Nissan รถยอดเยี่ยมแห่งปี 2023
NISSAN
ALMERA VL
“ยังคงเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ถ่ายทอดความโดดเด่นในเรื่องการออกแบบที่สะดุดตา ดีไซน์ที่สปอร์ตโฉบเฉี่ยว และภายในที่กว้างขวาง แสดงถึงความรู้สึกหรูหรา โดดเด่น คุ้มค่า ซึ่งเป็นเหตุผลให้ NISSAN ALMERA VL สามารถคว้ารางวัล BEST SEDAN UNDER 1,000 c.c. มาครองได้สำเร็จ ความยอดเยี่ยมจะมีอะไรบ้าง ติดตามได้ใน Car of The Year 2023”
จุดเด่นที่คณะกรรมการลงคะแนน
เครื่องยนต์ 1.0L Turbo เทคโนโลยีแห่งความประหยัด
NISSAN ALMERA VL ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.0 ลิตร ใหม่ ภายใต้รหัส HRA0 3 สูบ แถวเรียงแบบ DOHC (Double Overhead Camshaft) ขนาดปริมาตรความจุ 999 ซี.ซี. ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์แบบ XTRONIC CVT พร้อม D-Step Logic ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล แต่ให้อัตราเร่งต่อเนื่องและทันใจ ตอบสนองอัตราเร่งแซงที่ดีขึ้น ช่วยให้การขับขี่มีประสิทธิภาพและประหยัดเชื้อเพลิงได้ดีขึ้นกว่าเดิม และด้วยเทคโนโลยี D-Step Logic สร้างการขับขี่ที่น่าตื่นเต้นและส่งกำลังที่มีความละเอียดยิ่งขึ้น พร้อมมอบประสบการณ์บนท้องถนนให้ผู้ขับขี่ เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเกียร์ทั่วไป ตอบสนองคันเร่งได้เป็นอย่างดี ให้การเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วขึ้นแต่ยังมีการประหยัดเชื้อเพลิงที่โดดเด่นอีกด้วย
นอกเหนือจากประสิทธิภาพของเครื่องยนต์แล้ว เครื่องยนต์เทอร์โบ 1.0 ลิตร ใหม่ ที่อยู่ใน NISSAN ALMERA VL ยังเต็มไปด้วยนวัตกรรมทางเทคนิคมากมาย เช่น ลูกสูบแบบ Delta Cylinder Head, หัวฉีดแบบ Central Injector และ Turbocharger ที่การควบคุมไอเสียด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงเทคโนโลยีเคลือบบนกระบอกสูบแบบ Mirror Bore Coating เช่นเดียวกับที่ใช้ในรถซูเปอร์สปอร์ตอย่าง NISSAN GT-R ซึ่งเพิ่มความทนทาน ช่วยลดการสึกหรอ และน้ำหนักของกระบอกสูบ ในขณะที่ปรับปรุงเรื่องการระบายความร้อนและการเผาไหม้
NISSAN ALMERA VL มาพร้อมกับประสิทธิภาพอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีที่สุดในระดับรถยนต์เดียวกัน ถึง 23.3 กม.ต่อลิตร ให้กำลังสูงสุด 100 พีเอส (PS) มีแรงบิดถึง 152 นิวตันเมตร (Nm) ตั้งแต่รอบเครื่องที่ 2,400 ถึง 4,000 รอบต่อนาที นอกจากนี้ยังมีระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติ เมื่อรถหยุดนิ่ง (Idling Stop) ช่วยให้ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น สามารถเปิด-ปิด ระบบการทำงานได้
เหนือกว่าด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัย
