NEW HONDA CIVIC e:HEV RS ยังน่าใช้อยู่ไหมในยุคน้ำมันแพง
NEW HONDA CIVIC e:HEV RS ปรับลุคให้สดขึ้น เร่งดันยอดปลายปี 67 หวังครองแชมป์ยอดขายกลุ่มรถยนต์นั่ง 4 ประตู พร้อมอัปเกรดออปชันตามเสียงเรียกร้องของผู้บริโภค จัดเต็มระบบความปลอดภัย ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เทอร์โบ และไฮบริด พร้อมฟังก์ชันใหม่ คุณปรับการทำงานควบคุมรถได้ตามสั่ง เพียงปลายนิ้วสัมผัส
ย้อนอดีตไป ก่อนมาถึง ฮอนด้า ซีวิค เจเนอเรชันที่ 11 ถ้าจำกันได้ ชื่อของ “ฮอนด้า ซีวิค” ดังเป็นพลุแตก จากการเปิดตลาดรถยนต์มหาชนขนาดเล็ก และเติบโตสร้างชื่อจนกลายเป็นขวัญใจคนทั้งโลก ไม่แม้แต่ฝั่งเอเชีย ยุคหลังขายดีเพราะมีไอคอนิกอย่าง “ซีวิค ไทป์อาร์” เป็นตัวเชิดหน้าชูตา
บนถนนในไทยเอง ซีวิคเดินทางเคียงข้างผู้ใช้งานมาช้านาน อยู่ในสังคมที่เราเติบโตและได้เห็นวิวัฒนาการของรถรุ่นนี้ตั้งแต่จำความได้ ถ้าคุณเป็นคนยุคเจนเอ็กซ์หรือวาย ก็ยังพอทัน สมัยเครื่องคาร์บูเรเตอร์ กลายเป็นเครื่องหัวฉีด ส่งต่อด้วยเครื่องวีเทค เทอร์โบ ล่าสุดเวอร์ชันไฮบริด เมื่อสองปีก่อน
แต่กลับมาดูวันนี้ ซีวิคที่เคยเป็นเพียงรถขนาดเล็ก ราคาจับต้องง่ายๆ ถูกบ่มเพาะมัดกล้ามเติบโตมาเป็นรถคันใหญ่ ให้ความสะดวกสบายในการเดินทางได้ทุกตำแหน่งที่นั่ง รวมทั้งที่เก็บของขนาดใหญ่อันเป็นจุดเด่นมาโดยตลอด และเป็นรถขวัญใจวัยรุ่นหนุ่มสาวจบใหม่ แต่มาวันหนึ่งที่รถรุ่นนี้ราคาเกินล้าน ทำให้รถอย่าง ฮอนด้า ซิตี้ ที่มีขนาดเล็กกว่าได้แจ้งเกิดแทน ด้วยราคาที่คุ้มค่า ส่งผลให้ซีวิคกลายเป็นรถสปอร์ตซีดานที่อัปเกรดความพรีเมียม ทั้งเทคโนโลยีการขับเคลื่อน ความปลอดภัย และระบบเอ็นเตอร์เทนเมนต์
ฮอนด้า ณ ตอนนี้ยังไม่มีรถยนต์ไฟฟ้าขายในไทยแบบให้คนทั่วไปได้ใช้ ยังมุ่งเป้าไปที่กลุ่มไฮบริดเป็นหลัก ซึ่งเทคโนโลยี e:HEV ของค่ายนี้ก็มีความน่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะความประหยัดที่ทำได้จริง และยังมีความทนทานต่อการใช้งานได้ดี ทั้งเครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ ดูแลรักษาง่าย หมดกังวลไปได้เลย
NEW HONDA CIVIC e:HEV RS เฟิร์สอิมเพรสชั่น!!
ในวันนี้เราได้รถรุ่น e:HEV RS กับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบไฮบริด และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ตัวหนึ่งไว้ปั่นไฟ ส่วนอีกตัวไว้ส่งกำลังขับเคลื่อน ผ่านเกียร์อัตโนมัติ E-CVT รองรับน้ำมันได้ถึง E20 ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดมอเตอร์สูงสุด 315 นิวตันเมตร ซึ่งผู้ผลิตไม่ได้แจ้งว่ามีการปรับเปลี่ยนใดๆ เลยในการ “ไมเนอร์เชนจ์” หนนี้ รวมถึงระบบช่วงล่าง เชื่อว่าของเดิมทำไว้ได้ดีอยู่แล้ว ฟิวนุ่มหนึบ ขับสนุก ด้วยพื้นฐานของเครื่องบล็อกใหญ่ และมอเตอร์ไฟฟ้าส่งกำลังได้อย่างต่อเนื่อง เรียกกำลังได้ตามสั่ง ยิ่งในโหมดสปอร์ตขับสนุกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ในด้านสมรรถนะ ระบบส่งกำลังโดยภาพรวมแทบจะเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าปั่นล้อเป็นส่วนใหญ่ EV Mode มีแค่ช่วงความเร็วคงที่ ช่วง 100-120 กม./ชม. ในการทดสอบที่เครื่องยนต์จะมีโอกาสลงมาปั่นล้อ แถมยังไม่ค่อยได้ยินเสียงเครื่องยนต์ทำงาน ยกให้เป็นเครื่องที่เงียบที่สุดในรุ่น ต้องกระแทกคันเร่งแรงๆ จึงได้ยินเครื่องครางเบาๆ อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยบนหน้าจอ 23 กม./ลิตร ขับในโหมดปกติ ประหยัดมาก นี่ถ้าเลือกเปลี่ยนเป็นโหมด ECON ตัวเลขที่ได้ โรงงานระบุไว้ 25 กม./ลิตร สบายๆ ฮอนด้าเคลมว่ารถรุ่นนี้น้ำมันหนึ่งถังวิ่งได้ไกลถึง 800 กม. กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ หนึ่งถังยังเหลือ!!!
