Nissan #GoAnywhere-สัมผัสประสบการณ์ลุยทะเลทรายซาฮาร่า (1)
3 วันบนเส้นทางที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของแรลลี่หฤโหด ‘ปารีส-ดาการ์’, ประสบการณ์ขับลุยทะเลทรายซาฮาร่า และสัมผัสความสวยงามของธรรมชาติตลอดเส้นทาง 400 กิโลเมตรในอีเวนต์แห่งปี Nissan LCV Go Anywhere #GoAnywhere
ในยุคโซเชียลเน็ตเวิร์คการเดินทางสู่ทะเลทรายซาฮาร่า คงไม่ใช่เรื่องยากลำบากซักเท่าไร ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์แบบใดของทะเลทรายร้อนที่ใหญ่ที่สุดของโลก และสำหรับอีเวนต์นี้ที่มีเป้าหมายเพื่อให้สัมผัสสมรรถนะรถยนต์กลุ่มเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก (Light Commercial Vehicle-LCV) ที่ขายอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ของ Nissan Motor ทำให้พวกเขาเลือกโมร็อกโก ประเทศทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกาเป็นสถานที่จัดงาน
ตอนที่รู้ตัวว่าจะต้องเดินทางไปโมร็อกโก คำแรกที่แวบเข้ามาในหัวคือ “คาซาบลังก้า” (Casablanca) เมืองริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกที่เป็นชื่อเดียวกับหนังคลาสสิกปี 1942 และมุสตาฟา ฮัดจิ มิดฟิลด์จอมทัพทีมชาติโมร็อกโก ในศึกฟุตบอลโลก 1998 ก่อนจะได้รู้รายละเอียดการเดินทางว่าทริปนี้ผจญภัยมากกว่าที่คิด เมื่อไฮไลต์อยู่ที่การขับรถลุยทะเลทรายซาฮาร่า
ระหว่างนั่งมองวิวจากเครื่องบินเช่าเหมาลำของ Nissan ที่ออกเดินทางจากกรุงมาดริด ประเทศสเปน ข้ามผ่านช่องแคบยิบรอลต้าร์ เข้าสู่ผืนแผ่นดินแอฟริกา บริเวณริมชายฝั่งทะเลมีตึกรามบ้านช่องตั้งอยู่หนาแน่นปกติ ก่อนที่ทิวทัศน์เบื้องล่างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอมส้มมีบ้านหลังเล็กๆ ตั้งเป็นย่อมๆ เมื่อเข้าสู่เขตเทือกเขาแอตลาสที่พาดผ่านตอนเหนือของทวีปเป็นแนวยาวกว่า 2,500 กิโลเมตร เป็นเหมือนสัญญาณบอกให้เรารู้ว่ากำลังเข้าสู่ความแห้งแล้งของทะเลทรายซาฮาร่า ทั้งที่หากมองจากบนท้องฟ้ายอดเขาทางทิศตะวันตกยังคงมีหิมะปกคลุมขาวโพลนอยู่เลย
สภาพภูมิประเทศเมื่อใกล้ถึงเขตทะเลทราย
สัมผัสแรกที่ก้าวลงจากบันไดเครื่องบินกลายเป็นลมหนาวที่พัดกระทบใบหน้าอย่างเต็มแรง ด้วยความที่สนามบินเมืองเออร์ราชิเดีย ตั้งบนพื้นที่โล่งมากๆ มีเพียงรันเวย์เดียวคล้ายกับสนามบินในจังหวัดเล็กๆ ของบ้านเรา และอุณหภูมิที่อยู่ราว 17-18 องศาเซลเซียส ทำให้นักข่าวเอเชียหลายคนที่เตรียมใจมาเจออากาศร้อนที่คุ้นเคยต้องหยิบเสื้อแจ็กเก็ตออกมาใส่กันแทบไม่ทัน
หลังจากทีมงาน Nissan อธิบายข้อมูลเกี่ยวกับประเทศโมร็อกโก (ที่มีการเตือนถึงขั้นว่าควรใช้น้ำดื่มจากขวดแปรงฟัน), ความปลอดภัยในการขับขี่ตามกฎจราจร และเส้นทางที่จะขับในวันแรก ทุกคนก็ต้องใช้เวลาพอสมควรกับการตรวจพาสปอร์ตทั้งที่กลุ่มสื่อมวลชนไทยต้องขอวีซ่าจากสถานทูตของพวกเขาที่กรุงเทพฯ มาก่อนแล้ว
