ลองขับ New Mitsubishi Pajero sport บุกตะลุยทุกเส้นทาง
หลังจากที่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จํากัด เปิดตัวรถอเนกประสงค์ที่เป็นเรือธงอย่าง New Mitsubishi Pajero sport ซึ่งในรุ่นใหม่ล่าสุดนี้มีการปรับปรุงใหม่หลายจุดรวมทั้งเสริมเติมออฟชั่นเข้าไปอีกเพียบ และในครั้งนี้เรามีโอกาสได้ไปทดลองขับ New Mitsubishi Pajero sport กันบนเส้นทาง กรุงเทพ –แก่งกระจาน – หัวหิน เรียกได้ว่าครบทุกเส้นทางเลยกับการทดสอบครั้งเราไปดูกันว่าเจ้า New Mitsubishi Pajero sport คันนี้จะผ่านเส้นทางการทดสอบนี้ไปได้หรือไม่ และมันจะดีหรือไม่ดีอย่างไรโดยรุ่นที่เราทดลองขับจะเป็นรุ่นท็อป 2.4 GT-Premium 4WD
เริ่มต้นกับการดีไซน์ด้านหน้าที่มีการออกแบบใหม่ทั้งหมด เอกลักษณ์การดีไซน์ด้านหน้าแบบไดนามิกชิลด์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ซึ่งถ้ามองผ่านๆมันก็จะคล้ายกับรุ่นอื่นอย่างเช่น Triton และ Xpander เลยทีเดียว ด้านหน้าตำแหน่งไฟหน้าที่ทอดตัวต่อเนื่องจากกระจังหน้าพร้อมชุดไฟ Combination Lamps ติดตั้งที่มุมของกันชน ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ แบบ Bi-LED พร้อมระบบปรับระดับลำแสงอัตโนมัติ มาพร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ SPECTRUM LED ไฟส่องสว่างขณะเลี้ยว และไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED โฉบเฉี่ยวในลุคสปอร์ต อย่างลงตัว กระโปรงหน้าที่สูงขึ้นกว่าเดิมช่วยเพิ่มมิติความลึกให้กับด้านหน้ารถ
[expander_maker id=”4″ more=”อ่านเพิ่มเติม” less=”Read less”]
อีกทั้งการตกแต่งด้วยชิ้นส่วนโครเมียมที่มีดีไซน์แข็งแกร่งทรงพลังยังช่วยถ่ายทอดความประณีตหรูหราให้แก่รูปลักษณ์ภายนอก ไฟท้ายเป็นแบบ LED ที่ดีไซน์คล้ายกับรุ่นก่อนหน้าแต่ดูดีๆมันสั้นลงกว่าเดิมนะครับ มีระบบเปิด-ปิด ฝาท้ายด้วยไฟฟ้า Power Tailgate แถมเมื่ออยู่นอกรถถือของเต็มมือก็สามารถเปิดฝาท้ายโดยไม่ต้องใช้มือ Hands-Free Tailgate อีกต่างหาก ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ 18 นิ้ว แบบสปอร์ตทูโทน
ภายในห้องโดยสารคอนโซลกลาง และมือจับประตูแบบใหม่พร้อมด้วยวัสดุบุนุ่ม และด้วยการออกแบบคอนโซลหน้าและคอนโซลกลางใหม่จึงทำให้พื้นที่ด้านฝั่งคนขับและห้องโดยสารกว้างขวางขึ้นเล็กน้อย ชุดมาตรวัด ดีไซน์ใหม่แบบ Full DIGITAL Meter ปรับเปลี่ยนได้ 3 รูปแบบ ซึ่งเป็นจุดที่ผมชอบมากมันเสริมให้ภายในดูหรูหราขึ้นแถมยังเป็นครั้งแรกในรถยนต์ประเภทนี้ที่ให้จอสีแบบ LCD หน้าจอเครื่องเสียงระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ SDA กับ Smart Phone ทั้ง Apple CarPlay / Android Auto สวิตช์เปิด-ปิดกระจกหน้าต่างไฟฟ้าแบบเรืองแสง ปรับขึ้น-ลงอัตโนมัติ พร้อมระบบป้องกันการหนีบทั้ง 4 ด้าน