NISSAN ALMERA VL ยังมาพร้อมด้วยเทคโนโลยีของนิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี (Nissan Intelligent Mobility) และเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง Nissan Intelligent Safety Shield อาทิ เทคโนโลยีสัญญาณเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์ด้านหน้าขณะขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning – IFCW), เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking – IEB) โดยระบบจะช่วยวิเคราะห์ระยะห่างและความเร็วของรถยนต์ด้านหน้า เพื่อชะลอความเร็วและหยุดรถ ให้ความเสียหายที่จะเกิดจากอุบัติเหตุบรรเทาลง, เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning – BSW), เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert – RCTA) ระบบจะตรวจเช็กรถที่กำลังเคลื่อนเข้ามาทางด้านหลังทั้งซ้ายและขวา ระบบจะส่งสัญญาณเตือนพร้อมไฟกะพริบเตือนในด้านเดียวกันกับที่มีรถเคลื่อนที่เข้ามา, เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor – IAVM) เทคโนโลยีตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน Moving Object Detection (MOD) ซึ่งทำหน้าที่ตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนเมื่อตรวจพบบุคคลหรือวัตถุ ที่กล้องรอบคันจับการเคลื่อนไหวได้ เทคโนโลยีอัจฉริยะนี้จึงช่วยเพิ่มความปลอดภัย, เทคโนโลยีควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (Vehicle Dynamic Control – VDC) ระบบนี้จะช่วยรักษาเสถียรภาพการทรงตัวของรถขณะหักหลบกะทันหัน หักเลี้ยวอย่างมั่นใจ, เทคโนโลยีช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA) เมื่อขับรถขึ้นบนทางลาดชัน ระบบจะช่วยป้องกันไม่ไห้ไหลลงขณะออกตัว เมื่อยกเท้าออกจากแป้นเบรก ระบบจะสั่งให้เบรกทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเหยียบคันเร่งและออกตัวอย่างนุ่มนวล
นอกจากเทคโนโลยี นิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี แล้ว NISSAN ALMERA VL ยังอัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่มความปลอดภัยทั้งในเชิงการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ (Active Safety) และระบบลดความรุนแรง ความเสียหายจากอุบัติเหตุ (Passive Safety) อันได้แก่ โครงสร้างตัวถังเป็นแบบ Zone Body Concept เพิ่มความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และกระจายแรงกระแทก เพื่อปกป้องห้องโดยสารและผู้โดยสารกรณีเกิดอุบัติเหตุ, 6 ถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งอยู่ในนิสสันอัลเมร่า ใหม่ ทุกรุ่น ขณะที่ด้านข้าง (side airbags) และม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง (curtain airbags) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรุ่น VL, เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า ปรับสูง-ต่ำได้ เพื่อความเหมาะสมกับสรีระของผู้ขับขี่และผู้โดยสารแต่ละคน โดยเข็มขัดนิรภัยด้านหน้าเป็นแบบ ELR 3 จุด แบบดึงกลับอัตโนมัติ และผ่อนแรงอัตโนมัติ ด้านหลังเป็นแบบ ELR 3 จุด ครบทั้ง 3 ตำแหน่ง นอกจากนี้ยังเพิ่มความปลอดภัยสำหรับผู้โดยสารที่เป็นเด็กด้วยจุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX และระบบป้องกันเด็กเปิดประตูจากภายในรถ, ระบบเบรก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) และระบบเสริมแรงเบรก (BA) และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบแอลอีดี เห็นได้ชัดเจน โดยระบบเบรกหน้าเป็นแบบดิสก์เบรก พร้อมช่องระบายความร้อน ขณะที่ด้านหลังเป็นแบบดรัมเบรก