แผนที่เส้นทางการขับในวันที่ 1
พอเดินออกจากอาคารผู้โดยสารมีกลุ่มนักดนตรีพื้นเมืองโมร็อกโก มาบรรเลงดนตรีต้อนรับ พร้อมกับมีรถทดสอบ Patrol, Titan, Terra และ Navara จอดให้เลือกขับตามความชอบ โดยแบ่งเป็น 3 แถวให้ขับเป็นกลุ่มย่อยเพื่อสะดวกต่อการดูแลของทีมงาน
คันแรกที่ผู้เขียนได้ขับเป็น Patrol เอสยูวีหรูของ Nissan ที่เจาะกลุ่มเศรษฐีน้ำมันกระเป๋าหนักแถบตะวันออกกลาง โดยช่วงแรกเส้นทางเป็นถนนลาดยางปกติ 2 เลนสวน แต่สามารถรับรู้ได้ว่าระบบช่วงล่างมีความนุ่มนวลเหมือนกับเอสยูวีสัญชาติเดียวกันอย่าง Lexus แต่อุปกรณ์ และการตบแต่งภายในอาจจะดูธรรมดาไปหน่อยจากการที่เจเนอเรชั่นนี้เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2010
หลังจากออกเดินทางมาได้สักพักพอให้คุ้นเคยกับการขับพวงมาลัยซ้าย สต๊าฟฟ์ในรถนำขบวนวิทยุแจ้งให้เตรียมเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางออฟโรดแบบไม่คาดคิดว่าอยู่ดีๆ จะหักเข้าข้างทางที่มองไปแล้วแสนเวิ้งว้างไร้จุดหมาย ก่อนจะกลายเป็นเรื่องปกติของการเดินทางตลอดทั้ง 3 วัน
บนทางออฟโรดทำให้รู้ว่า Patrol มีความยอดเยี่ยมขนาดไหนบนเส้นทางธรรมชาติที่เต็มไปด้วยกรวดหินที่แสนขรุขระ, หลุมขนาดใหญ่ และต้องขับตัดทางน้ำที่มีอยู่เป็นช่วงๆ สร้างอารมณ์แอดเวนเจอร์พอหอมปากหอมคอ โดยหากรักษาระดับความเร็วดีๆ คนนั่งแทบจะไม่รู้สึกสะเทือนจากความยอดเยี่ยมของระบบช่วงล่างหน้า-หลังแบบ Double Wishbone
ในช่วงแรกขบวนขับผ่านหมู่บ้านเล็กๆ 2 แห่งที่จะมีเด็กวิ่งออกมาขออาหารในแบบที่เรียกว่าไม่กลัวตาย แถมบางคนยังพยายามปีนขึ้นท้ายกระบะของ Titan และ Navara อีกด้วย แต่หลังจากนั้นไม่น่าเชื่อว่าเราจะขับอยู่ท่ามกลางความโดดเดี่ยวที่เจอรถสวนมาแค่ 1-2 คัน ตลอดระยะเวลาร่วม 2 ชั่วโมงครึ่ง
แต่ระหว่างทางที่แสนโดดเดี่ยวกลับมีสิ่งก่อสร้างคล้ายหมู่บ้านตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวไกลๆ ก่อนจะได้รู้ข้อมูลจากสต๊าฟฟ์เมื่อถึงจุดพักเปลี่ยนคนขับว่าเป็นงานศิลป์ของ Hannsjorg Voth ศิลปินชาวเยอรมัน มีชื่อว่า The City of Orion โดยจุดพักถัดมาเรามีโอกาสเห็นผลงานอีกชิ้นที่มองไกลๆ เหมือนสามเหลี่ยมมุมฉาก แต่ความจริงคือบันไดสู่สวรรค์หรือ Stairway to Heaven ที่เป็นชื่อเดียวกับบทเพลงร็อกอมตะของ Led Zeppelin ส่วนอีกหนึ่งชิ้นที่มองเห็นไกลๆ ระหว่างขับรถ Golden Spiral จะเป็นทางเดินรูปทรงเกลียวก้นหอยขนาดใหญ่
การขับระยะทาง 113 กิโลเมตรสิ้นสุดที่โรงแรม Xaluca ในเมืองเออร์เฟาด์ สถานที่พักตลอด 2 คืนในโมร็อกโกของเรา โดยทีมงาน Nissan แอบมีเซอร์ไพรส์เล็กๆ ด้วยการนำ Nissan Patrol Fanta Limon ที่เคยสร้างตำนานเป็นรถเครื่องยนต์ดีเซลคันแรกที่จบการแข่งขันศึกแรลลี่หฤโหด ปารีส-ดาการ์ เมื่อปี 1987 มาจอดโชว์ที่ริมสระน้ำ โดยพวกเขานำมาบูรณะใหม่หลังจากถูกทอดทิ้งกลายเป็นซากพุพังอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ ในประเทศสเปน
