ALL-NEW HONDA ACCORD HYBRID เลือกเล่น “ไฮบริด” กับเหตุผลที่ต้องเลือก “แอคคอร์ด”
ท่ามกลางความร้อนแรงของกระแสรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV กำลังตลบอบอวล ไปด้วยฝุ่นควันว่าควรจะไปในทิศทางไหนถึงจะดี ขณะเดียวกันก็เหมือนว่าเรากำลังจะถูกชักจูงให้ก้าวข้ามผ่านไปสู่เทคโนโลยีใหม่ในขณะที่ยังไม่ได้มีความพร้อมเพรียงอย่างเต็มที่
แม้จะบอกว่าเป็นเรื่องอนาคตอีกไกล แต่ประหนึ่งจงใจให้คนมองข้ามเทคโนโลยีที่ยังพัฒนาไม่สุดและมีอยู่ในมืออย่างรถยนต์ไฮบริดไปอย่างหน้าตาเฉย ทั้งที่ในช่วงที่ผ่านมารถเทคโนโลยีรถไฮบริด ไปจนถึงปลั๊กอินไฮบริด กำลังหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดรถยนต์ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
หากไม่นับรถยนต์ไฮบริด และปลั๊กอินไฮบริดของค่ายรถยุโรป ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ไมเนอร์เชนจ์ ดูจะเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมลงตัวเป็นอย่างยิ่ง ที่จะช่วยกระตุกให้ตลาดกลับมาสู่ความจริง พัฒนาในสิ่งที่มีเดินหน้าเทคโนโลยีที่มีให้เต็มศักยภาพตอบสนองความต้องการผู้บริโภคให้เข้าถึงได้ง่ายอย่างแท้จริง
ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ตั้งเป้ายอดขาย 12 เดือนในระดับ 3,000 คัน จากยอดขายของรถไฮบริดรวมทั้งตลาดต่อปีอยู่ที่ ประมาณ 6,000 คัน แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจและดุจะมุ่งมั่นกับการทำตลาดในยนต์ในกลุ่มนี้อย่างแน่วแน่ แม้จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในระดับที่ควรจะเป็น
คำถาม คือ ทำไม ฮอนด้า มั่นใจใน แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ขนาดนั้น ? คำตอบ คือ ฮอนด้า มีความชัดเจนว่าจะต้องการขายโปรดักซ์ของตัวเองอย่างไร และมีความต้องการที่จะนำเสนออะไรไปสู่ผู้บริโภค
มองข้ามเรื่องภายนอกรูปทรงสปอร์ตในแบบฉบับของฮอนด้าไป เพราะไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรมาก นอกจากใส่เอกลักษณ์ความเป็นรถไฮบริดเข้าไปเช่น ไฟหน้า-ท้ายสีฟ้า ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วดีไซน์เฉพาะรุ่นไฮบริด แต่ถ้าไปดูกันที่สเป็คล่าสุด ของแอคคอร์ด ไมเนอร์เชนจ์ นอกจากเรื่องของเทคโนโลยีไฮบริดอันทันสมัยที่สุดในกลุ่มรถยนต์ซีดานสัญชาติญี่ปุ่น นอกจากเรื่องความประหยัดของไฮบริดแล้ว ยังทำให้รถ “แรงขึ้น” อีกด้วย การกล้าเพิ่มเทคโนโลยีอันเป็นฟังก์ชั่นที่มุ่งเน้นไปในเรื่องความปลอดภัยอย่าง ฮอนด้า เซนซิ่ง คือจุดขายอันน่าสนใจ ส่งผลให้รถโมเดลนี้ได้รับการจับตาทั้งจากลูกค้าและคู่แข่งของฮอนด้าเองจนน่าตกใจ
ก่อนจะไปถึงของ Honda Sensing ขออธิบายเรื่องของระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid Intelligent Multi Mode Drive (i-MMD) กันสักเล็กน้อย
แอคคอร์ด ไฮบริด ยังคงไว้ซึ่งเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทรงพลัง 2 ตัว พร้อมด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน 1.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ที่ขึ้นชื่อเรื่องการชาร์จไฟเร็ว ให้กำลังสูงสุดทั้งระบบได้ถึง 215 แรงม้า
ปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้อย่างอัจฉริยะ ได้แก่ โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) ขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ต่อเนื่อง และทำความเร็วได้สูงสุดถึง 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode)
