NEW MINI COOPER SE: เทคโนโลยีไฟฟ้าที่ใกล้เคียงความคลาสสิก
NEW MINI COOPER SE โมเดลพลังไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดกับการขับ ทดสอบ ระยะทางกว่า 160 กิโลเมตร สัมผัสสมรรถนะการขับในแบบ “Electrified Go-Kart” ที่ยังคงให้อารมณ์ในแบบ Mini Classic ที่หลายคนหลงใหล ด้วยความแรง 218 แรงม้า และระยะการขับที่เพิ่มเป็น 402 กิโลเมตร
ความเปลี่ยนแปลงของรถยนต์ไฟฟ้าเจเนอเรชั่นที่ 2 ของแบรนด์ MINI เริ่มตั้งแต่การพัฒนาโดย Spotlight Automotive บริษัทร่วมทุนระหว่าง BMW Group และ Great Wall Motor ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของประเทศจีน ทำให้ New Cooper SE มีฐานการผลิตหลักอยู่ที่เมืองจางเจียกัน มณฑลเจียงซี ประเทศจีน ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว และตามแผนพวกเขาจะมีการเปิดสายการผลิตที่โรงงานดั้งเดิมที่เมืองอ็อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ในปี 2026
มินิ ประเทศไทย เปิดตัว 4 รุ่นใหม่ สู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าในสไตล์มินิมอล
แต่ถึงจะเป็นการพัฒนาภายใต้บริษัทร่วมทุน แนวทางดีไซน์ทั้งภายนอก และภายในของยังคงมีความเป็น Mini Hatch ที่หลายคนคุ้นเคยมากว่า 6 ทศวรรษ ครั้งแรกที่ได้เห็น New Cooper SE จะสัมผัสได้ถึงความโดดเด่นสะดุดตาจากงานออกแบบตามแนวคิด ‘ความเรียบง่ายอันทรงเสน่ห์’ ที่แม้จะดูเปลี่ยนไปตามนิยามใหม่ แต่ยังคงรักษาองค์ประกอบที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เอาไว้อย่างครบถ้วน ทั้งส่วนหน้ารถที่สั้น, ฐานล้อยาว และล้อขนาดใหญ่ที่เติมบุคลิกความสปอร์ตแบบเต็มพิกัด
การถ่ายทอดคอนเซปต์งานดีไซน์
สำหรับโฉมใหม่สไตล์มินิมอลของ New Cooper SE สามารถสังเกตเห็นได้จากมือจับประตูที่กลมกลืนกับพื้นผิวของตัวรถ เช่นเดียวกับซุ้มล้อ และขอบด้านข้างรถที่เสมอกับผิวตัวถังรอบคันเป็นไปตามแบบฉบับของ Mini รุ่นคลาสสิก ซึ่งทำให้รถดูมีขนาดใหญ่ขึ้นอีกด้วย โดยตัวถังที่มีความเพรียวบางยังส่งผลให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเพียง 0.28 เหนือกว่ารถยนต์รุ่นอื่นในเซกเมนต์เดียวกัน
ด้านหน้าของตัวรถยังคงโดดเด่นด้วยไฟหน้าทรงกลมอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่สามารถสร้างสีสันที่สะท้อนสไตล์ และตัวตนของผู้ขับขี่ด้วยโหมดไฟซิกเนเจอร์ที่มีให้เลือก 3 รูปแบบไล่เรียงจาก Classic, Favoured และ JCW สร้างความสะดุดตาร่วมกับกระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยมใหม่ที่ขับเน้นความสปอร์ตจากกรอบสีเงิน Vibrant Silver ขณะที่ด้านท้ายยังแสดงให้เห็นสัดส่วน และเส้นสายที่ทรงพลังคาดกลางด้วยแถบสีดำแนวนอนบริเวณกึ่งกลางฝากระโปรงท้าย
ตอบรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกองค์ประกอบ