อีกความน่าตื่นเต้นเป็นรถต้นแบบ Navara Dark Sky Concept ที่ได้รับการพัฒนาในประเทศอังกฤษร่วมกับองค์การอวกาศยุโรป (อีเอสเอ) ในการสร้างห้องแล็บปฏิบัติการดาราศาสตร์เคลื่อนที่ เพื่อสำรวจดวงดาวที่อยู่ไกลโพ้นสุดขอบจักรวาล โดยมีการโชว์ให้เห็นภาพจากกล้องโทรทรรศน์ยักษ์ PlaneWave ที่อยู่บนรถต่อพ่วงผ่านจอคอมพิวเตอร์ และให้นักข่าวได้ส่องดูดวงจันทร์แบบใกล้สุดๆ ผ่านกล้องโทรทรรศน์อีกตัวหนึ่ง
และคันสุดท้ายที่นำมาขับร่วมขบวนกับนักข่าวในทริปนี้ Nissan Armada Mountain Patrol เอสยูวีหรูที่ใช้พื้นฐานร่วมกับ Patrol แต่ได้รับการอัพเกรดติดตั้งอุปกรณ์พิเศษจากไอเดียของลูกค้า Nissan ชาวอเมริกัน ที่ส่งผ่านโซเชียลมีเดียทั้ง Instagram และ Facebook โดยติดตั้งแร็คที่มีความแข็งแรงพิเศษ, เพิ่มช่องเก็บสัมภาระ และรองรับเต็นท์ขนาด 4 คนที่มีความปลอดภัยจากการติดตั้งอยู่บนหลังคารถ
รู้จัก Nissan LCV #GoAnywhere Line-up
• Nissan Titan
กระบะฟูล-ไซส์ขนาดตันครึ่งมีให้เลือกทั้งแบบซิงเกิ้ล, คิง และครูว์ แค็บ ตามการใช้งาน ไม่ได้มีดีเพียงแค่เครื่องยนต์ที่ทรงพลัง แต่ติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันรองรับการใช้งานปกติ และลุยแบบเต็มพิกัด
เปิดตัวครั้งแรก: นิวยอร์ก ออโต้ โชว์, มี.ค. 2016
ตลาดหลัก: สหรัฐฯ, แคนาดา
ข้อมูลเครื่องยนต์: เบนซิน 5.6 ลิตร (390 แรงม้า, แรงบิดสูงสุด 534 นิวตันเมตร)
• Nissan Patrol
1 ในรถที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานของ Nissan เริ่มต้นจากการผลิตเพื่อกองทัพ ก่อนจะกลายเป็นสู่เอสยูวีหรูที่ผสมผสานระหว่างความแข็งแกร่ง และมอบความสะดวกสบายของการเดินทางในระดับเฟิร์สต์คลาสส์
เปิดตัวครั้งแรก: อาบูดาบี, ก.พ. 2010
ตลาดหลัก: สหรัฐฯ, ซาอุดิอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์, คูเวต, โอมาน, กาตาร์, บาห์เรน
ข้อมูลเครื่องยนต์: เบนซิน 5.6 ลิตร (400 แรงม้า, แรงบิดสูงสุด 560 นิวตันเมตร)
• Nissan Terra
รถยนต์อเนกประสงค์ขนาดกลางรุ่นล่าสุดของ Nissan มีทั้งแบบ 5 ที่นั่งสำหรับประเทศจีน และรุ่น 7 ที่นั่งเพื่อเจาะตลาดอาเซียน
เปิดตัวครั้งแรก: ปักกิ่ง ออโต้ โชว์, เม.ย. 2018
ตลาดหลัก: ฟิลิปปินส์, จีน, อินโดนีเซีย, ไทย
ข้อมูลเครื่องยนต์: ดีเซล 2.5 ลิตร (180 แรงม้า, แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร)
• Nissan Navara
รับประกันคุณภาพด้วยรางวัลกระบะยอดเยี่ยม International Pickup 2016 เข้าสู่ช่วงกลางอายุของโมเดล แต่มีการอัพเกรดระบบช่วยเหลือการขับขี่ และปรับเปลี่ยนดีไซน์อย่างสม่ำเสมอในแต่ละประเทศที่พวกเขาทำตลาด
เปิดตัวครั้งแรก: กรุงเทพมหานคร, เม.ย. 2014
ตลาดหลัก: เม็กซิโก, สหรัฐฯ, ยุโรป, ไทย, ออสเตรเลีย, จีน
ข้อมูลเครื่องยนต์: ดีเซล 2.3 ลิตร (187 แรงม้า, แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร)
