NISSAN : CAR OF THE YEAR 2024
Nissan : Absolutely The Best รถยอดเยี่ยมแห่งปี 2024
BEST SEDAN UNDER 1,000 c.c.
NISSAN ALMERA VL
ยังคงเป็นสุดยอด ECO CAR คอมแพคซีดานที่ตอบโจทย์ด้วยความคุ้มค่าได้อย่างลงตัว ทั้งในด้านการออกแบบ ดีไซน์โดดเด่นสะดุดตา และเทคโนโลยี NissanConnect Services เพื่อการเชื่อมต่อไร้สายระหว่างผู้ขับขี่และรถผ่านสมาร์ทโฟน เสริมด้วยเทคโนโลยีใหม่จากรถหรูสู่คอมแพคซีดานให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ทำให้ NISSAN ALMERA VL สามารถคว้ารางวัล BEST SEDAN UNDER 1,000 c.c. มาครองได้สำเร็จ ซึ่งจะมีอะไรบ้าง ติดตามได้ใน Car of The Year 2024
ความเห็นจากคณะกรรมการ
ภายนอก-ภายใน
ปรับใหม่ เน้นความทันสมัย
ภายนอก NISSAN ALMERA VL เน้นการออกแบบให้ดูทันสมัย โดดเด่น สะท้อนแนวคิด Next-Generation V-motion ที่สื่อถึงแนวคิดการออกแบบรถยนต์ในอนาคตได้อย่างชัดเจน โดยยังคงรักษาจุดเด่นด้านสมดุลของรูปลักษณ์ที่ทันสมัยสไตล์พรีเมียมกับความสปอร์ตปราดเปรียว ตั้งแต่ กระจังหน้า โลโก้ใหม่ ฝากระโปรงหน้า ไปจนถึงเสา A-pillar สื่อถึงความมีสไตล์และให้ประสบการณ์ในการขับขี่ที่น่าประทับใจ
ส่วนภายใน NISSAN ALMERA VL ได้รับการออกแบบให้ใช้งานง่าย NissanConnect ระบบอินโฟเทนเมนต์ล่าสุดจากนิสสัน รองรับการเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟนทั้งระบบ Android Auto และ Apple CarPlay รวมทั้งยังสามารถใช้ระบบนำทางผ่าน Google Map บนจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว เครื่องเสียง และระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ มาตรวัดเรือนไมล์แบบเรืองแสง Fine Vision Meter แบบ Digital ผ่านหน้าจอ TFT หน้าจอสีขนาด 7 นิ้ว / แสดงผลข้อมูลการขับขี่ / แสดงมาตรวัดอุณหภูมิภายนอก และเพิ่มอุปกรณ์ชาร์จแบบไร้สาย Wireless Charger และเทคโนโลยีควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control)
NissanConnect Services
เชื่อมต่อรถกับคนเข้าด้วยกัน
เพิ่มความสะดวกด้วยเทคโนโลยี Nissan Connect Services เน้นเข้าถึงไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับการเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟน ด้วยแอปพลิเคชันอัจฉริยะ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมหรือสั่งการรถได้จากระยะไกล รวมทั้งเป็นครั้งแรกของเซ็กเมนต์ที่มีการติดตั้งฟังก์ชัน SOS เพื่อขอความช่วยเหลือจากศูนย์ ให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินได้ทันทีผ่านระบบเครื่องเสียงภายในรถยนต์ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน นอกจากนี้ NissanConnect Services ยังช่วยให้ผู้ขับขี่สื่อสารและควบคุมรถได้ด้วย ระบบสั่งการระยะไกลต่างๆ ได้แก่ ระบบตรวจสอบสถานะการล็อกประตู ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ระยะไกล ระบบสั่งกะพริบไฟหน้า และสั่งระบบแตรระยะไกล ที่ช่วยให้ค้นหาตำแหน่งของรถได้สะดวก แม้ในลานจอดรถที่มีรถแน่นขนัด และ My Car Finder หรือระบบค้นหาตำแหน่งรถ ซึ่งฟังก์ชันนี้จะช่วยค้นหา
และนำทางไปยังรถได้ในทันที
เครื่องยนต์ 1.0L Turbo
เทคโนโลยีแห่งความประหยัด
