MITSUBISHI TRITON MEGA CAB 2.4 PRO น้ำมันถังเดียวเที่ยวไกลพันกิโลฯ
MITSUBISHI TRITON MEGA CAB 2.4 PRO ขับทดสอบสุดชายแดนอีสาน…พิสูจน์สมรรถนะ ความประหยัด น้ำมันถังเดียวเที่ยวไกลพันกิโลฯ ได้หรือไม่
ทดสอบความแกร่งของ “มิตซูบิชิ ไทรทัน เมกะ แค็บ” กระบะตัวเตี้ยยอดนิยมของคนไทย พร้อมบรรทุกหนักกว่าครึ่งตัน จากกรุงเทพฯ สู่หนองคาย เป้าหมายน้ำมันหนึ่งถัง 1,000 กิโลเมตร ดูว่าขุมพลังใหม่จะตอบโจทย์การใช้งานแค่ไหน และตัวเลขความประหยัดขับจริงเป็นอย่างไร?
ภายหลังที่ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เปิดตัวกระบะไทรทันรุ่นใหม่ออกมา ก็เรียกความสนใจได้ไม่น้อย เพราะมีเทคโนโลยีใหม่หลายอย่างที่มิตซูบิชิตั้งใจให้รถรุ่นนี้เป็นสุดยอดปิกอัพตอบโจทย์การใช้งานของคนไทย หนนี้ร่วมเดินทางไปพร้อมกับ “Mitsubishi Triton Mega Cab 2.4 Pro” ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ขับเที่ยวอีสานเหนือในสไตล์โรดทริป
Mitsubishi Triton Mega Cab 2.4 ลองจริง จะประหยัดแค่ไหน
สำหรับกระบะตัวเตี้ยรุ่นแค็บของค่ายนี้ใช้ชื่อ ‘Mega Cab’ เปิดประตูได้แบบตู้กับข้าว ซึ่งเป็นอีกรุ่นที่คนไทยนิยมนำมาใช้งานบรรทุกหนัก ขนถ่ายสินค้า ใช้ประกอบอาชีพ มีจุดเด่นที่กระบะท้ายมีพื้นที่เยอะกว่ารุ่นดับเบิล แค็บ และมีที่นั่งภายในห้องโดยสารตอนหลังให้พอโดยสารได้ 4 คนกำลังดี
ด้วยหน้าตาที่สดใหม่ ในสไตล์กระบะทรงสปอร์ต ดูมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย จะเป็นรถที่ใช้ทำมาหากิน หรือเป็นรถยนต์ส่วนตัว ครบจบในคันเดียว ซึ่งในไลน์อัปของรุ่นย่อยนี้ก็มีหลายตัวเลือกให้เล่น ทั้งยังมากับเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ ขนาด 2.4 ลิตร เป็นเครื่องยนต์ที่มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป ใช้งานได้ครอบคลุมทั้งด้านสมรรถนะและความประหยัด
Mitsubishi Triton Mega Cab 2.4 มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ในแบบเกียร์ธรรมดา คือรุ่นเริ่มต้น Active ราคา 622,000 บาท และรุ่น Pro ราคา 682,000 บาท มาพร้อมดีไซน์ใหม่หัวจรดท้าย และแชสซีใหม่ Mega Frame ขนาดใหญ่ขึ้น แข็งแรงขึ้น ผสานกับช่วงล่างและระบบกันสะเทือนใหม่ ที่ทางมิตซูบิชิคุยว่า “โหลดน้ำหนักได้เต็มพิกัด จัดหนักได้ทุกความแกร่ง” ทีมงานเลือกรุ่น Pro ที่มีออปชันมากกว่ามาทดสอบ
ทีมงานวางแผนการเดินทางให้มีความท้าทายมากขึ้นโดยการบรรทุกหนักกว่า 500 กก. วางแผนขนข้าวสาร น้ำ น้ำมันพืช น้ำยาล้างจาน และขนมขบเคี้ยว บวกน้ำหนักผู้ขับขี่อีกสองคน และช่างภาพหนึ่งคน รวมน้ำหนักเพิ่มอีก 250 กก. ร่วมเดินทางไปด้วย โดยตั้งใจใช้เส้นทางจากกรุงเทพฯ ผ่านสระบุรี มุ่งหน้าสู่จังหวัดเพชรบูรณ์ จากนั้นเลี้ยวขวาวิ่งเส้นน้ำหนาวสู่ภาคอีสาน ผ่านขอนแก่น อุดรธานี และไปจบที่จังหวัดหนองคาย ระหว่างทางจะร่วมทำกิจกรรม CSR บริจาคของที่เราบรรทุกมาให้กับโรงเรียนอนุบาลน้ำหนาว สไตล์ผู้ใหญ่ใจดี!!! เราตั้งใจเลือกวิ่งอ้อมเพื่อให้ได้ระยะทางก่อนค่ำ รวมทั้งอยากให้มีทางชันผ่านภูเขา พิสูจน์การใช้งานจริงบนถนนและสภาพการจราจรจริง