ภายในกว้างและอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย
ขณะที่ภายในของ NISSAN ALMERA VL ได้รับการออกแบบให้ใช้งานง่าย ด้วยหน้าจอแสดงผลใหม่ ระบบอินโฟเทนเมนต์ขนาด 8 นิ้ว พร้อมช่องเชื่อมต่อ Bluetooth, USB และ AUX IN สำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วง พร้อมลำโพงคุณภาพดี 6 จุด และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์สมาร์ทโฟน อย่าง Apple CarPlay, มาตรวัดเรือนไมล์แบบเรืองแสง Fine Vision Meter แบบ Digital ผ่านหน้าจอ TFT, หน้าจอสีขนาด 7 นิ้ว / แสดงผลข้อมูลการขับขี่ / แสดงมาตรวัดอุณหภูมิภายนอก, พวงมาลัย, เบาะนั่งห้องโดยสารภายในที่มีสไตล์ ใช้วัสดุคุณภาพสูง และเน้นความประณีตในการประกอบ ช่วยเสริมความโดดเด่นและความหรูหราให้กับรถคันนี้
ทั้งหมดที่ได้กล่าวถึงนี้ คือความพิเศษที่เหล่าคณะกรรมการต่างลงคะแนนให้ NISSAN ALMERA VL คือรถที่มีความสุดยอดด้านเทคโนโลยีมากที่สุด ในกลุ่มรถ Eco Car และได้รับรางวัล BEST SEDAN UNDER 1,000 c.c. มาครองได้สำเร็จ
NISSAN
KICKS e-POWER 22 MY AUTECH
“เสริมภาพลักษณ์ใหม่ให้ดูโดดเด่นและขับสนุกมากยิ่งขึ้น สำหรับ NISSAN KICKS e-POWER 22 MY AUTECH รถ SUV HYBRID รุ่นพิเศษ ที่มาพร้อมกับชุดแต่งสปอร์ตหรู AUTECHพร้อมด้วยสีตัวถังใหม่ ล่าสุด และเทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ เจเนอเรชัน 2 โดยอัปเกรดสมรรถนะมอเตอร์ไฟฟ้า เพิ่มความจุแบตเตอรี่ ลดขนาดและน้ำหนักของชิ้นส่วนระบบไฟฟ้า ปรับปรุงระบบ e-Pedal step ให้ใช้งานง่ายขึ้น จึงทำให้ได้รับผลโหวตจากคณะกรรมการให้เป็น “ที่สุด” ของรถยนต์ HYBRID SUV UNDER 1,200 c.c. ในการทดสอบ Car of The Year 2023 ซึ่งความสุดยอดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามได้ในบททดสอบครั้งนี้…”
จุดเด่นที่คณะกรรมการลงคะแนน
การออกแบบ
NISSAN KICKS e-POWER 22 MY AUTECH ได้รับการออกแบบโดย Autech Japan, Inc ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของนิสสัน มอเตอร์ ซึ่งยังคงรูปลักษณ์ความสปอร์ต สไตล์พรีเมียมทูโทน ที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ของรุ่น AUTECH ด้วยสีหลังคาดำเงา และการออกแบบแนวเส้นหลังคาแบบทรงลอยตัว (Floating Roof Line) เสริมให้รูปลักษณ์ภายนอกมีพลัง และความแกร่ง เติมความสปอร์ตและพรีเมียมด้วยกระจังหน้าแบบ V-Motion พร้อมไฟหน้า และไฟตัดหมอกแบบ LED พร้อมวัสดุตกแต่งไฟตัดหมอกคู่หน้า รับกับสเกิร์ตหน้าใหม่ สีเงินเมทัลลิก ทำให้ดูโฉบเฉี่ยว
