NISSAN รถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2022
BEST SEDAN UNDER 1,000 c.c.
NISSAN ALMERA VL SPORTECH
สร้างกระแสตอบรับอย่างต่อเนื่อง สำหรับ NISSAN ALMERA VL SPORTECH ที่พ่วงด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยเต็มรูปแบบ จนกลายเป็นรถขวัญใจมหาชน ทั้งในด้านความสปอร์ต ความคุ้มค่า และความประหยัด ด้วยความโดดเด่นเหล่านี้ ทำให้คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิได้ลงคะแนนความเห็นว่า NISSAN ALMERA VL SPORTECH คือรถที่มีเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในกลุ่มรถ Sedan Under 1,000 c.c. ซึ่งความพิเศษจะมีอะไรบ้าง มาติดตามกัน
NISSAN ALMERA VL SPORTECH
ตัวแต่งพิเศษที่โดดเด่นสะดุดตา
NISSAN ALMERA VL SPORTECH มาพร้อมชุดแต่งสปอร์ตจากโรงงาน ประกอบด้วย กันชนหน้าดีไซน์ใหม่ ตกแต่งด้วยสีเงิน, กระจังหน้าโครเมียมสีดำเงา ทรงตะแกรงไขว้, กรอบไฟตัดหมอกใหม่, กันชนท้ายดีไซน์ใหม่ ตกแต่งด้วยสีเงิน, กระจกมองข้างสีเงิน, สปอยเลอร์ท้าย, สัญลักษณ์ SPORTECH บริเวณกระโปรงท้าย และล้ออัลลอยแบบ 5 ก้านคู่ สีดำปัดเงา ขนาด 15 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารของ NISSAN ALMERA VL SPORTECH ตกแต่งด้วยเบาะนั่งสีดำล้วน แผงคอนโซลหน้าสีดำ ตกแต่งด้วยตะเข็บสีเทาเข้ม พวงมาลัยหุ้มหนังทรงสปอร์ตตกแต่งด้วยวัสดุสีเทาเข้ม หัวเกียร์หุ้มหนังตกแต่งด้วยวัสดุสีเทาเข้มและวัสดุภายในสีดำ Piano Black เติมเต็ม ด้วยระบบอินโฟเทนเมนต์ขนาด 8 นิ้ว พร้อมช่องเชื่อมต่อ Bluetooth, USB และ AUX IN สำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วง พร้อมลำโพงคุณภาพดี 6 จุด และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์สมาร์ทโฟนอย่าง Apple CarPlay มาตรวัดเรือนไมล์แบบเรืองแสง Fine Vision Meter แบบ Digital ผ่านหน้าจอ TFT หน้าจอสีขนาด 7 นิ้ว / แสดงผลข้อมูลการขับขี่ / แสดงมาตรวัดอุณหภูมิภายนอกพวงมาลัย เบาะนั่งห้องโดยสารภายในที่มีสไตล์ ใช้วัสดุคุณภาพสูง และเน้นความประณีตในการประกอบ ช่วยเสริมความโดดเด่นและความหรูหราให้กับรถคันนี้ ด้วยปรัชญาการออกแบบลายเส้นของปีกเครื่องร่อนของนิสสัน (Nissan Gliding Wing) ถูกนำไปใช้ตกแต่งในส่วนแผงหน้ารถทำให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสได้ถึงแนวเส้นโค้งที่โฉบเฉี่ยวบริเวณคอนโซลกลาง ซึ่งมอบความประทับใจ และความสวยงามจากแนวปีกที่กว้างขึ้น
เครื่องยนต์ 1.0L Turbo
เทคโนโลยีแห่งความประหยัด
NISSAN ALMERA VL SPORTECH ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.0 ใหม่ ภายใต้รหัส HRA0 3 สูบแถวเรียง แบบ DOHC (Double Overhead Camshaft) ขนาดปริมาตรความจุ 999 ซี.ซี. ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์แบบ XTRONIC CVT พร้อม D-Step Logic ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล แต่ให้อัตราเร่งต่อเนื่องและทันใจ ตอบสนองอัตราเร่งแซงที่ดีขึ้น ช่วยให้การขับขี่มีประสิทธิภาพและประหยัดเชื้อเพลิงได้ดีขึ้นกว่าเดิม และด้วยเทคโนโลยี D-Step Logic สร้างการขับขี่ที่น่าตื่นเต้นและการส่งกำลังที่มีความละเอียดยิ่งขึ้น พร้อมมอบประสบการณ์บนท้องถนนให้ผู้ขับขี่เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเกียร์ทั่วไป ตอบสนองคันเร่งได้เป็นอย่างดี ให้การเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วขึ้น ทั้งยังมีการประหยัดเชื้อเพลิงที่โดดเด่นอีกด้วย
