน มีผลที่ความเร็วไม่เกิน 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ที่ครบครัน อาทิ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ระบบไฟส่องสว่างอัตโนมัติ Welcome Light System เมื่อปลดล็อกรถ ไฟนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์, ระบบ ESS ไฟกะพริบฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal System) สัญญาณไฟกะพริบทำงานต่อเนื่องจนกว่าจะปล่อยเบรก หรือรถยนต์หยุดสนิท เพื่อเป็นการแจ้งเตือนรถยนต์คันหลัง พร้อมด้วยระบบเบรก ABS – EBD และ BA, ระบบควบคุมการทรงตัวและลื่นไถล ASC – Active Stability Control, ระบบ HSA ช่วยออกตัวบนถนนลาดชัน
จากความโดดเด่นที่เหนือชั้น ทำให้ MITSUBISH MIRAGE RALLIART ได้รับการโหวตจากคณะกรรมการว่ามีความเหนือชั้นกว่าคู่แข่งในคลาสเดียวกัน จนทำให้สามารถคว้ารางวัล BEST FUEL ECONOMY ECO CAR มาครองได้สำเร็จ