NISSAN ALMERA VL มาพร้อมเครื่องยนต์ HRA0 ขนาด 1.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุดถึง 100 แรงม้า (PS) และแรงบิด 152 นิวตันเมตร (Nm) ให้อัตราเร่งที่แรง และรวดเร็วจากแรงบิดแบบต่อเนื่อง (flat torque) ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์เป็นแบบ XTRONIC CVT พร้อม D-Step Logic ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล แต่ให้อัตราเร่งต่อเนื่องและทันใจ ตอบสนองอัตราเร่งแซงที่ดีขึ้น ช่วยให้การขับขี่มีประสิทธิภาพและประหยัดเชื้อเพลิงได้ดีขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ ยังมีระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อรถ หยุดนิ่ง (Idling Stop) ช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ในอัตรา 23.3 กิโลเมตร/ลิตร
เทคโนโลยีความปลอดภัยใหม่ 360° SAFETY SHIELD
NISSAN ALMERA VL เพิ่มเทคโนโลยี ความปลอดภัยใหม่มากมาย ทั้งเทคโนโลยีเซนเซอร์ตรวจสอบแรงดันลมยาง (Tire Pressure Monitoring System – TPMS) นับเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งเทคโนโลยีนี้ในเซ็กเมนต์คอมแพคซีดาน ช่วยเตือนเมื่อลมยางต่ำหรือสูงกว่ากำหนด เทคโนโลยีเปิด-ปิด ไฟสูงอัตโนมัติ (High Beam Assist – HBA) จะปรับไฟหน้าจากไฟสูงเป็นไฟต่ำทันที เมื่อเซนเซอร์ตรวจจับได้ว่ามีรถสวนมา และเทคโนโลยีแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง (Lane Departure Warning – LDW) ที่จะส่งสัญญาณเตือนด้วยไฟกะพริบ และการสั่นที่พวงมาลัยเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถโดยไม่ได้ตั้งใจ
นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีความปลอดภัย 360° Safety Shield ที่ให้การปกป้องรอบคัน ได้แก่ เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert – RCTA) เตือนเมื่อตรวจพบวัตถุกำลังเคลื่อนที่เข้ามาทางด้านหลังขณะกำลังถอย เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitoring – IAVM) ระบบตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน (Moving Object Detection -MOD) เทคโนโลยีช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้า (Intelligent Forward Collision Warning -IFCW) เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning – BSW) และเทคโนโลยีช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist -HSA) สำหรับเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ให้การปกป้องสูงสุด ได้แก่ เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ (Pretensioner and Load Limiter Seatbelts) เทคโนโลยีควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ (Vehicle Dynamic Control – VDC) ที่ช่วยให้รถทรงตัวได้มั่นคงในทุกสภาพถนนและเลี้ยวได้อย่างแม่นยำ เทคโนโลยีเบรกป้องกันล้อล็อก (Anti-lock Braking System -ABS) เทคโนโลยีกระจายแรงเบรก (Electronic Brake Force Distribution – EBD) และเทคโนโลยีเสริมแรงเบรก (Brake Assist) และถุงลมนิรภัย SRS 6 จุดเป็นมาตรฐานในทุกรุ่นย่อย
ทั้งหมดที่ได้กล่าวถึงนี้ คือความพิเศษที่เหล่าคณะกรรมการต่างลงคะแนนให้ NISSAN ALMERA VL คือรถที่มีความคุ้มค่าและสุดยอดด้านเทคโนโลยีมากที่สุดในกลุ่มรถ Eco Car และได้รับรางวัล BEST SEDAN UNDER 1,000 c.c. มาครองได้สำเร็จ
BEST HYBRID SUV UNDER 1,200 c.c.