Individual Mode เพิ่มเติมมาในรุ่น e:HEV เท่านั้น
เพิ่มลูกเล่นใหม่ในส่วน Drive Mode ของเดิมมีให้เลือก ECON / NORMAL / SPORT รวมเป็น 4 โหมดการทำงาน สามารถเลือกปรับสีหน้ามาตรวัดได้ ปรับเสียงท่อได้ ปรับน้ำหนักพวงมาลัยได้ อาทิ NORMAL หรือ SPORT
โดยรวมเป็นรถที่ขับสนุก น้ำหนักพวงมาลัยปรับเปลี่ยนตามโหมดการขับขี่ ควบคุมได้ตามใจสั่ง ช่วงล่างดี ขับขี่ได้อย่างมั่นใจ ทั้งขณะเข้าโค้ง หรือเปลี่ยนเลนกะทันหัน ส่วนจุดเด่นของระบบกันสะเทือนที่เห็นได้ชัดเวลาผ่านรอยต่อถนน คอสะพาน ผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น งานเก็บเสียงตามขอบประตู ห้องเครื่อง ทำมาแน่นหนา ด้วยความเป็นรถไฮบริด “ความเงียบ” เป็นสิ่งคัญ เพราะเวลาวิ่งด้วยไฟฟ้ามันจะเงียบมาก ได้ยิ่งแต่เสียงยางเบาๆ ขึ้นอยู่กับสภาพถนนถ้วย ส่วนเสียงลมเก็บได้ดี ยกเว้นความเร็วเกินกำหนด เริ่มได้ยินบริเวณเสาบีเบาๆ
ส่วนการปรับเปลี่ยนดีไซน์ ด้านหน้ามีกระจังหน้า และกันชนหน้าใหม่ สวยไม่แพ้ตัวก่อนหน้า ส่วนไฟหลังเพิ่มโคมรมดำมาให้ อย่างน้อยพอวิ่งตาม จะได้แยกออกว่าเจนใหม่นะ เช่นกันล้อที่เปลี่ยนมาเป็นขอบ 18 นิ้ว 6 ก้าน สีดำด้าน Matte Black รัดกับยางขนาด 235/40 ZR18 ดูสปอร์ตลงตัวกับรถ
ส่วนภายใน เบาะนั่งลายใหม่ Prime Smooth หนังสีดำสลับหนังกลับ ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง ของเดิมอย่างเบาะพับได้ 60:40 หรือแอร์หลังแยก กลายมาเป็นอุปกรณ์พื้นฐานในทุกรุ่นย่อยแล้ว เสียดายแทนคนที่ซื้อไปก่อนหน้า
เช่นกันระบบความปลอดภัย Honda Sensing เวอร์ชันนี้สมูทขึ้น จัดเต็มขึ้น มีเซนเซอร์เพิ่มหน้า 4 จุด หลัง 4 จุด ที่ว่าสมูทขึ้น อย่างตอนระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน และรักษารถให้อยู่ในเลนทำงาน เมื่อตรวจจับว่ารถเริ่มเอียงออกนอกเลน ระบบจะหักพวงมาลัยโดยอัตโนมัติ รักษารถให้อยู่ในเลนแบบไม่ทำให้ผู้ขับขี่ตกใจหรือมีเสียงเตือนน่ารำคาญ ทำงานได้สมูทสุดๆ
สุดท้ายระบบใหม่ๆ อย่างหน้าจอกลางขนาด 9 นิ้ว ที่เพิ่มระบบ Google Built-in ในหน้าจอกลาง Google Maps / Play / Google Assistant สั่งงานด้วยเสียงได้อย่างสนุก พูดคุยถามตอบกันได้ อยากรู้อะไร ไม่ต้องพิมพ์ หรือโหลดแอปต่างๆ ผ่าน Play Store เพิ่มเติมได้ มีแผนที่นำทางกูเกิ้ลในตัว แถมเวลาสตรีมเพลงผ่านแอป ได้ลำโพง BOSE 12 ตำแหน่งเสียงใสมาเต็ม ลื่นหูมากๆ แต่ดีไซน์ช่องลำโพงด้านหลังดูราคาถูกไปหน่อย แต่ทั้งหมดนี้ต้องเปิดบริการ e-sim ผ่านฮอนด้า มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ส่วนช่องอุปกรณ์เชื่อมต่อ USB เป็นแบบ Type C หน้า 2 หลัง 2 เยอะดี หรือใครชอบแบบเดิมก็ทำได้ผ่าน Apple CarPlay แบบไร้สาย หรือ Android Auto สุดท้ายอยากฝาก ฮอนด้า ไทยแลนด์ เรื่องการกั๊กออปชัน ที่ใส่ของหลังเบาะคนขับไม่มี พนักวางแขนล็อกไม่ได้ ของเล็กๆ น้อยๆ ไม่น่าตัดออกในรถราคาระดับนี้ กับค่าตัว 1,239,000 บาท (ปรับลดลง 20,000 บาท)
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th