นอกเหนือจากประสิทธิภาพของเครื่องยนต์แล้ว เครื่องยนต์เทอร์โบ 1.0 ลิตร ใหม่ ที่อยู่ใน Nissan Almera 1.0 Turbo ยังเต็มไปด้วยนวัตกรรมทางเทคนิคมากมาย เช่น ลูกสูบแบบ Delta Cylinder Head, หัวฉีดแบบ Central Injector และ Turbocharger ที่ควบคุมไอเสียด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงเทคโนโลยีเคลือบบนกระบอกสูบแบบ Mirror Bore Coating เช่นเดียวกับที่ใช้ในรถซูเปอร์สปอร์ตอย่าง Nissan GT-R ซึ่งเพิ่มความทนทาน ช่วยลดการสึกหรอ และน้ำหนักของกระบอกสูบ ในขณะที่ปรับปรุงเรื่องการระบายความร้อนและการเผาไหม้
NISSAN ALMERA VL SPORTECH มาพร้อมกับประสิทธิภาพอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีที่สุดในรถยนต์ระดับเดียวกันถึง 23.3 กม.ต่อลิตรให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้า (PS) มีแรงบิดถึง 152 นิวตันเมตร (Nm) ตั้งแต่รอบเครื่องที่ 2,400 ถึง 4,000 รอบต่อนาที นอกจากนี้ยังมีระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติ เมื่อรถหยุดนิ่ง (Idling Stop) ช่วยให้ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น สามารถเปิด-ปิดระบบการทำงานได้
เหนือกว่าด้วยเทคโนโลยี
ความปลอดภัยล้ำสมัย
NISSAN ALMERA VL SPORTECH ยังมาพร้อมด้วยเทคโนโลยีของนิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี (Nissan Intelligent Mobility) และเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง Nissan Intelligent Safety Shield อาทิ เทคโนโลยีสัญญาณเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์ด้านหน้าขณะขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning – IFCW), เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking – IEB) โดยระบบจะช่วยวิเคราะห์ระยะห่างและความเร็วของรถยนต์ด้านหน้า เพื่อชะลอความเร็วและหยุดรถ ให้ความเสียหายที่จะเกิดจากอุบัติเหตุบรรเทาลง, เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning – BSW), เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert – RCTA), ระบบจะตรวจเช็กรถที่กำลังเคลื่อนเข้ามาทางด้านหลังทั้งซ้ายและขวา ระบบจะส่งสัญญาณเตือนพร้อมไฟกะพริบเตือนในด้านเดียวกันกับที่มีรถเคลื่อนที่เข้ามา, เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor – IAVM), เทคโนโลยีตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน Moving Object Detection (MOD) ซึ่งทำหน้าที่ตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนเมื่อตรวจพบบุคคลหรือวัตถุที่กล้องรอบคันจับการเคลื่อนไหวได้ เทคโนโลยีอัจฉริยะนี้จึงช่วยเพิ่มความปลอดภัย, เทคโนโลยีควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (Vehicle Dynamic Control – VDC) ระบบนี้จะช่วยรักษาเสถียรภาพการทรงตัวของรถขณะหักหลบกะทันหันหักเลี้ยวอย่างมั่นใจ, เทคโนโลยีช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA) เมื่อขับรถขึ้นบนทางลาดชัน ระบบจะช่วยป้องกันไม่ไห้ไหลลงขณะออกตัว เมื่อยกเท้าออกจากแป้นเบรก ระบบจะสั่งให้เบรกทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเหยียบคันเร่งและออกตัวอย่างนุ่มนวล