รวมถึงการเพิ่มความเร้าใจด้วยโหมดการขับขี่แบบสปอร์ต (Sport Drive Mode) ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเร่งทำความเร็วให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อน โดยผู้ขับขี่สามารถใช้งานได้เพียงกดปุ่ม Sport ที่อยู่บริเวณคันเกียร์
ระบบ Sport Hybrid i-MMD จึงเป็นระบบ Full Hybrid ที่ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลังแต่ยังให้อัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยมสูงถึง 23.8 กิโลเมตร/ลิตร อีกทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 99 กรัม/กิโลเมตร
มาถึงระบบใหม่ ที่ช่วยยกระดับให้ ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ดูน่าสนใจสมกับการเป็นรถนั่งซีดานสุดหรูมากยิ่งขึ้น คือ Honda SENSING ที่เปิดตัวในภูมิภาคอเมริกาเป็นที่แรกก่อนมาไทย ซึ่งดูจะต้องอธิบายกันเยอะสักหน่อย สำหรับของเล่นใหม่ระบบนี้ เพราะเป็นเทคโนโลยีที่ผสานการทำงานเรดาร์และกล้องด้านหน้า ช่วยตรวจจับสภาวะแวดล้อมบนท้องถนน แล้วแจ้งเตือนผู้ขับขี่หรือช่วยควบคุมรถในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และเพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ขับและผู้โดยสารในรถ รวมถึงเพื่อนร่วมทางบนท้องถนน
Honda Sensing ประกอบไปด้วย 4 ระบบสำคัญ นั่นก็คือ ระบบควบคุมและปรับความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน – Adaptive Cruise Control (ACC) ช่วยควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ตามที่ผู้ขับขี่ได้ตั้งค่าไว้ ตรวจจับระยะห่างและความเร็วของรถคันหน้า ปรับความเร็วของรถโดยอัตโนมัติเพื่อรักษาระยะห่างระหว่างรถคันหน้าได้อย่างเหมาะสมตลอดเวลา
ระบบเตือนการชนด้านหน้าและตรวจจับคนเดินถนนด้วยกล้องและเรดาร์พร้อมระบบช่วยเบรก – Collision Mitigation Braking System (CMBS) เมื่อมีรถอยู่ด้านหน้าในระยะที่ไม่ปลอดภัย ระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง รวมถึงมีการสั่นเตือนของพวงมาลัยในกรณีรถสวนทาง หากรถยนต์ยังเข้าใกล้ระยะที่เสี่ยงต่อการชน ระบบจะทำการเสริมแรงเบรกโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ ระบบ CMBS ยังได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น ให้สามารถตรวจจับคนเดินถนนได้อีกด้วย
ระบบแจ้งเตือนและช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ – Lane Keeping Assist System (LKAS) กล้องด้านหน้าจะทำการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ และทำการหน่วงของพวงมาลัยเพื่อช่วยให้ผู้ขับควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถได้ตลอดเวลา เหมาะสำหรับกับป้องกันผู้ขับขี่เผลอหลับใน หรือไม่ทันระวังขณะขับขี่
ระบบแจ้งเตือนและช่วยเหลือเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ – Road Departure Mitigation (RDM) with Lane Departure Warning (LDW) เมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนไปที่หน้าจอแสดงข้อมูลพร้อมสั่นเตือนที่พวงมาลัย และในกรณีที่รถออกนอกช่องทางมากขึ้น ระบบจะทำการหน่วงพวงมาลัย ดึงให้รถกลับเข้าสู่ช่องทาง หากรถยังคงเบี่ยงออกนอกช่องทางมากยิ่งขึ้น ระบบเบรกจะทำงานเพื่อชะลอความเร็วอย่างเหมาะสม (ในกรณีเส้นแบ่งถนนเป็นเส้นทึบ) เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