NISSAN KICKS e-POWER AUTECH
นับเป็นรถ HYBRID ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว ด้วยเทคโนโลยี e-POWER ที่มาพร้อมความแรงและความประหยัด ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะจากนิสสัน ช่วยให้ขับสนุกและมอบประสบการณ์การขับขี่เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า 100% และไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จไฟ ที่สำคัญ ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัย Nissan 360° Safety Shield อันขึ้นชื่อ จึงทำให้ NISSAN KICKS e-POWER รุ่น AUTECH คือรถ HYBRID ที่คุ้มค่าที่สุดในเวลานี้ และสามารถคว้า BEST HYBRID SUV UNDER 1,200 c.c. ในการทดสอบ Car of The Year 2024 มาครองได้สำเร็จ
ความเห็นจากกรรมการ
การออกแบบสปอร์ตลงตัว
NISSAN KICKS e-POWER รุ่น AUTECH ได้รับการออกแบบให้มีความสปอร์ตและพรีเมียม ด้วยกระจังหน้าแบบ V-Motion พร้อมไฟหน้า ไฟตัดหมอกแบบ LED รับกับสเกิร์ตหน้าสีเงินเมทัลลิก ทำให้ดูโฉบเฉี่ยว และการออกแบบแนวเส้นหลังคาแบบทรงลอยตัว (Floating Roof Line) เสริมให้รูปลักษณ์ภายนอกมีพลัง และความแกร่ง ด้านข้างมาพร้อมไฟเลี้ยว LED และล้อแม็กดีไซน์ใหม่สีดำเงา ขนาด 17 นิ้ว ด้านท้ายมาพร้อมไฟท้ายแบบ LED ทรงบูมเมอแรง เพิ่มแถบสีแดงเชื่อมต่อชุดไฟท้ายทั้ง 2 ด้าน สอดคล้องกับคอนโซลหน้า ส่วนคอนโซลกลางตกแต่งด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์สีดำ เดินด้ายสีน้ำเงินที่ตัดกันอย่างลงตัว เสริมด้วยวัสดุสีดำเงา
ส่วนภายในตกแต่งด้วยวัสดุสีดำ เปียโน แบล็ค พร้อมไฟตกแต่งที่ขอบ ทำให้มองเห็นชัดเจน สะดวกสบาย ง่ายต่อการใช้งาน ด้วยการออกแบบภายในตามหลักสรีรศาสตร์ เพิ่มความสะดวกสบายด้วยระบบชาร์จไร้สาย และระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ พร้อม Heater จอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว และระบบข้อมูลความบันเทิง Nissan Connect พร้อมช่องเสียบ AUX เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับ Apple CarPlay และ Android Auto สามารถเล่นแอปพลิเคชันในมือถือผ่านจอเครื่องเสียงรถยนต์เพื่อความคมชัด พร้อมระบบนำทาง Navigation System ผ่าน Google Map และระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ Voice Recognition จอเรือนไมล์แบบดิจิทัล TFT ขนาด 7 นิ้ว แสดงผลต่างๆ ที่สามารถเลือกได้ด้วยตัวเอง ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการมองเห็นรายละเอียดต่างๆ และการปรับโหมดการใช้งานเพื่อเสพคอนเทนต์ความบันเทิงขั้นสุด
e-POWER เทคโนโลยีและความคุ้มค่า
NISSAN KICKS e-POWER รุ่น AUTECH มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า รหัส EM47 พละกำลังสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 3,410-9,697 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดถึง 280 นิวตันเมตร ที่ 0-3,410 รอบ/นาที ด้วยระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า และจ่ายไฟด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 2.06 kWh แบบ 4 โมดูล 96 เซลล์ ส่วนการชาร์จไฟใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ รหัส HR12DE ขนาด 1.2 ลิตร 1,198 ซี.ซี. ให้กำลังสูงสุด 79 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 103 นิวตันเมตร ที่ 3,600-5,200 รอบ/นาที ทำหน้าที่ปั่นไฟไปเก็บยังแบตเตอรี่ (เครื่องยนต์ไม่มีหน้าที่ขับเคลื่อนส่งพละกำลังลงสู่ล้อ) รองรับน้ำมัน E20 ความจุถังน้ำมัน 41 ลิตร โดยถูกกำหนดให้มีการทำงานในรอบที่เหมาะสมที่สุดในการผลิตกระแสไฟฟ้า ระบุอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.8 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองในเมือง 26.3 กิโลเมตรต่อลิตร