นอกจากเทคโนโลยี นิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี แล้ว NISSAN ALMERA VL SPORTECH ยังอัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่มความปลอดภัยทั้งในเชิงการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ (Active Safety) และระบบลดความรุนแรง ความเสียหายจากอุบัติเหตุ (Passive Safety) อันได้แก่ โครงสร้างตัวถังเป็นแบบ Zone Body Concept เพิ่มความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และกระจายแรงกระแทก เพื่อปกป้องห้องโดยสารและผู้โดยสารกรณีเกิดอุบัติเหตุ, 6 ถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งอยู่ในนิสสัน อัลเมร่า ใหม่ ทุกรุ่น ขณะที่ด้านข้าง (side airbags) และม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง (curtain airbags) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรุ่น VL, เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า ปรับสูง-ต่ำได้ เพื่อความเหมาะสมกับสรีระของผู้ขับขี่และผู้โดยสารแต่ละคน โดยเข็มขัดนิรภัยด้านหน้าเป็นแบบ ELR 3 จุด แบบดึงกลับอัตโนมัติ และผ่อนแรงอัตโนมัติ ด้านหลังเป็นแบบ ELR 3 จุด ครบทั้ง 3 ตำแหน่ง นอกจากนี้ยังเพิ่มความปลอดภัยสำหรับผู้โดยสารที่เป็นเด็ก ด้วยจุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX และระบบป้องกันเด็กเปิดประตูจากภายในรถ, ระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) และระบบเสริมแรงเบรก (BA) และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED เห็นได้ชัดเจน โดยระบบเบรกหน้าเป็นแบบดิสก์เบรก พร้อมช่องระบายความร้อน ขณะที่ด้านหลังเป็นแบบดรัมเบรก
ทั้งหมดที่ได้กล่าวถึงนี้ คือความพิเศษที่เหล่าคณะกรรมการต่างลงคะแนนให้ NISSAN ALMERA VL SPORTECH คือรถที่มีความสุดยอดด้านเทคโนโลยีมากที่สุดในกลุ่มรถ Eco Car และได้รับรางวัล Best Sedan Under 1,000 c.c. มาครองได้สำเร็จ
BEST 4WD PICKUP UNDER 2,500 c.c.
NISSAN NAVARA 4WD PRO-4X 7AT
นับว่าเป็นรถที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ปิกอัพอย่างสิ้นเชิงสำหรับ Nissan Navara 4WD PRO-4X 7AT รถปิกอัพขาลุยที่ครบเครื่องทั้งความแข็งแกร่ง ความทนทาน พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ ทำให้สามารถคว้ารางวัล Best 4WD Pickup Under 2,500 c.c. มาครองได้อย่างไร้ข้อกังขา ซึ่งความโดดเด่นจะมีอะไรบ้าง สามารถติดตามได้ใน Car of The Year 2022
ดีไซน์ดุดัน มีเอกลักษณ์ที่ลงตัว
Nissan Navara 4WD PRO-4X 7AT ได้รับการปรับปรุงให้มีความโดดเด่น จดจำได้ง่าย ด้วยดีไซน์กระจังหน้าแบบ “Interlock” โดยมาพร้อมไฟหน้าแบบ Quad-Eye LED ไฟหน้าแอลอีดีใหม่ แบบโปรเจคเตอร์สี่ดวง เพิ่มความสว่างและความมีสไตล์ โดดเด่นด้วยรูปทรงสลับซับซ้อน ให้ความกระฉับกระเฉง ขณะที่ด้านหลังเสริมด้วยไฟท้ายแอลอีดี ดีไซน์ใหม่ที่สอดรับกับบุคลิกที่แข็งแกร่ง เพิ่มความสว่างและความปลอดภัยขึ้นอีกขั้น สำหรับการขับขี่ในเวลากลางคืน และเพื่อความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้น นิสสัน นาวารา ในส่วนของพื้นที่กระบะตอนท้ายได้เพิ่มสเต็ปด้านท้ายรถ เพื่อความสะดวกสบายในการใช้งานขึ้น-ลง รวมถึงบันไดด้านข้างที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพตามหลักอากาศพลศาสตร์ในการลดเสียงลม และเสริมในแง่ของอัตราการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง โดยทั้งหมดเสริมความดุดันและความแข็งแกร่งของ นิสสัน นาวารา ตอกย้ำศักยภาพของรถยนต์นิสสันที่สามารถ “ลุยได้ทุกที่” หรือ “Go Anywhere”