ห้องโดยสารของ New Cooper SE รุ่นใหม่ยังได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความเรียบง่ายควบคู่กับความยั่งยืน โดยแผงหน้าปัด, แผงประตู และฝาปิดช่องเก็บของต่างๆ ภายในรถผลิตจากวัสดุเส้นใยโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล 90 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มลูกเล่นบริเวณแผงคอนโซลหุ้มด้วยผ้าถักลายตารางแบบทูโทน และกล่องเก็บของที่บุด้วยผ้าถักจากวัสดุพิเศษ พร้อมสายผ้าสำหรับช่วยเปิดที่เก็บของให้สะดวกมากขึ้น
สำหรับเบาะนั่งสไตล์สปอร์ตยังคงความหรูหรา และนุ่มสบายด้วยวัสดุ Vescin โทนสีน้ำเงิน Nightshade ซึ่งเป็นวัสดุหนังสังเคราะห์แบบใหม่ของ Mini ที่นำมาใช้แทนหนังจริง เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่แสดงให้เห็นการคัดสรรวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ยังมีความสวยงาม และคุณภาพที่ยอดเยี่ยม
เช่นเดียวกับสไตล์การตบแต่งภายนอก New Cooper SE ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน ด้วยการใช้ล้อที่ผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมรีไซเคิลพร้อมชุดแต่ง Favoured Trim เพิ่มความโฉบเฉี่ยวให้ล้อขนาด 18 นิ้วแบบ Slide Spoke ดีไซน์ทูโทน
ครั้งแรกของวงการรถยนต์-จอแสดงผล OLED ทรงกลมความละเอียดสูง
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่โดดเด่นในห้องโดยสารของ Cooper SE เจเนอรชั่นใหม่ที่สะท้อนตัวตนของ Mini Classic ปี 1959 คือหน้าจอความละเอียดสูง OLED ทรงกลมขนาดใหญ่ MINI Interaction Unit ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 24 เซนติเมตร บริเวณคอนโซลกลางที่จะนำเสนอประสบการณ์การใช้งานที่สะดวกสบายเหมือนการใช้สมาร์ตโฟนของคุณ
ด้านบนของหน้าจอ OLED ทรงกลมจะเป็นพื้นที่แสดงข้อมูลสำคัญของตัวรถ เช่น ความเร็วรถ และสถานะแบตเตอรี่ รวมทั้งการแสดงข้อมูลการนำทาง, เพลง และความบันเทิงอื่น ๆ รวมถึงฟีเจอร์ด้านการเชื่อมต่อต่าง ๆ พร้อมทั้งระบบ Head-up Display ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นข้อมูลสำคัญของตัวรถโดยไม่ต้องละสายตาจากถนนอีกด้วย
หน้าจอ MINI Interaction Unit ยังถือเป็นหัวใจสำคัญของโหมดการใช้งาน MINI Experience ฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยปรับแต่งประสบการณ์การขับขี่ และเติมสีสันให้กับทุกเส้นทางได้ตามใจชอบ ด้วย 7 โหมดที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน ทั้งการตอบสนองตามโหมดการขับขี่, เสียงจำลองที่ช่วยเสริมบรรยากาศการขับ และสีสันจากหน้าจอ รวมทั้งระบบไฟภายในห้องโดยสาร
เริ่มต้นที่โหมดมาตรฐาน Core Mode ห้องโดยสารจะได้รับการตกแต่งด้วยหน้าจอ และแสงไฟโทนสี Laguna หนึ่งในสีประจำแบรนด์ Mini พร้อมการขับแบบ Comfort ที่จะสร้างเสียงจำลองให้ผู้ขับขี่ และบุคคลภายนอกได้ยินไปด้วยกัน เพื่อความปลอดภัยระหว่างการขับ และเตือนคนเดินถนนว่ากำลังมียานพาหนะแล่นผ่าน