สามารถปรับโหมดการขับได้ 4 รูปแบบ คือ Normal Mode การขับในแบบปกติ มีโหมดย่อย D สำหรับการขับปกติ และ B ที่เพิ่มแรงหน่วงขณะลดความเร็ว ลดการใช้ผ้าเบรก และสร้างกระแสไฟฟ้ากลับคืนได้มากขึ้น Sport Mode ตอบสนองอัตราเร่งและการชะลอความเร็วที่ดียิ่งขึ้น ECO Mode เน้นการออกตัวที่นุ่มนวล ปรับการทำงานของระบบอี-พาวเวอร์ ให้ลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลืองลง ทำให้เครื่องยนต์และระบบมีการใช้เชื้อเพลิงและพลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และ EV Mode ปรับเปลี่ยนให้รถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เหลือภายในแบตเตอรี่ โดยเครื่องยนต์จะไม่ทำงานจนกว่าไฟฟ้าจะใกล้หมด
เทคโนโลยีความปลอดภัย
Nissan 360° Safety Shield
NISSAN KICKS e-POWER รุ่น AUTECH ยังคงความปลอดภัยและความแข็งแกร่งบนพื้นฐานโครงสร้างตัวถัง Zone body Concept อันเป็นมาตรฐานของนิสสัน ด้วยโครงสร้างตัวถังรถที่ถูกสร้างให้สามารถดูดซับพลังงานรับแรงกระแทก จึงทำให้ตัวถังมีความแข็งแกร่ง ปลอดภัย เหมาะสมสำหรับการขับทั้งในเมืองและทางไกล เสริมความมั่นใจด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยและช่วยเหลือผู้ขับขั้นสูงรอบคัน Nissan 360° Safety Shield
ประกอบด้วย
– ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ Lane Departure Warning (LDW) : ช่วยให้ผู้ขับรักษาแนวการเดินรถในช่องทาง และจะแจ้งเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ เมื่อขับในระดับความเร็วสูงกว่า 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
– ระบบเปิด-ปิด ไฟสูงอัตโนมัติ (High Beam Assist – HBA) ที่จะปรับระดับการส่องสว่างของไฟหน้า พร้อมตรวจจับและตอบสนองความเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของรถที่วิ่งสวนทางแบบอัตโนมัติ
– ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
อัจฉริยะ (Intelligent Cruise Control – ICC) ควบคุมความเร็วที่สั่งการได้อัตโนมัติและช่วยลดภาระของผู้ขับ เมื่อรถคันหน้าลดความเร็วลง ระบบจะรักษาระยะห่างระหว่างกับรถคันหน้าตามที่ตั้งค่าไว้โดยอัตโนมัติจนถึงระดับรถหยุดนิ่งภายใน 2 วินาที และเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว ระบบจะปรับความเร็วขึ้นเองโดยอัตโนมัติ กลับไปสู่ความเร็วที่ผู้ขับตั้งไว้ และสามารถตั้งค่าระยะห่างจากรถคันหน้าได้ 3 ระดับ
– ระบบเตือนก่อนการชนด้านหน้าอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning – IFCW) จะส่งสัญญาณเสียงพร้อมสัญลักษณ์เตือนบนหน้าปัด หากพบความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้า
– ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking – IEB) ทำงานร่วมกับระบบเตือนก่อนการชนด้านหน้า โดยวิเคราะห์ระยะห่างและความเร็วของรถยนต์ด้านหน้า เพื่อช่วยชะลอความเร็วและหยุดรถเพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดจากอุบัติเหตุ
– ระบบเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning – BSW) ช่วยเพิ่มความปลอดภัยเมื่อเปลี่ยนช่องทางการขับ ทันทีที่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยว ระบบจะส่งเสียงพร้อมไฟกะพริบเตือนให้รู้ล่วงหน้าว่าขณะนั้นมี
รถคันอื่นอยู่ในช่องทางขับด้านข้าง ในตำแหน่งที่ผู้ขับมองไม่เห็น
– ระบบเตือนรถในทางสวนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert – RCTA) เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง หากระบบตรวจพบรถที่กำลังเคลื่อนเข้ามาทางด้านหลังทั้งซ้ายและขวา จะส่งสัญญาณเตือนพร้อมไฟกะพริบเตือนในด้านเดียวกันกับที่มีรถเคลื่อนที่เข้ามา
– กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor – IAVM) และเทคโนโลยีตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน (Moving Object Detection – MOD)
– เทคโนโลยีอัจฉริยะที่ช่วยให้ผู้ขับมองเห็นพื้นที่ข้างรถได้รอบทิศทางผ่านกล้อง 4 จุดรอบคัน : กล้องทุกตัวจะจับภาพขณะเคลื่อนไหวจริง และแสดงผลเป็นภาพจากมุมสูงผ่านหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ซึ่งช่วยให้การจอดรถง่ายและปลอดภัยขึ้น และยังทำงานร่วมกับเทคโนโลยีตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคันหรือ Moving Object Detection (MOD) ซึ่งทำหน้าที่ตรวจจับและ
ส่งสัญญาณเตือนเมื่อตรวจพบบุคคลหรือวัตถุที่จับการเคลื่อนไหวได้
– กระจกมองหลังอัจฉริยะ (Intelligent Rear View Mirror – IRVM) มีหน้าจอ LCD ที่แสดงภาพจากกล้องด้านหลังตัวรถ โดยภาพบนจอจะช่วยให้ผู้ขับเห็นทัศนวิสัยด้านหลังได้ในมุมที่กว้างขึ้น ผู้ขับสามารถเลือกปรับเปลี่ยนระหว่างจอแสดงภาพจากกล้องหรือจากกระจกได้ เพื่อช่วยให้เห็นสภาพการจราจรด้านหลังได้อย่างชัดเจนที่สุด เทคโนโลยี IRVM นี้ช่วยเสริมความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับในกรณีที่มีการบรรทุกสัมภาระหรือมีผู้โดยสารนั่งด้านหลัง
– ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA) เมื่อขับรถขึ้นบนทางลาดชัน ระบบจะช่วยป้องกันไม่ให้รถไหลถอยหลังขณะออกตัว เมื่อยกเท้าออกจากแป้นเบรก ระบบจะสั่งให้เบรกทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ขับสามารถเหยียบคันเร่งและออกตัวได้อย่างนุ่มนวล
– ส่วนระบบความปลอดภัยในส่วนของการช่วยเหลือขณะขับ ประกอบด้วย ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ (Vehicle Dynamic Control – VDC) ควบคุมการชะลอความเร็ว รวมถึงการตอบสนองของกำลังเครื่องยนต์ ช่วยรักษาเสถียรภาพการทรงตัวของรถขณะหักหลบกะทันหัน ตอบสนองทุกการขับอย่างฉับไว ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ในสถานการณ์คับขัน
– ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง (Intelligent Trace Control – ITC) ตรวจสอบและแก้ไขการบังคับเลี้ยวหรือการเร่ง ซึ่งจะช่วยปรับและควบคุมเบรกล้อทั้ง 4 ให้เป็นไปตามพฤติกรรมของผู้ขับ ที่ง่ายต่อการควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง โดยระบบจะประเมินจากพฤติกรรมการขับ ทั้งการบังคับพวงมาลัย การเบรก และการเร่งความเร็ว
– ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (Anti-lock Braking System – ABS) ระบบกระจายแรงเบรก (Electric Brake Force Distribution System – EBD) ระบบเสริมแรงเบรก (Brake Assist – BA) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) ระบบหยุดรถอัตโนมัติ (Auto Brake Hold) และไฟเบรกดวงที่ 3 พร้อมไฟ LED
ซึ่งทั้งหมดนี้ คือความโดดเด่นเหนือใคร ที่ทำให้ NISSAN KICKS e-POWER รุ่น AUTECH ได้รับการคัดเลือกให้เป็น BEST HYBRID SUV UNDER 1,200 c.c.ประจำปี 2024 จากคณะกรรมการผู้เข้าทดสอบ
BEST HIGH-LIFT PICKUP UNDER 2,500 c.c.
NISSAN NAVARA DC PRO-2X 7AT
ยังคงเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มรถปิกอัพที่ตอบโจทย์ด้านการใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ คุ้มค่าและลงตัวมากที่สุดสำหรับ NISSAN NAVARA DC PRO-2X 7AT รถปิกอัพสายพันธุ์แกร่ง ที่เข้ม ดุดัน สะท้อนความเป็นตัวตนของผู้ขับขี่ได้อย่างชัดเจน รวมถึงระบบความปลอดภัยครบครัน ซึ่งนับว่าเป็นจุดเด่นที่สำคัญ ทำให้คณะกรรมการผู้ตัดสิน Car of The Year 2024 ต่างโหวตให้ NISSAN NAVARA DC PRO-2X เป็นรถที่ดีที่สุดในกลุ่มรถปิกอัพยกสูงไม่เกิน 2,500 ซี.ซี.