ควบคุมจากด้านคนขับ ช่วยเพิ่มความปลอดภัย คอนโซลกลางและแผงประตูบุด้วยวัสดุบุนุ่ม ให้การขับขี่สบายกว่าที่เคย และเพิ่มช่องเก็บของใต้คอนโซลเพื่อการใช้งานที่สะดวกมากขึ้น ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แบบปรับแยกอุณหภูมิอิสระ ซ้าย-ขวา และเทคโนโลยี nanoeTM ที่สร้างไอออนประจุลบ เพื่อดักจับฝุ่นแบคทีเรีย และกลิ่นไม่พึงประสงค์ ช่วยให้อากาศบริสุทธิ์ คงความชุ่มชื้นของผิว
จอภาพแบบ Widescreen ขนาด 12.1 นิ้ว สัมผัสสุนทรียภาพเต็มอรรถรสในทุกการเดินทาง มาพร้อมกับรีโมทและหูฟังอินฟราเรด เชื่อมต่อ HDMI และ USB เพื่อความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ช่องต่ออุปกรณ์ USB 2 ตำแหน่ง พร้อม HDMI บริเวณคอนโซลหน้า เพื่อเชื่อมต่อความบันเทิงกับ SDA (Smartphone-Link Display Audio) สะดวกสบายมากขึ้นด้วยช่องจ่ายกระแสไฟ AC 220 โวลต์ พร้อมช่องชาร์จอุปกรณ์ USB 2.1A 2 ตำแหน่งบริเวณคอนโซลกลางด้านหลัง ห้องโดยสารกว้างขวาง สามารถปรับเบาะได้หลากหลายรูปแบบ ให้ทุกการเดินทางสะดวกสบายได้มากกว่า ด้วยห้องโดยสารกว้างขวาง สามารถปรับเบาะได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการเก็บสัมภาระ รองรับการใช้งานทุกไลฟ์สไตล์ เบาะคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้าทั้ง 2 ฝั่ง ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบแฮนด์ฟรี และปุ่มปิดฝาท้ายพร้อมล๊อกรถ พร้อมระบบแฮนด์ฟรีและปุ่มปิดฝาท้ายพร้อมล็อกรถ (ทำงานคู่กับระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS) พร้อม Mitsubishi Remote Control สามารถสั่งการทำงานล่วงหน้าจากสมาร์ทโฟน
เอาเป็นว่าถ้าอยากรู้ลายละเอียดภายนอกภายในมากกว่านี้เพื่อนๆไปลองอ่านสเป็คของรถดูแล้วกันครับ เรามาเริ่มออกเดินทางไปทดสอบเจ้า New Mitsubishi Pajero sport คันนี้กันดีกว่า เริ่มเดินทางออกจากกลางเมืองแถวย่านสาธร รถใช้ถนนค่อนข้างเยอะความคล่องตัวของ New Mitsubishi Pajero sport ทำได้ดีครับขับง่ายลัดเลาะได้อย่างสบาย หลุดพระราม2 ที่รถติดแบบบ้าพลังออกมามีโอกาสได้ลองกดคันเร่งยาวๆลองอัตราเร่งกันหน่อย เครื่องยนต์ดีเซล รหัส 4N15 4 สูบ แถวเรียง ขนาด 2.4 ลิตร 2,442 ซีซี. เทอร์โบแปรผัน VG-Turbo – Intercooler พร้อมระบบแปรผันวาล์ว MIVEC กำลังสูงสุด 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ซึ่งมันเป็นเครื่องยนต์เดิมจากรุ่นก่อนหน้า ซึ่งผมว่ามันเป็นเครื่องยนต์ที่ขนาดกำลังพอเหมาะกับการใช้งานไม่ใหญ่และเล็กจนเกินไป อัตราเร่งในช่วงต้นจากออกตัวดูจะหนืดๆอั้นๆ รอรอบหน่อยๆ แต่ช่วงกลางถึงปลายให้อัตราเร่งที่ดี ลื่นไหล การเร่งแซงในบางจังหวะต้องใช้การคลิ๊กดาวน์ช่วยบ้าง มี paddle shift แต่มันก็ยังคงติดกับคอพวงมาลัยซึ่งมันไม่หมุนตามขณะเราหมุนพวงมาลัยขัดใจผมเล็กน้อย เจ้าคันนี้เดินทางไกลสบายมากครับเพราะมันมี adaptive cruise control ที่สามารถตั้งระยะห่างจากคันหน้าได้แถมเบรกให้จนหยุดได้เลยฉลาดจริงๆรถสมัยนี้