ขณะที่ Green Mode จะตั้งค่ารถเป็นโหมดการขับที่มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ระยะทางการขับเพิ่มขึ้น แต่สำหรับคนที่อยากสัมผัสอารมณ์เร้าใจเลือกกดเข้าสู่ Go-Kart Mode หน้าจอจะเปลี่ยนเป็นโทนสีดำ Anthracite ผสมกับสีแดง เช่นเดียวกับระบบไฟ Ambient Light เติมความดุดันให้เข้ากับการขับขี่แบบสปอร์ตด้วยการจำลองเสียงเครื่องยนต์จากรุ่น John Cooper Works ที่ปรับแต่งมาเพื่อ New Cooper SE โดยเฉพาะ
นอกเหนือจาก 3 โหมดหลัก MINI Interaction Unit ยังมาพร้อมกับบุคลิก และลูกเล่นที่โดดเด่นมากขึ้นในอีก 4 โหมดที่เพิ่มเข้ามา ทั้งความสามารถการซิงค์แสงไฟภายในห้องโดยสารกับภาพปกอัลบั้มของเพลงที่กำลังเล่นใน Vivid Mode จากการใช้เทคโนโลยีลูกเล่นสี Color Grabber และการรองรับภาพพื้นหลังที่เลือกเองใน Personal Mode ไปจนถึงการสะท้อนภาพประวัติศาสตร์สุดคลาสสิกของ MINI ผ่านทั้งภาพ และเสียงใน Timeless Mode หรือบรรยากาศความเรียบง่ายสงบนิ่งใน Balance Mode
อีกความเปลี่ยนแปลงของ New Cooper SE คือแผงควบคุม Toggle Bar ดีไซน์ใหม่ที่อยู่ด้านล่างของหน้าจอ MINI Interaction Unit อีกหนึ่งองค์ประกอบที่หวนคืนมาจาก MINI รุ่นคลาสสิก เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าถึงฟังก์ชั่นสำคัญต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกมากขึ้นทั้งการควบคุมเบรกมือ, สวิตช์เปลี่ยนเกียร์, สวิตช์หมุนสตาร์ท/ดับเครื่อง, สวิตช์สลับโหมด MINI Experience และปุ่มควบคุมระดับเสียงเพลง
สัมผัสจริงบนถนนกับ MINI Cooper SE
เส้นทางปทุมธานี-สระบุรี 160 กม.
การขับทดสอบครั้งนี้เริ่มต้นที่ศูนย์ฝึกอบรม BMW Group Thailand Training Center ในย่านปทุมธานี โดยระหว่างการบรีฟข้อมูลทีมอินสตรักเตอร์แนะนำให้ทดลองใช้ MINI Navigation ระบบแผนที่ซึ่งติดตั้งมากับตัวรถสามารถช่วยนำทางด้วยระบบคลาวด์พร้อมรองรับการเชื่อมต่อผ่านเครือข่าย 5G ในตัว และสามารถแสดงภาพสามมิติเพื่อช่วยนำทางผ่านจุดเลี้ยวที่ซับซ้อนได้อย่างมั่นใจเป็นส่วนหนึ่งระบบปฏิบัติการ MINI Operating System 9 แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่พัฒนาบนพื้นฐานของ Android Open Source Project (AOSP) เพื่อให้ใช้งานได้ง่ายด้วยระบบสัมผัส แสดงผลด้วยภาพกราฟิกเคลื่อนไหวที่สวยงามบนหน้าจอ
เส้นทางการขับช่วงแรกจุดหมายจะอยู่ที่ร้านเดอะ บาร์เนอรี่ จังหวัดสระบุรี โดยข้อมูลเนวิเกเตอร์ที่แสดงบนหน้าจอ OLED ทรงกลม เลือกเส้นทางถนนกาญจนาภิเษกก่อนจะเข้าสู่พหลโยธินระยะทาง 88 กิโลเมตร โดย New Mini Cooper SE โทนสีเงิน Melting Silver ของทีมงาน Grand Prix Online แบตเตอรี่มีกำลังไฟฟ้าลดลงเล็กน้อยจากขั้นตอนการเตรียมงาน โดยมีระยะการขับเหลืออยู่ 372 กิโลเมตร (สเปคระบุว่าระยะทางการขับสูงสุด 402 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ตามมาตรฐานทดสอบ WLTP) และระบบคำนวณว่าเมื่อถึงจุดหมายแรกแบตเตอรี่จะเหลือ 69 เปอร์เซ็นต์