ภายในห้องโดยสาร นิสสัน นาวารา
ใหม่ ยังให้ความเงียบด้วยกระจกแบบ Noise-reducing acoustic glass ที่ลดเสียงรบกวนจากภายนอก เพื่อความสุนทรีย์ขณะเดินทางของผู้ขับ และผู้โดยสาร เสริมความสปอร์ตดุดันด้วยดีไซน์ตกแต่งภายในโทนดำพร้อมเบาะสีดำเดินตะเข็บสีแดง นอกจากนี้ ที่นั่งด้านหน้าได้เพิ่มความสะดวกกับผู้ขับขี่ด้วยแผงหน้าจอกลางแสดงข้อมูล และความบันเทิงระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว และหน้าจอสีแสดงผลสามมิติแบบ TFT ความละเอียดสูง ขนาด 7 นิ้ว ขณะที่ที่นั่งด้านหลังเพิ่ม
ความสบายด้วยดีไซน์ใหม่ นุ่มสบาย เข้ากับสรีระของผู้โดยสาร มีที่พักแขนตรงกลางพร้อมที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง ตอบโจทย์ด้านอรรถประโยชน์ของการใช้งานผู้โดยสาร
ขุมพลัง 2.3 ลิตร 190 แรงม้า
Nissan Navara 4WD PRO-4X 7AT มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ DOHC ทวินเทอร์โบ ความจุ 2.3 ลิตร กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที รองรับน้ำมันดีเซลทุกประเภท ทั้ง B7, B10 และ B20 เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ พร้อมโหมดการขับแบบแมนนวล ช่วงล่างหนักแน่น มั่นใจ ด้วยระบบกันสะเทือนรูปแบบมาตรฐานของรถกระบะ ด้านหน้าอิสระ ปีกนก 2 ชั้น พร้อมเหล็กกันโคลงด้านหลังคานแข็งแหนบซ้อน
ในระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Nissan Navara 4WD PRO-4X 7AT มาพร้อมระบบล็อกไฟฟ้าเพื่อการใช้งานที่แตกต่างตามสภาพพื้นผิวถนน ฟังก์ชัน shift-on-the-fly ทำให้ผู้ขับสามารถเปลี่ยนจากการขับขี่แบบสองล้อหรือ two-wheel drive (2H) เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อหรือ four-wheel driver (4H) เพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อเจอกับสภาพถนนที่เปียกลื่น นอกจากนี้ยังมีโหมดการขับขี่แบบความเร็วต่ำ low range four-wheel drive (4LO) สำหรับการขับขี่บนพื้นทราย โคลน ลุยน้ำ ปีนขึ้นที่สูง หรือลงในเส้นทางลาดชัน
ระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ
Nissan Navara 4WD PRO-4X 7AT อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีจาก นิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี ที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับรถยนต์ในเซ็กเมนต์เดียวกัน เสริมความปลอดภัยแบบ 360 องศา รอบคัน เพื่อปกป้องผู้โดยสารจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เสริมความรู้สึกอุ่นใจในขณะขับขี่ด้วยเทคโนโลยีเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning – IFCW) ที่จะส่งสัญญาณเสียงพร้อมสัญลักษณ์เตือนบนหน้าปัด หากพบความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้า และเทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking – IEB) ที่จะช่วยวิเคราะห์ระยะห่างและความเร็วของรถยนต์ด้านหน้า เพื่อชะลอความเร็ว และหยุดรถ เพื่อลดความรุนแรง หรือลดความเสียหายที่จะเกิดจากอุบัติเหตุ