ความเห็นจากกรรมการ
ขุมพลัง 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่
แรงสุด ประหยัดจริง
NISSAN NAVARA DC PRO-2X 7AT มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ YS23DDTT แบบ 4 สูบ ความจุ 2.3 ลิตร DOHC เทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) ที่ 3,750 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที ส่งผ่านกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ พร้อมโหมดแมนวล (M Mode) รองรับน้ำมันดีเซลทุกแบบ ทั้ง B7, B10 และ B20 แข็งแกร่งด้วยโมโนเฟรม แชสซีส์ทำจากเหล็กกล้าชิ้นเดียวตลอดคัน (Fully Boxed Frame) มาพร้อมระบบกันสะเทือนหน้า อิสระ ปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ด้านหลังแหนบซ้อนพร้อมโช้คอัพ ทั้งหมดถูกปรับจูนใหม่
เพื่อสมรรถนะที่ดีในการเกาะถนนและเข้าโค้ง
ภายนอกแกร่ง ภายในล้ำสมัย
NISSAN NAVARA DC PRO-2X 7AT ได้รับการออกแบบให้มีรูปลักษณ์ที่สะท้อนความเข้ม ดุดัน พร้อมลุยทุกเส้นทาง ด้วยกระจังหน้าบึกบึน ลงตัวกับไฟหน้า Quad-Eye LED กระจกมองข้างปรับและพับอัตโนมัติด้วยไฟฟ้า มีไฟเลี้ยวแบบ LED ในตัว ซุ้มล้อเดินคิ้วกันกระแทก ติดตั้งราวหลังคาสีดำ ด้ายท้ายให้กันชนหลังสีเดียวกับตัวรถ ไฟท้ายแบบ LED ฝากระบะท้ายมีระบบช่วยผ่อนแรง และล้ออัลลอยสีดำให้มาขนาด 17 นิ้ว และคิ้วโป่งล้อ
ส่วนภายในได้รับการออกแบบให้มีความกว้างขวาง สะดวกสบายเต็มพื้นที่ใช้สอย พร้อมกระจก Acoustic Glass ด้านหน้าและด้านข้าง ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอก และเบาะนั่งเทคโนโลยี QUOLE MODURE ใหม่ ที่สะท้อนความร้อนจากแสงแดดทุกที่นั่ง คอนโซลกลางติดตั้งระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด NissanConnect จากนิสสัน ที่สามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับ Apple CarPlay และ Android Auto สามารถเล่นแอปพลิเคชันในมือถือผ่านจอเครื่องเสียงรถยนต์ พร้อมระบบนำทาง (Navigation System) และระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ (Voice Recognition) ลำโพง 6 ตำแหน่ง มีช่องเชื่อมต่อ USB / AUX รองรับการเชื่อมต่อไร้สายผ่าน Bluetooth มีระบบนำทางในตัว ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ แยกอิสระ ซ้าย-ขวา และมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
360° SAFETY SHIELD
ปลอดภัยรอบคัน
NISSAN NAVARA DC PRO-2X 7AT เพิ่มความปลอดภัยทุกการเดินทางด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงรอบคัน ทั้งในเชิงป้องกันและแก้ไข พร้อมระบบช่วยเหลือการขับขั้นสูง 360° Safety Shield ช่วยให้ผู้ขับและผู้โดยสารทุกคนเดินทางถึงที่หมายอย่างปลอดภัย มั่นใจ ประกอบด้วย
– ระบบเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning – IFCW) เทคโนโลยีจะส่งสัญญาณเสียงพร้อมสัญลักษณ์เตือนบนหน้าปัด หากพบความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้า
– ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking – IEB) ระบบจะทำงานร่วมกับระบบเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะ โดยจะวิเคราะห์ระยะห่างและความเร็วของรถยนต์ด้านหน้า เพื่อชะลอความเร็วและหยุดรถ เพื่อลดความรุนแรงหรือลดที่จะเกิดจากอุบัติเหตุ
– ระบบป้องกันการชนจากจุดอับสายตาอัจฉริยะ (Intelligent Blind Spot Intervention – IBSI) ทำงานร่วมกับระบบเตือนจุดอับสายตา Blind Spot Warning (BSW) เพิ่มความปลอดภัยขณะเปลี่ยนเลน เมื่อเปิดไฟเลี้ยว ระบบจะส่งเสียงสัญญาณพร้อมไฟกะพริบเตือนให้รู้ล่วงหน้าว่าขณะนั้นมีรถคันอื่นอยู่ในเลนที่ผู้ขับมองไม่เห็น หากยังพบการเบี่ยงเข้าหาเลนที่มีรถตามมา ณ จุดอับสายตา ระบบจะส่งแรงเบรกอย่างนุ่มนวล เพื่อดึงรถกลับสู่เลน
