Nissan #GoAnywhere พาลุยทะเลทรายซาฮาร่า—(จบ)
เข้าสู่ช่วงสำคัญของอีเวนต์ Nissan LCV Go Anywhere การขับลุยทะเลทรายซาฮาร่า ดินแดนที่นักผจญภัยทั่วโลกใฝ่ฝันจะได้มาเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต…
หลังจากแวะทานอาหารกลางวันที่โอเอซิส ในเมืองทิสเซอร์ดไมน์ บรรยากาศสองข้างทางเริ่มเข้าสู่เขตทะเลทรายอย่างเป็นทางการ สต๊าฟฟ์ Nissan แนะนำให้รถทุกคันปรับโหมดการขับเป็น 4L เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทางที่เปลี่ยนเป็นทรายมากขึ้น และการขับในช่วงนี้กลับมีสายฝนโปรยปรอยลงมาที่นับว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก สำหรับซาฮาร่า ที่ถูกจัดเป็นพื้นที่แห้งแล้งที่สุดอันดับ 3 ของโลกรองจากอาร์กติก และแอนตาร์กติก้า (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่าง) มีปริมาณฝนตกเฉลี่ย 4-10 นิ้วต่อปีเท่านั้น แต่ปัญหาโลกร้อน-Global Warming ที่มีผลกระทบรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ปรากฏการณ์ธรรมชาติอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้
เส้นทางการขับในวันที่ 2
(คลิก) Nissan #GoAnyWhere-สัมผัสประสบการณ์ลุยทะเลทรายซาฮาร่า (1)
เมื่อเข้าใกล้ซาฮาร่า เริ่มเห็นฝูงอูฐเดินเรียงแถวเป็นระเบียบเหมือนที่เห็นในสารคดี แต่ก่อนจะเข้าสู่ไฮไลต์ของอีเวนต์การขับลุย ‘Sand Dunes—เนินทรายซาฮาร่า’ ต้องมีการเตรียมความพร้อมอีกพอสมควร กลุ่มสื่อมวลชนมาหยุดพักอีกครั้งที่โรงแรมเล็กๆ ในแถบ Erg Chebbi โดยคำว่า Erg-เอร์ก ในภาษาอาหรับหมายถึง “เนินทราย” ที่มองจากจุดที่จอดรถห่างไปเพียงไม่กี่กิโลเมตรสามารถมองเห็นเนินทรายที่ถูกธรรมชาติจัดเรียงขนาด และความสูง-ต่ำได้อย่างลงตัวน่ามหัศจรรย์ในแบบที่ต้องมาเห็นด้วยตาของตัวเองจริงๆ
โมร็อกโก มีเนินทรายหรือ Erg แบบนี้กระจายอยู่หลายแห่ง เปรียบเป็นประตูเข้าสู่ทะเลทรายซาฮาร่าหรือเขต Semi-arid Pre-Saharan Steppes ส่วนพื้นที่ทะเลทรายซาฮาร่าจริงๆ จะอยู่ลึกลงไปอีกทางตอนใต้ แต่จากภาพทะเลทรายที่เห็นเบื้องหน้า และความรู้สึกในตอนที่ลงไปสัมผัสของจริงต้องยอมรับว่าพลังของธรรมชาติยิ่งใหญ่มากๆ จนทำให้เข้าใจคำพูดที่ว่า ‘มนุษย์เป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ บนโลกใบนี้”
หลังจากอธิบายข้อมูลเส้นทางที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง และรถคันอื่นในขบวน รวมทั้งเทคนิคการขับที่ต้องควบคุมรักษาระดับความเร็วให้สม่ำเสมอ, ไม่เหยียบเบรกกะทันหัน, การควบคุมพวงมาลัยรักษาทิศทางการขับขึ้น-ลงจากเนินทรายเป็นแนวตรงเท่านั้น และหากติดหล่มทรายหรือรถยนต์มีความผิดปกติต้องหยุดทันทีเพื่อรอฟังคำแนะนำจากสต๊าฟฟ์ นักข่าวทุกคนออกมาประจำรถแต่ละคันที่มีการปล่อยลมยางออกให้เหลือแค่ 1 บาร์หรือราว 14.5 ปอนด์เท่านั้น เพื่อให้ยางมีหน้าสัมผัสมากขึ้นในการขับบนพื้นผิวทะเลทรายธรรมชาติ และต้องใช้โหมดการขับ 4L เท่านั้น
Fact: Sahara-ทะเลทรายร้อนที่ใหญ่ที่สุดของโลก