ด้านข้างมาพร้อมสเกิร์ตข้างใหม่ สีเงินเมทัลลิก กระจกมองข้างสีเงินเมทัลลิก พร้อมไฟเลี้ยว LED และล้อแม็กดีไซน์ใหม่ สีดำเงา ขนาด 17 นิ้ว ด้านท้ายมาพร้อมไฟท้ายแบบ LED ทรงบูมเมอแรง เพิ่มแถบสีแดงเชื่อมต่อชุดไฟท้ายทั้ง 2 ด้าน กันชนหลังตกแต่ง ด้วยสเกิร์ตสีเงินเมทัลลิก ส่วนภายในของรุ่น AUTECH เน้นโทนสีดำ ตกแต่งด้วยสีน้ำเงิน สอดคล้องกับคอนโซลหน้า ส่วนคอนโซลกลางตกแต่งด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์สีดำ เดินด้ายสีน้ำเงินที่ตัดกันอย่างลงตัว เสริมด้วยวัสดุสีดำเงา
เทคโนโลยีและความคุ้มค่า
NISSAN KICKS e-POWER 22 MY AUTECH ได้มีการเพิ่มความจุแบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออน ใหม่ (Lithium-ion battery) เป็นแบบ 4 โมดูล 96 เซลล์ เพิ่มความจุเป็น 2.06 kWh (เดิม 4 โมดูล 80 เซลล์ ความจุ 1.57 kWh) และรวมตัวแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) กับมอเตอร์ไฟฟ้าไว้เป็นยูนิตเดียวกัน ทำให้ส่วนของ Inverter มีขนาดเล็กลง 40 เปอร์เซ็นต์ น้ำหนักลดลง 30 เปอร์เซ็นต์ โดยยังสามารถแยกการบำรุงรักษาออกจากกันได้ มอเตอร์ไฟฟ้าชุดใหม่ที่มีกำลังสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 3,410-9,697 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ที่ 0-3,410 รอบต่อนาที (รุ่นเดิม 129 แรงม้า ที่ 4,000-8,992 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร ที่ 500-3,000 รอบต่อนาที) ทำงานคู่กับเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าขนาด 1.2 ลิตร 3 สูบแถวเรียง DOHC 12 วาล์ว โดยถูกกำหนดให้มีการทำงานในรอบที่เหมาะสมที่สุดในการผลิตกระแสไฟฟ้า ระบุอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.8 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองในเมือง 26.3 กิโลเมตรต่อลิตร
นอกจากนี้ NISSAN KICKS e-POWER 22 MY AUTECH สามารถปรับโหมดการขับได้ 4 รูปแบบ คือ Normal mode การขับในแบบปกติ มีโหมดย่อย D สำหรับการขับปกติ และ B ที่เพิ่มแรงหน่วงขณะลดความเร็ว ลดการใช้ผ้าเบรก และสร้างกระแสไฟฟ้ากลับคืนได้มากขึ้น, Sport mode ตอบสนองอัตราเร่งและการชะลอความเร็วที่ดียิ่งขึ้น, ECO mode เน้นการออกตัวที่นุ่มนวล ปรับการทำงานของระบบอี-พาวเวอร์ ให้ลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลืองลง ทำให้เครื่องยนต์และระบบมีการใช้เชื้อเพลิงและพลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และ EV mode ปรับเปลี่ยนให้รถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เหลือภายในแบตเตอรี่ โดยเครื่องยนต์จะไม่ทำงานจนกว่าไฟฟ้าจะใกล้หมด
เทคโนโลยีความปลอดภัย
NISSAN KICKS e-POWER 22 MY AUTECH ยังคงความปลอดภัยและความแข็งแกร่ง บนพื้นฐานโครงสร้างตัวถัง Zone body Concept อันเป็นมาตรฐานของนิสสัน ด้วยโครงสร้างตัวถังรถที่ถูกสร้างให้สามารถดูดซับพลังงาน รับแรงกระแทก จึงทำให้ตัวถังมีความแข็งแกร่ง ปลอดภัย เหมาะสมสำหรับการขับทั้งในเมืองและทางไกล เสริมความมั่นใจด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยและช่วยเหลือผู้ขับขั้นสูงรอบคัน Nissan 360° Safety Shield ประกอบด้วย
l ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ Lane Departure Warning (LDW) ช่วยให้ผู้ขับรักษาแนวการเดินรถในช่องทาง และจะแจ้งเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ เมื่อขับในระดับความเร็วสูงกว่า 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
l ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ (High Beam Assist – HBA) ที่จะปรับระดับการส่องสว่างของไฟหน้า พร้อมตรวจจับและตอบสนองความเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของรถที่วิ่งสวนทางแบบอัตโนมัติ
l ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ (Intelligent Cruise Control – ICC) ควบคุมความเร็วที่สั่งการได้อัตโนมัติและช่วยลดภาระของผู้ขับ เมื่อรถคันหน้าลดความเร็วลง ระบบจะรักษาระยะห่างระหว่างรถคัน
หน้าตามที่ตั้งค่าไว้โดยอัตโนมัติจนถึงระดับรถหยุดนิ่งภายใน 2 วินาที และเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว ระบบจะปรับความเร็วขึ้นเองโดยอัตโนมัติ กลับไปสู่ความเร็วที่ผู้ขับตั้งไว้ และสามารถตั้งค่าระยะห่างจากรถคันหน้าได้ 3 ระดับ
l ระบบเตือนก่อนการชนด้านหน้าอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning – IFCW) จะส่งสัญญาณเสียงพร้อมสัญลักษณ์เตือนบนหน้าปัด หากพบความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้า
l ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ
(Intelligent Emergency Braking – IEB) ทำงานร่วมกับระบบเตือนก่อนการชนด้านหน้า โดยวิเคราะห์ระยะห่างและความเร็วของรถยนต์ด้านหน้า เพื่อช่วยชะลอความ
เร็วและหยุดรถเพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดจากอุบัติเหตุ
l ระบบเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning – BSW) ช่วยเพิ่มความปลอดภัย
เมื่อเปลี่ยนช่องทางการขับ ทันทีที่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยว ระบบจะส่งเสียงพร้อมไฟกะพริบเตือนให้รู้ล่วงหน้าว่า ขณะนั้นมีรถ
คันอื่นอยู่ในช่องทางขับด้านข้าง ในตำแหน่งที่ผู้ขับมองไม่เห็น
l ระบบเตือนรถในทางสวนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert – RCTA) เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง หากระบบตรวจพบรถที่กำลังเคลื่อนเข้ามาทางด้านหลังทั้งซ้ายและขวา
จะส่งสัญญาณเตือนพร้อมไฟกะพริบเตือน
ในด้านเดียวกันกับที่มีรถเคลื่อนที่เข้ามา
l กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor – IAVM) และเทคโนโลยีตรวจจับและส่งสัญญาณ
เตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน (Moving Object Detection – MOD)
l เทคโนโลยีอัจฉริยะที่ช่วยให้ผู้ขับมองเห็นพื้นที่ข้างรถได้รอบทิศทาง ผ่านกล้อง 4 จุดรอบคัน กล้องทุกตัวจะจับภาพขณะเคลื่อนไหวจริง และแสดงผลเป็นภาพจากมุมสูงผ่านหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ซึ่งช่วยให้การจอดรถง่ายและปลอดภัยขึ้น และยังทำงานร่วมกับเทคโนโลยีตรวจจับและ
ส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคันหรือ Moving Object
Detection (MOD) ซึ่งทำหน้าที่ตรวจจับและ