หลังจากทำความเข้าใจระบบควบคุมต่าง ๆ ทีมงาน Grand Prix เริ่มต้นการขับช่วงแรกเลือกใน Green Mode เพื่อสำรองกำลังแบตเตอรี่จะได้ไม่ต้องแวะชาร์จในตอนเดินทางกลับ แต่ความจริงโหมดนี้ไม่ได้ทำให้อารมณ์การขับสไตล์ Go-Kart Feeling ขาดความสนุกไปเลย เพราะเมื่อคุณกดคันเร่งลงไปหนัก ๆ การตอบสนองอัตราเร่งจะเพิ่มขึ้นทันที และ Mini ยังแอบใส่ลูกเล่นกับรูปนกสีเขียวบนหน้าจอที่จะกลายร่างเป็นเสือชีตาห์พร้อมขย้ำเหยื่อตามความเร็วที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
พอหลุดจากจราจรที่หนาแน่นเข้าสู่เส้นพหลโยธิน เริ่มลองปรับโหมดการขับเป็น Core Mode ที่การตอบสนองอัตราเร่งไม่ได้แตกต่างจาก Green Mode เท่าไรนัก แต่พอปรับสู่ Go-Kart Mode จะมีเสียงทักทายเหมือนเวลาเล่นเกม Mario Kart ทำให้การขับสนุกเหมือนเครื่องยนต์สันดาป มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 160 กิโลวัตต์/218 แรงม้า ส่งกำลังอย่างต่อเนื่องสู่ล้อหน้า จนทำให้ความเร็วทะยานไปแตะท็อปสปีด 173 กม./ชม. ได้ทันทีหากพื้นที่บนถนนมีมากพอ
New Cooper SE มีการปรับแต่งระบบช่วงล่างเพื่อการควบคุมที่ดีมากขึ้น โดยตำแหน่งการติดตั้งแบตเตอรี่บริเวณพื้นรถยังช่วยสร้างจุดศูนย์ถ่วงที่เพิ่มประสิทธิภาพของการยึดเกาะถนน รวมทั้งสัดส่วนที่ขยายขึ้นจาก MINI Cooper SE รุ่นก่อน โดยตัวถังจะมีความยาวเพิ่มเป็น 3, 858 มม. (+8 มม.) ความกว้าง 1,756 มม. (+29 มม.) และความสูง 1,460 มม. (+28 มม.) รวมทั้งระยะฐานล้อ 2,526 มม. (+31 มม.) พร้อมขยับไปชิดมุมรถทั้ง 4 ด้าน (Short Overhang) ทำให้เจเนอเรชั่นใหม่มีความคล่องตัวมากขึ้น ในเวลาที่ผู้ขับขี่ต้องใช้ความเร็ว
แต่ถึงจะมีการปรับเปลี่ยนระบบช่วงล่าง และขนาดตัวถัง แต่ใครที่ถามหาความสบายใน Mini Cooper คำตอบคงจะเหมือนเดิม – ความเฟิร์มของช่วงล่างอาจจะสร้างความสนุกให้คนขับ แต่คนนั่งอาจจะเหนื่อยกับอาการกระเด้งกระดอนเวลากระแทกกับพื้นถนน – ซึ่งไม่แตกต่างจากรุ่นเครื่องยนต์สันดาปในอดีต เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของแบรนด์รถเก่าแก่จากเกาะอังกฤษก็คงไม่ผิดอะไรนัก
อย่างไรก็ตามระหว่างการเทสต์ไดร์ฟก็มีความผิดพลาดเกิดขึ้นกับระบบนำทาง MINI Navigation โดยหมุดที่ทีมงานปักให้เดินทางไปร้านเดอะ บาร์เนอรี่ คลาดเคลื่อนไปอยู่คนละฝั่งถนนกันหมดทุกคัน กลายเป็นเรื่องสนุกของบรรดานักข่าวร่วมทริปที่บางคนก็ขับตามทางสายรองตัดผ่านทุ่งนามาเลย แต่มีบางคนที่ไหวตัวทันเปิดใช้ Google Map เพื่อช่วยค้นหาเส้นทางที่สะดวกกว่าแทน
ถึงจะทำให้เสียเวลาไปบ้าง แต่พอถึงจุดหมาย ระยะทางการขับที่โชว์บนหน้าจอของ New Cooper SE ลดลงมาเหลือ 265 กิโลเมตรเท่านั้น แต่เราก็ต้องสลับให้เพื่อนสื่อมวลชนนำออกไปทดสอบอัตราเร่งประมาณ 1 ชั่วโมง
ทำให้ก่อนจะขับกลับไปที่ศูนย์ฝึกอบรมของ BMW ที่ปทุมธานี กำลังไฟฟ้าในแบตเตอรี่เหลือระยะทางขับ 157 กิโลเมตร โดยระยะทางตาม Google Map อยู่ที่ 73 กิโลเมตร เป็นการขับบนถนนสายรองก่อนจะไปเข้าเส้นกาญจนาภิเษกช่วงแถวรังสิต