สำหรับการเดินทางไกล หรือวันทำงานที่เหนื่อยล้า การขับขี่รถยนต์ด้วยความปลอดภัยและความสะดวกสบายเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่เคย นิสสัน นาวารา ใหม่ จึงมาพร้อม ระบบเตือนคนขับอัจฉริยะ (Intelligent Driver Alertness – IDA) ซึ่งจะแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่หยุดพัก เมื่อตรวจพบการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขับขี่ หรือการหักเลี้ยว ที่จะทำงานร่วมกับระบบเทคโนโลยีเตือนเมื่อรถออกนอกเส้นทาง (Lane Departure Warning – LDW) ที่จะเตือนผู้ขับขี่หากรถเคลื่อนออกนอกเลนโดยไม่มีสัญญาณไฟเลี้ยวกำกับ ในขณะที่เทคโนโลยีควบคุมรถเมื่อออกนอกช่องทางอัจฉริยะ (Intelligent Lane Intervention – ILI) จะนำรถยนต์กลับไปที่กึ่งกลางของเลน หากยังมีการเคลื่อนที่ต่อไป เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่มากขึ้น ด้วยเทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning – BSW) เพื่อหลีกเลี่ยงการชนกับรถคันอื่นที่อยู่ในจุดอับสายตา
Nissan Navara 4WD PRO-4X 7AT ยังยกระดับความปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (IntelligentAround View Monitor – IAVM) ที่ทำงานควบคู่กับเทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (Moving Object Detection – MOD) ซึ่งจะใช้กล้อง 4 ตัว เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นภาพวัตถุโดยรอบ หรือที่กำลังเข้ามาใกล้ ช่วยให้การหลบหลีกง่ายขึ้นในกิจกรรมต่างๆ เช่น การจอดรถแบบขนาน การกำหนดตำแหน่งของรถในระหว่างพ่วงรถหรือลากจูง และนี่เป็นครั้งแรกกับระบบ ทั้งยังมีจอมอนิเตอร์ระบบ Off-Road Meter ที่ช่วยให้เห็นอุปสรรครอบคันขณะขับขี่ในโหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ 4LO ช่วยให้ผู้ที่ชื่นชอบการขับรถในเส้นทางยากลำบากลุยไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ นิสสัน นาวารา ใหม่ ยังมาพร้อมเทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert – RCTA) ที่จะช่วยลดความกังวลที่มาพร้อมกับมุมมองที่ถูกจำกัดเมื่อตอนถอยรถ โดยระบบจะตรวจสอบด้านหลังของรถและเตือนผู้ขับขี่หากมีวัตถุเข้าใกล้จากด้านใดด้านหนึ่ง
ซึ่งทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้ คือความคุ้มค่าแบบเหนือชั้น ที่ทำให้เหล่าคณะกรรมการผู้ทดสอบได้ลงความเห็นให้ Nissan Navara 4WD PRO-4X 7AT คว้ารางวัล Best 4WD Pickup Under 2,500 c.c. ใน Car of The Year 2022
BEST DIESEL 4WD PPV UNDER 2,500 c.c.
NISSAN TERRA MC 2.3 4WD 7AT
หนึ่งในรถ PPV ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ ลงตัวและคุ่มค่า Nissan Terra MC 2.3 4WD 7AT นับว่าเป็นเรือธงสำคัญที่คนต่างนึกถึง ด้วยการออกแบบที่โฉบเฉี่ยวล้ำสมัย คงสไตล์ความแข็งแกร่งได้อย่างครบถ้วน พร้อมทั้งตอบสนองทุกกรใช้งานได้อย่างลงตัว จึงทำให้ได้รับผลโหวตจากคณะกรรมการให้เป็น “ที่สุด” ของรถยนต์ PPV ขับเคลื่อน 4 ล้อ ในการทดสอบ Car of The Year 2022 ซึ่งความสุดยอดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามได้ในบททดสอบครั้งนี้…
จุดเด่นที่น่าจับตา