ส่งสัญญาณเตือนเมื่อตรวจพบบุคคลหรือ
วัตถุที่จับการเคลื่อนไหวได้
l กระจกมองหลังอัจฉริยะ (Intelligent Rear View Mirror – IRVM) มีหน้าจอ LCD ที่แสดงภาพจากกล้องด้านหลังตัวรถ โดย
ภาพบนจอจะช่วยให้ผู้ขับเห็นทัศนวิสัยด้านหลังได้ในมุมที่กว้างขึ้น ผู้ขับสามารถเลือกปรับเปลี่ยนระหว่างจอแสดงภาพจากกล้องหรือจากกระจกได้ เพื่อช่วยให้เห็นสภาพ
การจราจรด้านหลังได้อย่างชัดเจนที่สุด เทคโนโลยี IRVM นี้ช่วยเสริมความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับในกรณีที่มีการบรรทุกสัมภาระหรือมีผู้โดยสารนั่งด้านหลัง
l ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA) เมื่อขับรถขึ้นบนทางลาดชัน ระบบจะช่วยป้องกันไม่ให้รถไหลถอยหลังขณะออกตัว เมื่อยกเท้าออกจากแป้นเบรก ระบบจะสั่งให้เบรกทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ขับสามารถเหยียบ
คันเร่งและออกตัวได้อย่างนุ่มนวล
l ส่วนระบบความปลอดภัยในส่วนของการช่วยเหลือขณะขับ ประกอบด้วย ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ (Vehicle Dynamic Control – VDC) ควบคุมการชะลอความเร็ว รวมถึงการตอบสนองของกำลังเครื่องยนต์ ช่วยรักษาเสถียรภาพการทรงตัวของรถขณะหักหลบกะทันหัน
ตอบสนองทุกการขับอย่างฉับไว ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ในสถานการณ์คับขัน
l ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง (Intelligent Trace Control – ITC) ตรวจสอบและแก้ไขการบังคับเลี้ยวหรือการเร่ง ซึ่งจะช่วยปรับและควบคุมเบรกล้อทั้ง 4 ให้เป็นไปตามพฤติกรรมของผู้ขับ ที่ง่ายต่อการควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง โดยระบบจะประเมินจากพฤติกรรมการขับ ทั้งการบังคับพวงมาลัย การเบรก และการเร่งความเร็ว
l ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (Anti-lock Braking System – ABS) ระบบกระจายแรงเบรก (Electric Brake Force Distribution System – EBD) ระบบเสริมแรงเบรก (Brake Assist – BA) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) ระบบหยุดรถอัตโนมัติ (Auto Brake Hold) และไฟเบรกดวงที่ 3 พร้อมไฟ LED
ซึ่งทั้งหมดนี้ คือความโดดเด่นเหนือใคร ที่ทำให้ NISSAN KICKS e-POWER 22 MY AUTECH ได้รับการคัดเลือกให้เป็น BEST HYBRID SUV UNDER 1,200 c.c. ประจำปี 2023 จากคณะกรรมการผู้เข้าทดสอบ
NISSAN NAVARA DC PRO-2X 7AT
“ยังเป็นรถขวัญใจอย่างต่อเนื่อง กับรถปิกอัพ “NISSAN NAVARA DC PRO X2” ที่ตอบโจทย์การใช้งาน ได้อย่างครบเต็มรูปแบบด้วยเครื่องยนต์ขนาด 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่ 190 แรงม้า ช่วงล่างที่แข็งแกร่ง ทนทานอันเป็นคุณสมบัติเด่นของกระบะจากนิสสันทุกรุ่น และยังลงตัวด้วยชุดแต่งที่แข็งแกร่ง ดุดัน สะท้อนความเป็นตัวตนของผู้ขับขี่ได้อย่างชัดเจน ซึ่งนับว่าเป็นจุดเด่นที่สำคัญ ทำให้คณะกรรมการผู้ตัดสิน Car of The Year 2023 ต่างโหวตให้ NISSAN NAVARA DC PRO X2 เป็นรถที่สุดในคลาส BEST HIGH-LIFT PICKUP UNDER 2,500 c.c.”