ลืมบอกไปว่าการใช้แผนที่ MINI Navigation กับ Google Map มีความแตกต่างตรงที่ระบบนำทางที่ติดตั้งมากับ New Cooper SE จะมีการเชื่อมต่อข้อมูลของแบตเตอรี่เพื่อคำนวณระยะทางวิ่งที่เหลืออย่างแม่นยำมากกว่า รวมทั้งการค้นหาสถานีชาร์จไฟฟ้า และสามารถแสดงผลแบบเต็มหน้าจอทรงกลม OLED
ในช่วงขากลับความคุ้นเคยกับตัวรถที่มีมากขึ้นทำให้มีการลองระบบช่วยเหลือการขับขี่ โดยรถทดสอบทุกคันมีการเปิดแพ็คเกจเต็มรูปแบบ Driving Assistant Plus ที่จะเพิ่มระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control), ระบบเตือนออกนอกช่องจราจร (Lane Departure Warning) และระบบควบคุมพวงมาลัยที่ช่วยเหลือการเปลี่ยนช่องจราจร (Steering and Lane Guidance Assist) ที่จะใช้การตรวจจับด้วยกล้อง และเรดาห์ โดยต้องจ่ายเงินสมัครเพิ่มที่จะมีให้เลือกตั้งแต่ 1 เดือน (1,390 บาท), 1 ปี (13,990 บาท), 3 ปี (21,990 บาท) และตลอดชีพ (29,990 บาท) ที่จะติดกับตัวรถไปตลอดอายุการใช้งาน
การจราจรในช่วงบ่ายวันนี้ค่อนข้างเบาบางทำให้ใช้ความเร็วได้ และพอมั่นใจว่ากำลังไฟฟ้าของแบตเตอรี่เหลือมากพอที่จะขับถึงจุดหมายโดยไม่ต้องแวะชาร์จ ช่วงท้ายทีมงาน Grand Prix Online เลือกใช้ Go-Kart Mode เพื่อสัมผัสความสนุกเร้าใจอย่างเต็มที่ แต่ไม่ได้ทำให้กำลังไฟฟ้าหายไปมากกว่าโหมดอื่นเท่าไรนัก
เมื่อมาถึงศูนย์ฝึกอบรม BMW ที่ปทุมธานี ระยะทางการขับยังเหลืออยู่ถึง 77 กิโลเมตร และหากเปลี่ยนมาสู่ Green Mode ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นมาอีก 5 กิโลเมตร
พอได้ลองขับยาวๆ ต้องยอมรับว่าฟีลลิ่งการขับทั้งอัตราเร่ง, การควบคุม และระบบช่วงล่าง New Mini Cooper SE ยังคงถ่ายทอดความเป็น Go-Kart Feeling และช่วยให้คุณสบายใจกับระยะทางการขับที่ไกลกว่ารุ่นก่อน
ระบบชาร์จไฟฟ้าหากติดตั้งเครื่องชาร์จแบบ AC ที่บ้าน สามารถเลือกรุ่นที่รองรับการจ่ายกำลังไฟฟ้าสูงสุด 11 กิโลวัตต์ ที่ใช้เวลาชาร์จจาก 0-100 เปอร์เซ็นต์ ในเวลาเพียง 5 ชั่วโมง 15 นาที และชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง DC สามารถเพิ่มกำลังไฟฟ้าจาก 10-80 เปอร์เซ็นต์ในเวลา 30 นาที
เรียกว่าแฟนคลับ Mini ที่อยากลองสัมผัสเทคโนโลยีขับเคลื่อนไฟฟ้า New Cooper SE ที่มีค่าตัว 1,699,000 บาท ให้ความสนุกไม่แตกต่างจากเครื่องยนต์สันดาปแน่นอน แต่หากใครต้องการความสะดวกสบายเวลาออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ อาจจะลองดูรุ่น 4 ประตู New Aceman SE ที่ราคาจะแพงขึ้น 300,000 บาท หรือ New Countryman SE ที่เพิ่มความอเนกประสงค์สำหรับการใช้งานสไตล์เอสยูวี เรียกว่าชอบสไตล์ไหน Mini Se เจเนอเรชั่นใหม่ตอบโจทย์ให้คุณได้หมด!!!
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: MINI Thailand
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th
NEW COOPER SE ทดสอบ