ระบบช่วงล่างเดิมครับแต่มีการปรับปรุง และปรับเซ็ต เพราะรุ่นก่อนหน้ามันนิ่มแล้วย้วยเกินไป อืมๆ วิ่งในเมืองมันให้ความนุ่มนวลดี ดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีครับ มันดีขึ้นกว่าเดิมนะครับ แต่ผมว่ามันก็ยังนิ่ม และย้วยอยู่ดี เพราะเมื่อเราหลุดออกมานอกเมือง และเวลาวิ่งทางตรงยาวๆที่ใช้ความเร็วค่อนข้างสูง ตัวรถมีอาการย้วย และโคลง เข้าโค้งด้วยความเร็วตัวรถก็โยนเล็กน้อย ผมว่าถ้าปรับช่วงล่างให้แข็งขึ้นอีกนิดคงจะเฟริ์ม แน่น หนึบ มากกว่านี้ (ความเห็นส่วนตัวนะครับบางคนอาจจะชอบช่วงล่างที่นุ่มนวลแบบนี้ก็ได้)
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เราไม่ได้มาธรรมดาเพราะหลังจากวิ่งถนนออนโรดมาแล้ว เราจะขับเจ้า New Mitsubishi Pajero sport ลุยเขาป่าไปส่งมอบฝายชะลอน้ํา และโป่งเทียม กันเส้นทางออฟโรดนี้ไม่ได้โหดอะไรมาก แต่ที่มันยากกว่าที่คิดเพราะฝนดันตกหนักลงมาทำให้เส้นทางของเรานั้นกลายเป็นโคลนที่ค่อนข้างลึกและลื่นมาก เราเข้าไปโดนมีรถเจ้าหน้าที่นำทาง ด่านแรกที่เราเจอคือเราต้องขับข้ามธารน้ำ ไม่รอช้าครับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Super-Select 4WD-II ได้ใช้งานแล้วครับผมหมุนปรับเป็น 4H ทันทีโดยไม่ต้องหยุดรถ 4H (4WD HIGH-RANGE) ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ทำงานแบบ Full-Time All Wheel Control เหมาะกับสภาพถนนเปียกลื่นที่ใช้ความเร็ว ระบบส่งกำลัง Torsen (Torque Sensitive Type) จะถ่ายทอดกำลังเครื่องยนต์ไปยังล้อหน้า 40 % และล้อหลัง 60% บนถนนแห้ง และล้อหน้า 50 % ล้อหลัง 50% เมื่อถนนเปียกลื่น เพื่อถ่ายทอดกำลังได้อย่างเหมาะสมต่อการขับเคลื่อนไปบนทุกสภาพพื้นผิวถนน เพราะช่วงแรกยังไม่เท่าไหร่วิ่งผ่านธารน้ำ ขึ้นเนินลื่นและชันได้อย่างสบายไม่มีปัญหา เครื่องยนต์ก็พละกำลังเหลือเฟือ
ขาออกทางขึ้นเขาจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็น 4L เพราะเนินชัน และฝนตกลงมาอีกทำให้เส้นทางของเรากลายเป็นบ่อโคลน และร่องลึก ที่ลื่นมาก 4LLc (4WD LOW-RANGE WITH LOCKED TRANSFER) ระบบส่งกำลังจะถ่ายทอดกำลังเครื่องยนต์ไปยังล้อทั้ง 4 โดยมีระบบ Center Differential Locked ทำหน้าที่ในการส่งกำลังในอัตราส่วน ล้อหน้า 50% และล้อหลัง 50% เท่ากันตลอดเวลา และเกียร์ส่งกำลัง (Transfer Gear Ratio) จะเพิ่มอัตราทดให้สูงขึ้น ช่วยทำให้กำลังการขับเคลื่อนมีมากขึ้น เหมาะสำหรับสภาพเส้นทางที่ทุรกันดารมากๆ และมีโคลน หรือเส้นทางแบบมีเนินสลับและมีความลาดชันมากๆ (ในตำแหน่งนี้ไม่ควรใช้ความเร็วเกิน 70 กม./ชม.)
