ลองขับ Next Generation Ford Everest เขี้ยวเล็บรอบคัน!
หลังจากที่ ฟอร์ด ประเทศไทย ได้เผยโฉม Next Generation Ford Everest ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ที่ถาโถมมาถึงวันนี้ เพิ่งจะได้ฤกษ์จัดงานทดลองขับกันสักที และต้องบอกว่าการพัฒนา Ford Everest ขึ้นมาใหม่นี้ ทางทีมวิศวกรได้นำความคิดเห็นและความต้องการของผู้บริโภคมาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการปรับปรุงเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด นั่นเท่ากับว่าถ้าคุณตะขิดตะขวงใจกับรถรุ่นนี้ คุณไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย ให้เลื่อนผ่านไปได้เลย แต่ถ้าอยากเปิดใจลองอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน
ก่อนไปถึงการทดลองขับ มาดูข้อมูลหลักๆ ของ Next Generation Ford Everest กันอีกครั้ง
Next Generation Ford Everest มีจำหน่ายทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ได้แก่
>> Ford Everest Titanium+ 4×4 10AT เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติแบบ E-Shifter 10 สปีด พละกำลัง 210 แรงม้าที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที ราคา 1,854,000 บาท
• Ford Everest Titanium+ 4×2 10AT เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติแบบ SelectShift 10 สปีด 210 แรงม้า ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ราคา 1,704,000 บาท
>> Ford Everest Sport 4×2 6AT เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยวทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พละกำลัง 170 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 405 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ราคา 1,464,000 บาท
• Ford Everest Trend 4×2 6AT เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด 170 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 405 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ราคา 1,334,000 บาท
โดยรถที่ ฟอร์ด ประเทศไทย จัดให้ทดลองขับเป็นรุ่นท๊อป Titanium+ 4×4 10AT ออปชั่นจัดเต็ม มีโหมดการขับมาให้ ไม่ว่าจะเป็น โหมดปกติ ที่ออกแบบเพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ที่ให้ทดสอบคู่กับระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชัน Stop and Go และระบบควบคุมรถให้อยู่กลางช่องทางที่ช่วยตรวจสอบช่องทางจราจรเพื่อให้รถอยู่ตรงกลางเลน ช่วยให้ผู้ขับขี่รักษาระยะห่างที่ปลอดภัย และจำกัดความเร็วได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะขณะขับขี่บนทางไฮเวย์ หรือเส้นทางที่ใช้ความเร็วสูงและมีรถพลุกพล่าน
โหมดประหยัด ทำงานด้วยการประเมินพฤติกรรมการขับขี่ และปรับการทำงานของระบบส่งกำลังและระบบควบคุมความเร็วให้เหมาะสม เพื่อเพิ่มอัตราการประหยัดน้ำมันให้ได้สูงสุด
โหมดทางลื่น ที่จะปรับการทำงานของเครื่องยนต์ เกียร์ และระบบควบคุมการยึดเกาะถนน เพื่อลดโอกาสที่ล้อจะหมุนฟรี ป้องกันการลื่นไถล
โหมดโคลน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ผิวที่ปกคลุมด้วยโคลน กรวด หรือร่องดิน พร้อมตะลุยผ่านได้อย่างมั่นใจด้วยระบบดิฟล็อคหลังไฟฟ้าที่ทำงานแบบอัตโนมัติในโหมดนี้ พร้อมเพิ่มการยึดเกาะให้เต็มประสิทธิภาพและรักษากำลังของรถไว้ ควบคู่กับการปล่อยให้ล้อหมุนด้วยความเร็วเพื่อรีดโคลนออกจากดอกยาง และด้วยความสูงของตัวถังระดับ 800 มม. ทำให้ไม่ต้องกังวลกับระดับน้ำท่วมขังที่ต้องเจอกันบ่อยๆ และยังมีกล้องมองภาพรอบคันแบบ 360 องศา ที่ช่วยให้การขับขี่มั่นใจปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ไม่เพียงเท่านี้ Next Generation Ford Everest ยังมี ฟอร์ดพาส (FordPass™) ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อและมีฟีเจอร์อำนวยความสะดวกที่หลากหลาย เช่น การสตาร์ทรถ ล็อกและปลดล็อก ปรับอุณหภูมิรถล่วงหน้า และตรวจสอบสถานภาพของรถผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย
นอกจากจะรองรับผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 7 ที่นั่งแล้ว เบาะนั่งแถวที่ 2 ของ Next Generation Ford Everest ยังปรับให้พับราบได้แบบ 60:40 ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 แบ่งสัดส่วน 50:50 พร้อมฟังก์ชั่นการพับเบาะแบบไฟฟ้าได้ง่ายๆ เพียงกดปุ่มบริเวณที่เก็บของท้ายรถในรุ่น Titanium+ ทำให้สามารถขนของที่มีขนาดใหญ่ได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้น
ห้องโดยสารของ Next Generation Ford Everest ยังกว้างขวางและนั่งสบายได้ทั้งครอบครัว ใส่ใจในรายละเอียดด้วย ‘จุดดักแอปเปิ้ล’ หรือแนวแผงกั้นบริเวณท้ายรถ ช่วยกันไม่ให้ของตกเมื่อเปิดประตูท้าย พร้อมที่เก็บของใต้พื้นรถ ช่วยให้การเก็บสัมภาระเป็นระเบียบยิ่งขึ้น เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง การแก้ปัญหาด้วยจุดดักแอปเปิ้ลนี้จึงเป็นอะไรที่ใส่ใจกับรายละเอียดมาก
ฟอร์ดยังได้ติดตั้งหน้าจอสีแบบสัมผัสขนาด 10.1 หรือ 12 นิ้ว มาให้เพื่อให้ผู้ขับขี่ควบคุมอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงและเชื่อมต่อการสื่อสารผ่านระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A ซึ่งเป็นระบบล่าสุดของฟอร์ด
ซึ่งหน้าจอนี้ยังรวบรวมปุ่มต่างๆ ที่จำเป็นใช้งานน้อย เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นเมนูในจอนี้แทน แต่ยังคงมีปุ่มหลักที่ใช้บ่อยติดตั้งเอาไว้ เช่น ปุ่มเปิด ปิด หน้าจอเครื่องเสียง, ปุ่มปรับระดับพัดลมเครื่องปรับอากาศ, ปุ่มไฟฉุกเฉิน, ปุ่มปรับโหมดการขับขี่ เป็นต้น
รวมทั้งความสะดวกในการช่วยให้การจอดรถเป็นเรื่องง่ายอย่าง ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ 2.0 ทำให้ Next Generation Ford Everest ช่วยให้ผู้ขับขี่จอดรถเทียบข้าง หรือถอยจอดเข้าซองได้ง่ายๆ เพียงกดปุ่มเดียว โดยระบบจะช่วยหมุนพวงมาลัย เปลี่ยนเกียร์ รวมถึงควบคุมคันเร่งและเบรก ให้รถเข้าสู่ช่องจอดได้อย่างง่ายดาย และระบบช่วยเบรกขณะถอยหลัง ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่ถอยรถได้มั่นใจยิ่งขึ้น ด้วยการตรวจจับวัตถุบริเวณท้ายรถ และส่งเสียงเตือน หากผู้ขับขี่ไม่สามารถตอบสนองได้ทัน ระบบจะส่งแรงเพื่อเบรกจนรถหยุดนิ่ง
มาในส่วนของการทดลองขับบนเส้นทางแบบ On Road เล่าให้ฟังเป็นข้อๆ เริ่มจากอัตราเร่งยังคงทำได้จัดจ้าน แม้ว่าตัวถังจะมีขนาดใหญ่ แต่ด้วยขุมพลังของ Ford Everest Titanium+ 4×4 10AT เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติแบบ E-Shifter 10 สปีด พละกำลัง 210 แรงม้าที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที ออกตัวได้กระฉับกระเฉง การเปลี่ยนเกียร์ทำได้ราบเรียบ แต่จะรู้สึกถึงการเปลี่ยนเกียร์ได้อยู่ โดยรวมถือว่าทำได้ราบเรียบดี และให้อัตราเร่งที่ต่อเนื่อง ความเร็วต้นถึงกลางทำได้เร็ว ความเร็วปลายไหลได้อีก
เกียร์แบบ e-Shifter ที่จะมีในรุ่น Titanium+ 4×4 10AT เท่านั้น
น้ำหนักพวงมาลัยในช่วงทำความเร็วสูงไม่หนัก ผู้หญิงบังคับควบคุมได้สบาย ส่วนในช่วงความเร็วต่ำ เบาสบาย คล่องตัว ระบบช่วงล่างถือว่านุ่มนวล และมีความกระด้างเล็กน้อย ช่วยให้ควบคุมรถในทางโค้งได้ดี ซึ่งช่วยให้ผู้โดยสารตอนหลังนั่งได้สบายขึ้น ท้ายไม่โยนจนเกินไปเมื่อใช้ความเร็วสูง