ทั้งหมดทั้งมวล นั่นคือ Honda Sensing หลายท่านอาจจะบอกว่า ไม่เห็นจะใหม่ตรงไหน รถยุโรปมีมาตั้งนานแล้ว ในจุดนี้ก็คงจะบอกว่า ใช่ ไม่ใช่ของใหม่ในโลก แต่เป็นของใหม่ ในฮอนด้า ซึ่งมันอยู่ในรถราคาระดับล้านกลาง ไปจนถึงล้านปลาย ๆ ที่ไม่ต้องจ่ายถึงสองล้านก็มีระบบความปลอดภัยชั้นดีไว้ใช้งานได้ แถมยังทำงานได้อย่างแม่นยำ หลังจากทดสอบอยู่หลายครั้งบนถนนจริง ระบบทำงานได้อย่างรวดเร็ว ตลอดการเดินทาง โดยรวมจ่ายเงินค่าระบบความปลอดภัยและนำมาใช้ได้คุ้มเงินไม่ได้มีไว้เพื่อโชว์
แถมประกอบด้วย มาตรฐานความปลอดภัยที่ครบครันรอบด้าน อาทิ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) จับภาพและแสดงผลผ่านหน้าจอขนาด 7.7 นิ้ว กล้องส่องภาพด้านหลัง ปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) เสียงเตือนภายนอกรถขณะขับขี่โหมดมอเตอร์ไฟฟ้า (Acoustic Vehicle Alerting System – AVAS) และระบบถุงลม 6 ตำแหน่ง ประกอบด้วยถุงลมคู่หน้าอัจฉริยะ (Dual i-SRS) ถุงลมด้านข้างคู่หน้าอัจฉริยะ (i-Side Airbag) และม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags)
ภายในห้องโดยสารไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนเช่นกัน คงไว้ซึ่งความกว้างขวางแต่ให้อารมณ์สปอร์ตตามความถนัดของฮอนด้า แต่เพิ่มในส่วนของฟังก์ชั่นใช้งานระดับพรีเมี่ยม อาทิ ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมต ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสแบบรองรับ Apple Car Play ที่กำลังได้รับความนิยมแพร่หลายในรถหลายรุ่นทั่วโลก ด้านวิศวกรแจ้งว่าได้ทำการปรับปรุงเรื่องการเก็บเสียงและการสั่นสะเทือนให้ดีขึ้นจากโมเดลก่อนหน้า รวมทั้งปรับพวงมาลัยไฟฟ้าให้มั่นคงตอบสนองได้มั่นใจในการควบคุม
ใจความสำคัญของรถคือเรื่องของสมรรถนะ ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ คันนี้ ดูจะเป็นรถที่ย้อนแยงในตัวเองขั้นสุด ในความรักษ์โลก รักสิ่งแวดล้อม แต่กลับให้ความร้อนแรงทางด้านกำลังของเครื่องยนต์ในระดับ 215 แรงม้า การตอบสนองต่อแรงกดคันเร่งมาเต็มในชนิดสั่งได้ เกียร์ E CVT ดูจะส่งให้กำลังที่ปลดปล่อยออกมาไหลลื่น เพิ่มความเร้าใจให้กับคนที่ชอบรถลุคสปอร์ต เพราะช่วงล่างถูกเซ็ตมาให้มีอารมณ์ดิบนิด ๆ ไม่ได้ถึงกับกระด้าง แต่ให้ความมั่นใจในการขับขี่ในทุกจังหวะ ให้ความสมดุลขณะขับขี่ดีกว่ารุ่นเดิม ขาดก็เพียงแค่เสียงอันเร้าใจจากท่อไอเสียหรือเครื่องยนต์เท่านั้น ที่ยังทำให้แอคคอร์ด ไฮบริดคงความเป็นรถหรูดูผู้ดีอยู่ได้ ด้านรายละเอียดปรับเพิ่มยังมีการลดแรงเสียดทางของซุ้มล้อเพื่อลดแรงต้านการขับขี่ รวมทั้งการเลือกใช้ดุมล้อแบบใหม่ให้ลื่นขึ้น
ด้านงานขาย ฮอนด้า ประเทศไทย รับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง และพิเศษยิ่งขึ้น กับ Privilege Package ซึ่งขยายเวลาการรับประกันคุณภาพ หรือ Ultimate Care เพิ่มอีก 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร รวมเป็น 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร และฟรีค่าบำรุงรักษา (ค่าแรง/ค่าอะไหล่/เช็กระยะ) เป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
โดยมีทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นไฮบริด กำหนดราคาไว้ 1,659,000 บาท และรุ่นไฮบริด เทค ราคา 1,849,000 บาท
เรื่องโดย: ณัฐพล จิระมงคลกุล
เรียบเรียงข้อมูลโดย กรังด์ปรีซ์ออนไลน์ GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th