ส่วนรถมีการเตรียมความพร้อม แพ็กของปิดผ้าใบคลุมตาข่ายเรียบร้อย เติมลมยางตามที่โรงงานกำหนด ขณะบรรทุกคือ ยางหน้า 33 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (psi) ยางหลัง 55 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (psi) แต่กลัวแข็งไปนั่งไม่สบาย จึงลดลงมาที่ 45 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (psi) เติมน้ำมันเต็มถัง เซตหน้าปัดศูนย์ ออกสตาร์ตแต่เช้าตรู่
ซึ่งระหว่างทางตลอดทริปนี้ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาขับไปให้ถึงจุดหมายเท่านั้น เรายังวางแผนแวะท่องเที่ยวตามสถานที่ที่น่าสนใจ ทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ วัด และแหล่งท่องเที่ยวประจำจังหวัด ดื่มด่ำกับบรรยากาศสองข้างทางในแบบสบายๆ ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน
เริ่มขับทดสอบจากกรุงเทพฯ-หนองคาย บรรทุกน้ำหนักจัดเต็มท้ายกระบะ
ช่วงแรกจากกรุงเทพฯ-เพชรบูรณ์ การจราจรหนาแน่นตั้งแต่หกโมเช้า พอผ่านช่วงลพบุรี ถนนโล่ง ขับสบาย มีฝนโปรยปรายเล็กน้อย ใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนด 90-120 กม./ชม. น้ำหนักบรรทุกรวม 700 กก.+ อากาศดี เมฆเยอะ อุณหภูมิภายนอก 28 องศา ในตอนสายๆ ตัวเลขหน้าจอแสดงอัตราสิ้นเปลือง 15.3 กม./ลิตร เราถึงเพชรบูรณ์แถวศรีเทพตอน 10.00 น. เริ่มเร่งความเร็วมากขึ้นอัตราสิ้นเปลืองหล่นลงมาที่ 13.7 กม./ลิตร แวะเติมพลังไก่ย่างวิเชียรบุรี ตอนเที่ยงมาอยู่ที่ห้วยตอง ระยะทางรวมวิ่งไปทั้งหมด 400 กม. แวะถ่ายรูปที่สะพานพ่อขุนผาเมือง (สะพานห้วยตอง) เส้นทางเชื่อมเหนือสู่อีสาน อัตราสิ้นเปลืองลดลงจากเดิม เพราะเป็นทางชันขึ้นลงบนภูเขา เฉลี่ย 11 กม./ลิตร
จากนั้นช่วงบ่ายถึงโรงเรียนอนุบาลน้ำหนาว แวะบริจาคสิ่งของที่เตรียมมา ตัวเลขระยะทางวิ่งไปรวม 500 กม. น้ำมันยังเหลืออีกครึ่งถัง! ซึ่งความรู้สึกการขับต่อจากนี้จะเป็นแบบรถเปล่า ไม่มีน้ำหนักบรรทุก เพื่อดูความแตกต่างของช่วงล่าง วิ่งไปสักพัก รู้สึกช่วงล่างแข็งกระด้าง จึงแวะเข้าปั๊มลดแรงดันลมยางตามสเปกโรงงานแบบไม่มีน้ำหนักบรรทุก หน้า-หลัง 33 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (psi) พร้อมแวะจิบกาแฟ ขับออกมารู้สึกได้ว่านั่งสบายขึ้นเยอะอย่างที่ควรจะเป็น ผ่านไป 600 กม. เข้าสู่หนองบัวลำภู ทางปกติอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยดีขึ้น กลับมาที่ 13-14 กม./ลิตร
เข้าสู่อุดรธานี-หนองคาย ในช่วง 17.30 น. วิ่งไปสุดเขตชายแดนดูพระอาทิตย์ตกที่ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว สรุปวันแรกแวะพักกันที่หนองคาย แถวตลาดท่าเสด็จ วิ่งไปรวม 733 กม. น้ำมันยังเหลืออยู่ ทีมงานขอลุ้นต่อพรุ่งนี้ พันกิโลเมตรทำได้ไหม ส่วนพฤติกรรมการขับตั้งแต่หลังเที่ยง เริ่มเร่งทำเวลามาโดยตลอด เพราะอยากให้ถึงก่อนมืด เกือบลืมบอก เปิดแอร์เย็นฉ่ำตลอดการเดินทาง ไม่มีเบา
ขับแล้วมาเล่าให้ฟังกับ Mitsubishi Triton Mega Cab Pro 2.4
