ET9 รถซีดานไฟฟ้าเรือธงเปลี่ยนแบตได้

Nio เผยโฉมรถซีดานไฟฟ้าระดับเรือธงรุ่น ET9 ออกมาเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ผ่านมาหนึ่งปีจึงได้มีการเปิดตัวรถรุ่นนี้อย่างเป็นทางการ พร้อมอ้างว่ามากับกับหลายประสบการความสบายและเทคโนโลยีเป็นครั้งแรก โดยรถที่ขายในจีนมีให้เลือก 4 เกรด

Nio ET9

Nio ET9 เป็นรถขนาดใหญ่ที่สุดของแบรนด์ด้วยความยาว 5,324 มม. กว้าง 2,016 มม. สูง 1,620 มม. ส่วนระยะฐานล้อของรถมีความยาว 3,250 มม. โดยเป็นรถรุ่นแรกของแบรนด์ที่อยู่บนแพลตฟอร์ม NT 3.0 ใหม่ และใช้สถาปัตยกรรม 900 V ครั้งแรกในจีน ด้านดีไซน์ของรถแม้ทางผู้ผลิตระบุว่าเป็นรถซีดาน แต่มีด้านหลังในสไตล์ฟาสต์แบ็กรวมทั้มีฝาท้ายที่สูงคล้ายรถเอสยูวี

Nio ET9

รถซีดานเรือธงใช้พลังงานในการขับเคลื่อนจากแบตเตอรีความจุ 100 kW ให้ระยะเดินทางได้ 650 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC อย่างไรก็ตามด้วยความยาวระยะฐานล้อของรถหมายความว่าจะสามารถเปลี่ยนแบตเตอรีได้เฉพาะกับสถานีเปลี่ยนแบตเตอรีเจเนเรชันที่ 3 ของแบรนด์ที่สามารถรองรับรถที่มีระยะฐานล้อยาวได้ถึง 3,300 มม. แต่ทางผู้ผลิตก็บอกว่าเมื่อมีสถานีชาร์จไฟเจเนเรชันที่ 4 จะใช้เวลาเปลี่ยนแบตเตอรีแค่ 144 วินาที และด้วยการที่รถมากับสถาปัตยกรรม 900V จึงทำให้สามารถใช้ช่องจ่ายไฟ 500V ถึง 1000V ได้โดยมีการชาร์จไฟได้สูงสุด 600 kW

Nio ET9

ในห้องโดยสารของรถนอกจากมีจอ Infotainment ขนาด 15.6 นิ้วแล้วยังมีจอขนาด 48 นิ้วความละเอียด 5K ยาวเต็มความกว้างของรถสำหรับแสดงข้อมูลการขับ นอกจากนี้ทางผู้ผลิตยังอ้างว่าเป็นรถรุ่นแรกที่มีการแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า AR Head-up Display ฟูลเรนจ์ที่ให้ความราบลื่นในการแสดงข้อมูลอย่างตำแหน่งของสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี

Nio ET9

จุดเด่นของรถถูกระบุว่าคือการให้ประสบการณ์เหมือนชั้นบิสซิเนสคลาสของเครื่องบิน เพราะรถมี 4 ที่นั่งโดยคอนโซลกลางยาวต่อเนื่องไปถึงเบาะหลัง นอกจากนี้ยังมีจอด้านหลังเบาะหน้าเพื่อความบันเทิงผู้นั่งที่เบาะหลัง รวมทั้งเบาะหลังในตำแหน่งหลังผู้ขับยังสามารถปรับเอนพนักพิงหลังได้ 135 องศา พร้อมมีระบบเสียง 2,800 วัตต์พร้อมลำโพง 35 ตำแหน่ง รวมไปถึงให้ความหรูด้วยการใช้หนัง Nappa รวมถึง 18 ตารางเมตร มีการใช้แผงไม้จากต้นไม้ต้นเดียวแต่ง และทุกจุดสัมผัสของรถปรับความอุ่นได้

การขับเคลื่อนรถใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 340 kW หรือ 456 แรงม้าติดตั้งที่ด้านหลังและมอเตอร์ไฟฟ้า 180 kW หรือ 241 แรงม้าติดตั้งที่เพลาหลัง ทำให้ใช้เวลา 4.3 วินาทีเพื่อทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. รวมทั้งใช้สองชิประบบขับเคลื่อนอัตโนมัติที่พัฒนาเองภายใน 31 เซ็นเซอร์รวมทั้งใช้ 4D Millimeter Wavelength Radar เป็นครั้งแรกสำหรับระบบช่วยขับอัตโนมัติ