เราเดินคันเร่งเบาๆปล่อยให้รถเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆช้าๆผ่านออกมาได้อย่างสบายขับง่ายเพราะตัวรถและระบบต่างๆช่วยเราได้เยอะ ทั้งระบบ Super-Select 4WD-II ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA ระบบล็อคเฟืองท้าย Rear Differential Lock เรามีหน้าที่เดินคันเร่งและประครองพวงมาลัยเท่านั้น ขับง่ายมากจนพูดได้ว่า “ไม่ว่าใครก็สามารถขับลุยออฟโรดได้สบาย” ระบบช่วงล่างพอมาวิ่งทางออฟโรด เฮ้ย !!ดูดซับแรงสั้นสะเทือนจากพื้นผิวของถนนได้ดีที่เดียวครับ มันนุ่มนวล ขับสบาย คุมง่าย แบบนี้ซินะที่เรียกว่าได้อย่างเสียอย่าง วิ่งถนนออนโรดนิ่มเกินไปพอวิ่งถนนออฟโรดกลับนุ่มนวลพอดี
เจ้า New Mitsubishi Pajero sport คันนี้ยังมาพร้อม เทคโนโลยีความปลอดภัยครบครันยิ่งขึ้น ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก BA ระบบ Brake Override System ระบบควบคุมการทรงตัว Active Stability ระบบป้องกันการลื่นไถลและล้อหมุนฟรี Traction Control ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA ระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัวขณะลากจูง TSA ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว FCM ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรง UMS ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา BSMระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลนระยะไกล LCA – Lane Change Assist ระบบเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง RCTA – Rear Cross Traffic Alert ระบบล็อกความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control – ACC) เซนเซอร์กะระยะการจอด ด้านหน้า และ ด้านหลัง ระบบไฟฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน ESS กล้องมองภาพรอบคัน Multi Around View Monitor ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง (คู่หน้า-ด้านข้าง-ม่านนิรภัย-หัวเข่าคนขับ) ระบบกุญแจ Immobilizer และสัญญาณกันขโมย
New Mitsubishi Pajero sport คันนี้มีการปรับปรุงและเพิ่มออฟชั่นต่างๆเข้ามาหลายจุด ทั้งการดีไซน์ภายนอก ภายใน ระบบเพื่อความปลอดภัย ระบบช่วยในการขับขี่ เรียกได้ว่าจัดเต็มมาให้แบบครบๆแม้จะยังคงเป็นเครื่องยนต์และเกียร์ลูกเดิมแต่มันก็เพียงพอต่อการใช้งาน ช่วงล่างถ้าปรับปรุงอีกหน่อยให้มันแข็ง แน่น หนึบ ขึ้นอีกนิดก็จะเพอร์เฟค ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ใช้งานง่าย ตัวรถมีความคล่องตัวเมื่ออยู่ในเมือง และออกไปลุยได้เมื่อคุณอยากออกท่องเที่ยว แถมสามารถเติมน้ำมัน B20 ได้ด้วยครับ กับราคาจำหน่าย 2.4 GT 2WD 1,299,000 บาท 2.4 GT-Premium 2WD 1,469,000 บาท และ2.4 GT-Premium 4WD 1,599,000 บาท ผมว่าน่าสนใจไม่น้อยทีเดียวครับ
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th
[/expander_maker]