ถึงแม้เครื่องยนต์ของมันจะมีแรงม้าน้อยที่สุดในรุ่นของขุมพลังใหม่ ยังคงให้พละกำลัง และการขับขี่ที่สนุก อัตราเร่งทำได้ดี รวดเร็วทันใจ เพียงพอต่อการใช้งาน แต่เมื่อขับในเมือง หรือพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น ก็อาจจะเมื่อยได้ เพราะด้วยน้ำหนักของพวงมาลัยที่หนักพอควร สำหรับการขับขี่ในเมือง เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ เข้าง่าย สั้นกระชับ แต่คลัตช์สูงไปหน่อย ทำให้การขับขี่ในย่านที่รถติด ค่อนข้างที่จะเมื่อย
ในช่วงที่หลุดออกมานอกเมือง อัตราเร่งของเครื่องยนต์ลูกนี้ ทำได้ดี ขนาดน้ำหนักบรรทุกกว่า 500 กิโลกรัมที่ด้านหลัง ยังสามารถเร่งแซงรถช้าด้านหน้าได้อย่างรวดเร็วทันใจ ทางตรงยาวลองกดคันเร่งกันหน่อย ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลื่นไหลดี สามารถไปแตะที่ 150 กม./ชม. ได้อย่างไม่ยากเย็น ขับสนุกดีครับ การขึ้น-ลง เขา บอกเลยว่าหายห่วง พละกำลังเหลือๆ
ในส่วนของเรื่องระบบช่วงล่าง ด้านหน้าเป็นแบบอิสระ ปีกนกสองชั้น คอยล์สปริง และโช้คอัพ และด้านหลังเป็นแหนบซ้อนแผ่น ช่วงแรกเราบรรทุกน้ำหนักกว่า 500 กก. ที่กระบะท้าย ทำให้ช่วงล่างลงตัวมากขึ้น นุ่ม หนึบ ไม่เด้งดีด เข้าโค้งด้วยความเร็วได้อย่างมั่นใจ และดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี หลังจากนั้นเราเอาน้ำหนักที่โหลดอยู่กระบะท้ายออก การวิ่งด้วยความเร็วทางตรงยาวจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนมากขึ้น ดีด เด้ง มากขึ้นกว่าตอนบรรทุกน้ำหนัก
“การเข้าโค้งด้วยความเร็วมีอาการโคลงให้ได้สัมผัส แต่ก็ยังเอาอยู่ ควบคุมง่าย สามารถรองรับทุกสภาพพื้นผิว ทางจะยากลำบากเพียงใดก็ไม่ใช่ปัญหา ไม่ว่าฝนตก ถนนลื่น ทางขรุขระ บรรทุก น้ำหนักเยอะ คันนี้เอาอยู่แบบสบายๆ”
ตัวเลขประหยัด สุดประทับใจหนึ่งถังวิ่งได้พันกิโลเมตร แบกน้ำหนักเต็มลำ!!!!
เช้าวันที่สองขับรถท่องเที่ยวในจังหวัดหนองคาย แวะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ่ายรูปเช็กอิน ช่วงสายออกเดินทางต่อ ไปเที่ยววัดผาตากเสื้อ อัตราสิ้นเปลืองวันนี้ขยับอยู่แถวๆ 16-17 กม./ลิตร อากาศเย็นสบาย ไม่มีแดด วิ่งไประยะทางรวม 800 กม. น้ำมันขีดสุดท้ายลุ้นกันต่อ ขับเที่ยวเลียบแม่น้ำโขงมาถึงวัดถ้ำเพียงดิน ไปชมเมืองบาดาลของพญานาค
ใช้เวลาครู่ใหญ่ ขับออกมามุ่งหน้าสู่อุดรธานี แต่น้ำมันยังเหลือ ทำให้ต้องขับต่อจนถึงระยะทางรวม 1,075.4 กม. อย่างที่ตั้งมาจนถึงขอนแก่น ต้องจบทริปทดสอบที่นี่ เพราะน้ำมันหมดเกลี้ยงถัง ตอนห้าโมงเย็น
เรียกว่าขับกันสองวันเต็มทริปนี้ อัตราเฉลี่ยสุดท้าย บนหน้าปัดคือ 15.8 กม./ลิตร เราแวะนอนที่ขอนแก่นหนึ่งคืน ก่อนกลับกรุงเทพฯ ทำการเติมน้ำมันให้เต็มถังอีกครั้งเพื่อหาค่าเฉลี่ยจริง (ไม่ได้ดูจากหน้าปัดเหมือนที่ผ่านมา) สรุปได้ว่าเจ้า มิตซูบิชิ ไทรทัน เมก้า แคบ 2.4 โปร ขับจริง บรรทุกจริง อัตราสิ้นเปลือง เฉลี่ย 12.79 กม./ลิตร
เรื่อง : ณัฐพล จีระมงคลกุล
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th