จุดเด่นที่คณะกรรมการลงคะแนน
การออกแบบ
NISSAN NAVARA DC PRO-2X 7AT ได้รับการออกแบบภายนอกให้มีความดุดัน แข็งแกร่ง ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ลายตาข่าย ตกแต่งสีเทาดำ ไฟหน้าแบบ Quad-Eye LED โปรเจคเตอร์ พร้อมไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน ไฟตัดหมอกแบบ LED กันชนหน้าสีเดียวกับตัวรถตัดด้วย Accent สีส้ม กระจกมองข้างปรับและพับอัตโนมัติด้วยไฟฟ้า มีไฟเลี้ยวแบบ LED ในตัว ซุ้มล้อเดินคิ้วกันกระแทก ติดตั้งราวหลังคาสีดำด้ายท้ายให้กันชนหลังสีเดียวกับตัวรถ ไฟท้ายแบบ LED ฝากระบะท้ายมีระบบช่วยผ่อนแรง และล้ออัลลอยสีดำให้มาเป็นขนาด 17 นิ้ว ด้านมิติตัวรถ มีความยาว 5,260 มม. กว้าง 1,875 มม. และสูง 1,840 มม. ส่วนขนาดกระบะท้ายยาว 1,470 มม. กว้าง 1,495 มม. และสูง 520 มม.
ภายในห้องโดยสาร NISSAN NAVARA Pro-Series 2022 ให้บรรยากาศแบบสปอร์ตด้วยโทนสีดำ เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์สะท้อนความร้อน เดินตะเข็บด้วยด้ายสีส้ม พนักพิงเบาะคู่หน้ามีสัญลักษณ์ Pro-Series เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ส่วนเบาะแถวหลังมีที่พักแขนพร้อมที่วางแก้ว
มาตรวัดมีหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ (MID) แบบ 3 มิติ ขนาด 7 นิ้ว คอนโซลกลางติดตั้งระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด NissanConnect จากนิสสัน ที่สามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับ Apple CarPlay และ Android Auto* สามารถเล่นแอปพลิเคชันในมือถือผ่านจอเครื่องเสียงรถยนต์ พร้อมระบบนำทาง (Navigation System) และระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ (Voice Recognition) ลำโพง 6 ตำแหน่ง มีช่องเชื่อมต่อ USB/AUX รองรับการเชื่อมต่อไร้สายผ่าน Bluetooth มีระบบนำทางในตัว ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา และมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
ขุมพลังและเทคโนโลยีความปลอดภัย
NISSAN NAVARA DC PRO-2X 7AT มาพร้อมเครื่องยนต์ YS23DDTT แบบ 4 สูบ ความจุ 2.3 ลิตร DOHC เทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) ที่ 3,750 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ พร้อมโหมดแมนวล (M mode) รองรับน้ำมันดีเซลทุกแบบ ทั้ง B7, B10 และ B20 แข็งแกร่งด้วยโมโนเฟรม แชสซีทำจากเหล็กกล้าชิ้นเดียวตลอดคัน (Fully Boxed Frame) ที่มีชื่อเสียงของนิสสัน มาพร้อมระบบกันสะเทือนหน้าอิสระ ปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโครง ด้านหลังแหนบซ้อนพร้อมช๊อคอัพ ทั้งหมดถูกปรับจูนใหม่ เพื่อสมรรถนะที่ดี
เพิ่มความปลอดภัยทุกการเดินทางด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงรอบคันทั้งในเชิงป้องกันและแก้ไข พร้อมระบบช่วยเหลือการขับขั้นสูง 360° Safety Shield ในทุกรุ่นย่อย* ช่วยให้ผู้ขับและผู้โดยสารทุกคนเดินทางถึงที่หมายอย่างปลอดภัย มั่นใจ ประกอบด้วย
l ระบบเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning – IFCW) เทคโนโลยีจะส่งสัญญาณเสียงพร้อมสัญลักษณ์เตือนบนหน้าปัด หากพบความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้า
l ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ
(Intelligent Emergency Braking – IEB) ระบบจะทำงานร่วมกับระบบเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะ โดยจะวิเคราะห์ระยะ
ห่างและความเร็วของรถยนต์ด้านหน้า เพื่อชะลอความเร็วและหยุดรถ เพื่อลดความรุนแรงหรือลดความสียหายที่จะเกิดจากอุบัติเหตุ
l ระบบป้องกันการชนจากจุดอับสายตาอัจฉริยะ (Intelligent Blind Spot
Intervention – IBSI) ทำงานร่วมกับระบบเตือนจุดอับสายตา Blind Spot Warning (BSW) เพิ่มความปลอดภัยขณะเปลี่ยนเลน เมื่อเปิดไฟเลี้ยว ระบบจะส่งเสียงสัญญาณพร้อมไฟกะพริบเตือนให้รู้ล่วงหน้าว่า ขณะนั้นมีรถคันอื่นอยู่ในเลนที่ผู้ขับมองไม่เห็น หากยังพบการเบี่ยงเข้าหาเลนที่มีรถตามมา ณ จุดอับสายตา ระบบจะส่งแรงเบรกอย่างนุ่มนวลเพื่อดึงรถกลับสู่เลน
l ระบบควบคุมรถเมื่อออกนอกช่องทาง
อัจฉริยะ (Intelligent Lane Intervention –
ILI) ทำงานร่วมกับระบบเตือนเมื่อรถ
ออกนอกเส้นทาง Lane Departure Warning (LDW) ซึ่งจะแจ้งเตือนด้วยสัญญาณและ
เสียง เมื่อรถเคลื่อนที่ออกนอกเลน โดยระบบจะทำงานเมื่อความเร็วมากกว่า 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้ารถยังออกนอกเลนและไม่
เปิดไฟเลี้ยว ระบบจะส่งแรงเบรกเพื่อดึงรถกลับเลน
l ระบบตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert – RCTA) ระบบจะเตือนระหว่างเข้าเกียร์ถอยหลัง เมื่อตรวจพบรถที่กำลังเคลื่อนเข้ามาทางด้านหลังทั้งซ้ายและขวา โดยจะส่งสัญญาณเตือนพร้อมไฟกะพริบเตือนในด้านเดียวกันกับที่มีรถเคลื่อนที่เข้ามา
l กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor – IAVM) ช่วยให้ผู้ขับมองเห็นพื้นที่ข้างรถได้รอบทิศทาง ผ่านกล้อง 4 จุดรอบคัน กล้องทุกตัวจะจับภาพขณะเคลื่อนไหวจริง และแสดงผลเป็นภาพจากมุมสูงผ่านหน้าจอกลาง ซึ่งช่วยให้การขับรถในสถานการณ์ต่างๆ ง่ายขึ้น
l ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA) ป้องกันไม่ให้รถไหลขณะออกตัว และระบบควบคุมความเร็ว
ขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control (HDC) ป้องกันไม่ให้รถไถลเมื่อขับลงทางลาดชันสูง โดยใช้กำลังเครื่องยนต์ช่วยหน่วงความเร็วโดยไม่ต้องเหยียบเบรก
l ครบครันกับ Passive Safety จากเทคโนโลยีความปลอดภัย Safety Shield ประกอบด้วย ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Traction Control (TCS) ช่วยควบคุมล้อให้ค่อยๆ หมุนออกตัวโดยไม่เกิดอาการล้อหมุนฟรี มาพร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัจฉริยะ Vehicle Dynamic
Control (VDC) ที่ช่วยรักษาเสถียรภาพการทรงตัวของรถขณะหักเลี้ยวกะทันหัน รวมถึงระบบควบคุมเสถียรภาพของรถขณะลากจูง Trailer Sway Assist (TSA) ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (Anti-lock Braking System – ABS) ระบบกระจายแรงเบรก (Electric Brake Force Distribution System – EBD) ระบบเสริมแรงเบรก (Brake Assist – BA) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) ระบบหยุดรถอัตโนมัติ (Auto Brake Hold) และไฟเบรกดวงที่ 3 พร้อมไฟ LED สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ซึ่งทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้ คือความคุ้มค่าแบบเหนือชั้น ที่ทำให้เหล่าคณะกรรมการผู้ทดสอบได้ลงความเห็นให้ NISSAN NAVARA DC PRO-2X 7AT คว้ารางวัล BEST PICKUP UNDER 2,500 c.c. ใน Car of The Year 2023