Nissan Terra พัฒนาจากประสบการณ์ที่มีในรถยนต์อเนกประสงค์หรือเอสยูวี กว่า 60 ปี ของนิสสันที่เคยผลิตรถรุ่นที่มีชื่อเสียงมากมายต่างๆ อาทิ นิสสัน พาโทรล โดยคุณสมบัติที่โดดเด่นของ นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่ ได้แก่ Nissan Terra ใช้เครื่องยนต์ดีเซล YS23DDTT ทวินเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ DOHC ขนาด 2,298 ซี.ซี. มาพร้อมหัวฉีดเชื้อเพลิงระบบไดเร็คอินเจคชัน ให้พละกำลังสูงสุด 190 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน จึงทำให้ขับเคลื่อนได้อย่างราบรื่นและทรงพลังเมื่อต้องการ
l ระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 7 สปีด
ที่มาพร้อมโหมดขับขี่แบบแมนวล (M mode) ที่โดดเด่นด้านพละกำลัง
l ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4×4 พร้อม
ระบบล็อกไฟฟ้าเพื่อการใช้งานที่แตกต่างตามสภาพพื้นผิวถนน ฟังก์ชัน shift-on-the-fly ทำให้ผู้ขับสามารถเปลี่ยนจากการขับขี่แบบสองล้อหรือ two-wheel drive (2H) เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อหรือ four-wheel driver (4H) เพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อเจอกับสภาพถนนที่เปียกลื่น นอกจากนี้ยังมีโหมดการขับขี่แบบความเร็วต่ำ low range four-wheel drive (4LO) สำหรับการขับขี่บนพื้นทราย โคลน ลุยน้ำ ปีนขึ้นที่สูง หรือลงในเส้นทางลาดชัน
l ตัวถังบนแชสซีออกแบบมาเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง
สำหรับการขับขี่แบบสมบุกสมบัน อย่างการขับขี่แบบออฟโรด
l ระบบช่วงล่างหลังคอยล์สปริงแบบ Five-link และเพลาล้อหลังที่แข็งแรง
มอบทั้งความสะดวกสบาย และความทนทานให้กับผู้ขับขี่
l ระยะความสูงจากพื้นถนนถึงใต้ท้องรถ 225 มิลลิเมตร
ลดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากพื้นถนนที่ขรุขระ มีหลุมบ่อไม่ราบเรียบ หรือการขับรถผ่านพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังได้อย่างมั่นใจ
เทคโนโลยีความปลอดภัย
รอบคัน 360° Safety Shield
เทคโนโลยีกระจกมองหลังอัจฉริยะ หรือ Intelligent Rear View Mirror (IRVM) Nissan Terra มีหน้าจอ LCD ที่กระจกมองหลัง ในการแสดงภาพที่มาจากกล้องด้านหลังตัวรถ โดยภาพบนจอจะช่วยให้ผู้ขับขี่เห็นทัศนวิสัยด้านหลังได้ในมุมกว้าง โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับเปลี่ยนระหว่างจอแสดงภาพจากกล้อง หรือจากกระจกปกติได้ เพื่อช่วยให้การมองเห็นสภาพการจราจรด้านหลังได้อย่างชัดเจนที่สุด สำหรับเทคโนโลยี IRVM นี้ ช่วยเสริมความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่ ในกรณีที่มีการบรรทุกสัมภาระหรือมีผู้โดยสารนั่งด้านหลัง
l เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง หรือ Intelligent Around View Monitor (IAVM) ระบบ IAVM ช่วยให้ผู้ขับสามารถมองเห็นสภาพรอบตัวยานพาหนะได้ทั่วทุกทิศทาง ด้วยการสร้างภาพมุมสูง
แบบ bird’s-eye view รอบตัวรถ จึงทำให้สามารถควบคุมตัวรถระหว่างถอยจอด รวมถึงเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างง่ายดาย แม้ในพื้นที่แคบ
l เทคโนโลยีตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน หรือ Moving Object Detection (MOD) เทคโนโลยี MOD จะตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนทุกครั้ง เมื่อมีวัตถุหรือบุคคลที่เคลื่อนไหวอยู่ใกล้ตัวรถ โดยจับการเคลื่อนไหวจากภาพของกล้องที่อยู่รอบๆ ในยามที่ต้องการจอดรถ หรือการเคลื่อนตัวช้าๆ เมื่อมีสิ่งเคลื่อนไหว ระบบจะส่งทั้งภาพและเสียงเตือนผู้ขับ ทั้งนี้ กล้องทั้งสี่ตัวรอบคันรถ สามารถแจ้งเตือนผู้ขับได้ใน 3 สถานการณ์ คือ เมื่อรถจอดหรือหยุดนิ่ง เมื่อรถเคลื่อนตัวไปข้างหน้า หรือเมื่อเคลื่อนถอยหลัง