แต่ถ้าเป็นความเร็วกลางๆ ระดับ 60-100 กม./ชม. ถือว่านั่งได้สบายมาก และที่สำคัญ มีการใช้วัสดุกั้นและซับเสียงภายในห้องโดยสารที่ดีมาก ช่วยให้ลดเสียงดังที่เข้ามาในห้องโดยสารทั้งเสียงจากล้อ เสียงลม และเสียงเครื่องยนต์ ได้ยินน้อยมาก ขนาดที่ว่าการบันทึกเสียงจากกล้อง GoPro ที่ปกติจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์เข้ามาตลอดดังเข้ามาน้อยมากๆ
และที่ต้องชมตรงๆ คือ การออกแบบเบาะนั่งคนขับ ที่เลือกใช้ฟองน้ำคุณภาพสูง ที่ช่วยให้ลดภาวะความเมื่อยล้าของก้นและหลังได้อย่างดี เพราะผู้ทดสอบมีปัญหาเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อกระดูกก้นกบ ทำให้นั่งนานๆ ไม่ได้ นั่งแล้วจะเจ็บ แต่การนั่งที่เบาะนั่งตัวนี้ช่วยลดอาการเจ็บได้มากพอสมควร เนื้อฟองน้ำรองรับน้ำหนักได้ดีมาก เพราะฉะนั้นหากใครมีปัญหาเกี่ยวกับออฟฟิศซินโดรมสบายใจได้ คุณจะขับรถได้นานขึ้นโดยอาการเจ็บปวดที่มักเกิดขึ้นจะเบาลงอย่างแน่นอน จุดนี้คอนเฟิร์มได้เลย
ในส่วนของการขับแบบ On Road ถือว่า Next Generation Ford Everest ให้ความนุ่มนวล อัตราเร่งกระฉับกระเฉง ช่วงล่างนุ่มหนึบ ห้องโดยสารลดเสียงจากภายนอกได้ดีขึ้น และห้องโดยสารโปร่งโล่ง ทัศนวิสัยในการขับยังคงให้ความสะดวกสบายและมั่นใจได้
ส่วนการขับบนเส้นทาง Off Road ทำได้เฉิดฉายมาก ขับง่าย ปรับโหมดสะดวก ช่วงล่างซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี โดยทีมงานฟอร์ด จัดให้ขับบนเส้นทางที่มุ่งหน้าเข้าสู่ทางดินลูกรัง โคลน และหิน กรวด ทำให้ได้ลองใช้งานโหมดการขับที่ติดตั้งมาให้กันครบถ้วน
การปรับโหมดทำได้ง่าย หากเปลี่ยนเป็น 4H ไม่จำเป็นต้องเข้าเกียร์ N สามารถกดปุ่มได้ทันที แต่ถ้าจะใช้ 4L จะต้องเข้าเกียร์ N ก่อน แล้วจึงกดเปลี่ยนระบบขับเคลื่อน และเมื่อกดปุ่ม 4L รถจะเข้าสู่โหมด 4×4 พร้อมทั้งใส่ Diff Lock ที่เพลาขับหลังให้ทันที
ส่วนการเปลี่ยนโหมดการขับ สามารถหมุนเปลี่ยนโหมดได้ทันทีด้วยเช่นกัน ซึ่งจอแสดงผลที่มาตรวัดแบบดิจิตอลแสดงภาพกราฟฟิศได้ชัดเจนและน่าดูมากๆ นอกจากจะแสดงผลแบบสีที่คมชัดแล้ว ลูกเล่นกราฟฟิกเคลื่อนไหวทำได้น่าสนใจ และแสดงระดับองศาของพื้นถนนในจุดที่กำลังขับไปได้อีกด้วย ซึ่งหากขับด้วยความเร็วต่ำไม่เกิน 7 กม./ชม. สามารถเปิดกล้องมองภาพแบบ 360 องศา และเลือกมุมมองรอบคัน เพื่อความปลอดภัยได้อีกด้วย
ทำให้การขับแบบ Off Road บนเส้นทางที่ไม่ได้โหดมาก ใครๆ ก็สามารถขับ Next Generation Ford Everest ผ่านอุปสรรคได้อย่างง่ายๆ แบบนี้ต่อให้เจอน้ำท่วมขนาดไหนก็สบายใจได้ ขอแค่อย่างให้น้ำท่วมสูงถึงระดับไฟหน้าเท่านั้นก็พอ
สรุปกับ Next Generation Ford Everest ด้วยการลองขับสั้นๆ รวมถึงลองระบบขับเคลื่อน โหมดการขับขี่ และการลองระบบถอยจอดอัตโนมัติ ถือว่ายังคงทำได้น่าประทับใจ นอกจากเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ช่วงล่าง และฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ให้มาแล้ว
จุดที่ชอบอีกอย่างคือ การพับเบาะได้ราบเรียบ เพราะถ้าใครที่เป็นสายแคมป์จะถูกใจจุดนี้มาก ทำให้ใช้งานห้องโดยสารให้อเนกประสงค์ได้มากขึ้น บางทีไม่จำเป็นต้องบรรทุกอุปกรณ์เต็นท์ มีแค่เบาะลมปูนอนในรถก็สามารถนอนในรถได้สบายๆ พูดได้เลยว่า Next Generation Ford Everest มีเขี้ยวเล็บรอบคัน เหมาะกับไลฟ์สไตล์สายแคมป์มากๆ..ชักอยากจะลองขับไปกางเต็นท์ซะแล้วสิ.
เรื่อง : พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th