* ข้อมูลเครื่องยนต์ของรถที่ทดสอบในงานครั้งนี้
Day 2 Sahara Sand Dunes
เช้าวันถัดมาอากาศค่อนข้างเย็นจนไม่รู้สึกว่ากำลังอยู่ในทะเลทราย หลังจากทีมงาน Nissan บรรยายข้อมูลของรถทั้ง 4 รุ่นที่นำมาให้สื่อมวลชนขับในอีเวนต์นี้เป็นที่เรียบร้อย ผู้เขียนมาอยู่ใน Terra เอสยูวีไซส์กลางที่เพิ่งเปิดตัวขายในประเทศไทย และแถบอาเซียน เมื่อกลางปีที่ผ่านมา
แต่ถึงจะผลิตจากโรงงานในประเทศไทย Terra ที่ส่งมาโมร็อกโก ผลิตเพื่อส่งขายในประเทศฟิลิปปินส์ ทำให้ยังใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร รหัส YD25 เหมือนกับในกระบะ Navara ของบ้านเรา ทำให้เกิดอาการสับสนเล็กน้อยเมื่อต้องเปลี่ยนไปอยู่ใน Navara ที่งานนี้เป็นเวอร์ชั่นยุโรปเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ 2.3 ลิตรรหัส YS23 190 แรงม้าเหมือน Terra เวอร์ชั่นไทย (ไม่งงกันใช่มั๊ย?)
อีกความพิเศษของ Navara ในอีเวนต์นี้จะเป็นรุ่นพิเศษใส่ชุดแต่ง N-Guard ที่จะเน้นโทนสีดำให้อารมณ์ดุดันตั้งแต่ล้อจนถึงอุปกรณ์ตบแต่งรอบคัน โดยสต๊าฟฟ์ Nissan มาเฉลยทีหลังว่าชุดแต่งทั้งหมดผลิตจากเมืองไทย ช่วยยืนยันถึงคุณภาพ และการเป็นฐานผลิตรถกระบะที่สำคัญของโลกของบ้านเราได้เป็นอย่างดี
เส้นทางในช่วงครึ่งวันแรกราว 100 กิโลเมตรจะเป็นดินผสมทราย สภาพทางเริ่มจะโหดมากขึ้นสมกับที่ถูกเรียกว่า ‘Gateway to the Desert-ประตูสู่ทะเลทราย‘ ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันปารีส-ดาการ์ ปี 2006 และ 2007 แต่กลายเป็นโอกาสดีตอนที่ได้ย้ายมาขับ Titan กระบะแบบฟูลไซส์ที่ไม่ได้ขายในบ้านเราอีก 1 รุ่น
ต้นไม้ที่เห็นอยู่ในภาพจะมีเศษไม้แหลมหล่นลงมาทำอันตรายกับยางรถยนต์ตั้งแต่สมัยปารีส-ดาการ์
หลายคนที่เห็น Titan เป็นครั้งแรกจากภายนอก เชื่อว่าจะต้องรู้สึกว่าใหญ่เทอะทะขับยาก และช่วงล่างคงจะแข็งกระดอนไปกระดอนมา แต่ความจริงกลายเป็นรถที่ช่วงล่างนุ่มในแบบที่เอาใจชาวอเมริกันหุ่นยักษ์ชอบหม่ำเบอร์เกอร์ดูดน้ำอัดลมแก้วใหญ่ ไม่ต้องพูดถึงสมรรถนะของเครื่องยนต์เบนซิน 5.6 ลิตร 8 สูบที่มีกำลังมหาศาลถึง 390 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 534 นิวตันเมตร จนอยากจะมีโอกาสลองขับบนถนนปกติสักครั้งว่าความแรงจะเร้าใจขนาดไหน
หลังจากแวะพักดื่มชาสไตล์อาหรับที่ Jbel Medouar เนินเขาที่เกิดจากเถ้าถ่านภูเขาไฟซึ่งเคยใช้เป็นโลเคชั่นถ่ายทำภาพยนตร์ The Mummy และ Spectre ภาคล่าสุดของหนังสายลับ James Bond พร้อมกับขึ้นไปชมวิวบนด้านบน บรรยากาศสองข้างทางเริ่มเข้าสู่พื้นที่ทะเลทรายอย่างเป็นทางการ และหลังจากพักทานอาหารกลางวันไฮไลต์สำคัญของทริปนี้ก็มาถึง —Sand Dunes การขับลุยเนินทรายซาฮาร่า—
(อ่านต่อวันพุธที่ 30 มกราคม)
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: Nissan Motor
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th