l เทคโนโลยีเตือนจุดบอดหรือจุดอับสายตาอัจฉริยะ หรือ Blind Spot Warning (BSW) เทคโนโลยี BSW จะทำงานเมื่อพบว่ามียานพาหนะอื่นเข้าใกล้ตัวรถในบริเวณจุดอับสายตา และทำการแจ้งเตือน โดยคนขับจะได้รับทั้งเสียงเตือนและสัญญาณไฟกะพริบที่กระจกมองข้าง
l เทคโนโลยีเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทางอัจฉริยะ หรือ Lane DepartureWarning (LDW) เทคโนโลยีนี้จะแจ้งเตือนด้วยสัญญาณภาพและเสียง เมื่อรถเคลื่อนที่ออกนอกช่องทาง โดยระบบจะทำงานเมื่อมีการขับเคลื่อนด้วยความเร็วมากกว่า 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ความทันสมัย
ที่มาพร้อมความสะดวกสบาย
Nissan Terra มาพร้อมกับการออกแบบภายในห้องโดยสารให้ทุกที่นั่งมีพื้นที่ในการยืดขาที่กว้างกว่าเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน การตกแต่งภายในเน้นความนสมัย ที่มอบทั้งความสบายและอรรถประโยชน์ของการใช้งานให้ทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร โดยคุณสมบัติต่างๆ ได้แก่
l การออกแบบด้านหน้า กระจังหน้าแบบ V-Motion อันเป็นเอกลักษณ์การออกแบบเฉพาะของนิสสัน พร้อมไฟหน้า LED ทรงบูมเมอแรง พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (Daytime Running Light) และไฟท้าย LED แบบ light guide
l ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ที่ให้การขับขี่ที่ตื่นเต้นทั้งการขับขี่สภาพถนนแบบออนโรดและออฟโรด
l เบาะนั่งหุ้มหนัง ไฟส่องสว่างในห้องผู้โดยสาร เบาะนั่งที่กว้างขวาง รวมถึงเบาะนั่งคู่หน้าแบบ Zero Gravity ที่ช่วยให้ทุกช่วงเวลาเดินทางถูกโอบล้อมด้วยความหรูหราและสะดวกสบาย
l เบาะนั่งแถวที่ 2 นอกจากจะเข้า-ออกได้อย่างง่ายดายแล้ว ยังมาพร้อมระบบพับเบาะอัตโนมัติ (1-Touch Remote Fold and Tumble Seats) ที่สามารถสั่งการได้จากตำแหน่งผู้ขับ แค่เพียงการกดที่ปุ่มเดียว
l เบาะหนังสีดำตัดขอบด้วยวัสดุสีเบจ มอบความสวยงามและความสะดวกสบาย เพื่อประสิทธิภาพในการขับขี่ โดยที่นั่งตำแหน่งผู้ขับยังสามารถปรับได้ตามสรีระร่างกาย
l ที่วางแก้วน้ำสำหรับเบาะนั่งแถวที่ 1 แถวที่ 2 และแถวที่ 3
l มาตรวัดแสดงข้อมูลการขับขี่อัจฉริยะแบบ 3 มิติ Multifunction Intelligent Display (MID) ที่แสดงผลข้อมูลการขับขี่ ระยะเวลาที่เข้ารับการตรวจสอบสภาพรถ ระดับอุณหภูมิภายนอกรถ นาฬิกาดิจิทัล เสียงเตือนในกรณีที่ไม่ได้ปิดไฟหน้า และสัญญาณเตือนกันการลืมกุญแจภายในรถ
l ระบบความบันเทิงในรถรุ่นนี้ Nissan Connect ขนาด 9 นิ้วและหน้าจอแบบทัชสกรีน พร้อม Wireless Apple CarPlay / Android Auto พร้อมระบบนำทาง และเครื่องเสียง Bose ลำโพง 8 ตำแหน่ง พร้อม แอมพลิฟายเออร์…
l ระบบปรับอากาศกระจายความเย็นรอบทิศทางแบบ 360 องศา มอบความเย็นสบายให้ทุกที่นั่งทั่วทั้งห้องโดยสาร โดยสามารถควบคุมความเร็วของพัดลมจากที่นั่งตอนหลังได้อีกด้วย
…และนี่คือความโดดเด่นเหนือใครที่ทำให้ Nissan Terra MC 2.3 4WD 7AT ได้รับการคัดเลือกให้เป็น Best Diesel 4WD PPV Under 2,500 c.c. ประจำปี 2022 จากคณะกรรมการผู้เข้าทดสอบ