– ระบบควบคุมรถเมื่อออกนอกช่องทางอัจฉริยะ (Intelligent Lane Intervention – ILI) ทำงานร่วมกับระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเส้นทาง Lane Departure Warning (LDW) ซึ่งจะแจ้งเตือนด้วยสัญญาณและเสียง เมื่อรถเคลื่อนที่ออกนอกเลน โดยระบบจะทำงานเมื่อความเร็วมากกว่า 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้ารถยังออกนอกเลนและไม่เปิดไฟเลี้ยว ระบบจะส่งแรงเบรกเพื่อดึงรถกลับเลน
– ระบบตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert – RCTA) ระบบจะเตือนระหว่างเข้าเกียร์ถอยหลัง เมื่อตรวจพบรถที่กำลังเคลื่อนเข้ามาทางด้านหลังทั้งซ้ายและขวา โดยจะส่งสัญญาณเตือนพร้อมไฟกะพริบเตือนในด้านเดียวกันกับที่มีรถเคลื่อนที่เข้ามา
– กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor – IAVM) ช่วยให้ผู้ขับมองเห็นพื้นที่ข้างรถได้รอบทิศทางผ่านกล้อง 4 จุดรอบคัน กล้องทุกตัวจะจับภาพขณะเคลื่อนไหวจริง และแสดงผลเป็นภาพจากมุมสูงผ่านหน้าจอกลาง ซึ่งช่วยให้การขับรถในสถานการณ์ต่างๆ ง่ายขึ้น ทำงานร่วมกับระบบเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน Moving Object Detection (MOD) ซึ่งจะตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนเมื่อตรวจพบบุคคลหรือวัตถุที่กล้องรอบคันจับการเคลื่อนไหวได้ โดยจะปรากฏบนหน้าจอกลาง
– ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA) ป้องกันไม่ให้รถไหลขณะออกตัว และระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control – HDC) ป้องกันไม่ให้รถไถลเมื่อขับลงทางลาดชันสูง โดยใช้กำลังเครื่องยนต์ช่วยหน่วงความเร็วโดยไม่ต้องเหยียบเบรก
– ครบครันกับ Passive Safety จากเทคโนโลยีความปลอดภัย Safety Shield ประกอบด้วย ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control – TCS) ช่วยควบคุมล้อให้ค่อยๆ หมุนออกตัวโดยไม่เกิดอาการล้อหมุนฟรี มาพร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัจฉริยะ (Vehicle Dynamic Control – VDC) ที่ช่วยรักษาเสถียรภาพการทรงตัวของรถขณะหักเลี้ยวกะทันหัน รวมถึงระบบควบคุมเสถียรภาพของรถขณะลากจูง (Trailer Sway Assist – TSA)
– ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (Anti-lock Braking System – ABS) ระบบกระจายแรงเบรก (Electric Brake Force Distribution System – EBD) ระบบเสริมแรงเบรก (Brake Assist – BA) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) ระบบหยุดรถอัตโนมัติ (Auto Brake Hold) และไฟเบรกดวงที่ 3 พร้อมไฟ LED สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
– ถุงลมนิรภัย SRS 7 จุด ประกอบด้วย คู่หน้า ด้านข้าง ม่านนิรภัย และถุงลมบริเวณ
หัวเข่าของผู้ขับ โดยถุงลมนิรภัยคู่หน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งในทุกรุ่น
– เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ (Pretensioner and Load Limiter Seatbelts) เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าปรับระดับได้ เป็นแบบ 3 จุด ELR เข็มขัดนิรภัยที่นั่งด้านหลัง ELR แบบ 3 จุด 3 ตำแหน่งที่นั่ง เสริมความปลอดภัยด้วยจุดยึดเบาะที่นั่งเด็กแบบ ISOFIX
ซึ่งทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้ คือความคุ้มค่าแบบเหนือชั้น ที่ทำให้เหล่าคณะกรรมการผู้ทดสอบได้ลงความเห็นให้ NISSAN NAVARA DC PRO-2X 7AT คว้ารางวัล BEST PICKUP UNDER 2,500 c.c. ใน Car of The Year 2024