ซาฮาร่า-มีความหมายในภาษาอาหรับแปลว่า “ทะลทราย” มีอาณาเขตใน 10 ประเทศ ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 9.2 ล้านตารางกิโลเมตรหรือ 31 เปอร์เซ็นต์ของทวีปแอฟริกา ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถประเมินอายุที่แท้จริงของทะเลทรายแห่งนี้ หลังจากการศึกษาเนินทรายบางแห่งทำให้ค้นพบหลักฐานว่าซาฮาร่า ถือกำเนิดมาไม่น้อยกว่า 7 ล้านปี
อย่างไรก็ตามซาฮาร่า เป็นเพียงพื้นที่แห้งแล้งที่สุดของโลกอันดับ 3 เท่านั้น โดยตามหลักวิชาการจะวัดจากปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่ำกว่า 10 นิ้วต่อปี ทำให้ทะเลทรายร้อนแห่งนี้ต้องแพ้ให้ 2 ดินแดนขั้วโลกใต้-เหนือ แอนตาร์กติกา และอาร์กติก ที่ครองอันดับ 1-2 ตามลำดับ
ในช่วงแรกรถนำขบวนจะเลือกเนินทรายขนาดย่อมๆ เพื่อให้นักข่าวสร้างความคุ้นเคยกับสภาพพื้นผิวของทะเลทราย, การรักษาระดับคันเร่ง และจังหวะควบคุมพวงมาลัย รวมถึงระยะห่างจากรถคันหน้าที่เป็นกฎความปลอดภัยสำคัญ โดยทุกครั้งก่อนขับขึ้นสู่เนินทรายเราต้องรอให้รถคันหน้าลงไปก่อน และต้องรออยู่ด้านบนจนกว่ารถคันหน้าจะขึ้นสู่เนินทรายลูกถัดไปเรียบร้อย หากติดล่มทรายหรือมีปัญหารถคันหลังต้องจอดรอเท่านั้น
หลังจากสลับให้นักข่าวลองซ้อมขับจนครบทุกคน ผู้เขียนพร้อมกับนักข่าวรถยนต์มากประสบการณ์คุณกรกิต กสิคุณ แห่งหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ออกสตาร์ทใน Nissan Patrol เข้าสู่เส้นทางจริงในการลุย Sand Dunes ของทะเลทรายซาฮาร่า
การขับข้ามเนินทราย 4-5 ลูกแรกที่มีระดับความสูงราว 5-10 เมตร และองศาความลาดชันไม่มากนักผ่านพ้นไปด้วยดี แต่พอระดับความสูงเพิ่มขึ้นพื้นทรายที่อุ้มน้ำจากฝนที่ตกลงมาก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมง เริ่มทำให้ขบวนต้องมีหยุดรอเพื่อให้รถบางคันถอยลงมาตั้งหลักเพิ่มระยะทางให้รีดกำลังเครื่องยนต์ไต่ข้ามผ่านไปได้
ระหว่างรอให้ Terra ที่อยู่ข้างหน้าเราถอยมาตั้งหลักใหม่เพื่อขับลุยขึ้นสู่เนินทรายอีกรอบ คุณกรกิต เล่าให้ฟังว่ารอบนี้ระดับความสูงของเนินทรายน้อยกว่าตอนที่เขาเคยมาร่วมอีเวนต์นี้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่ตอนนั้นมีเพียง Navara ให้ขับเพียงรุ่นเดียว
และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาทีเราก็กลายเป็นผู้ประสบภัยเสียเอง เมื่อเครื่องยนต์เบนซิน 5.6 ลิตรที่มีกำลังมหาศาล 400 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 560 นิวตันเมตรของ Patrol ต้องใช้ความพยายามร่วม 10 ครั้งกว่าจะข้ามเนินทรายลูกเดียวกันมาได้ ด้วยการถอยยาวมาตั้งหลัก พร้อมฟังสัญญาณจากสต๊าฟฟ์เพื่อให้เปลี่ยนเกียร์ส่งกำลังให้รถยนต์ที่มีน้ำหนักรวมกว่า 2.5 ตัน ลุยขึ้นสู่ยอดเนินทรายได้สำเร็จ
กระโจมสีขาวที่เห็นไกลๆ คือโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์นอนกลางซาฮาร่า
เรียกว่าตลอดระยะทางราว 12 กิโลเมตรของ Sahara Garden Dunes Loop รถทุกคันผลัดกันติดหล่มทรายถ้วนหน้า นับเป็นช่วงแห่งการอัพเกรดฝีมือการขับของบรรดานักข่าวอย่างแท้จริง แต่ส่วนหนึ่งการกำหนดให้ต้องสลับขับรถทั้ง 4 รุ่น (Navara, Terra, Titan, Patrol) อยู่ตลอด ทำให้ต้องปรับจังหวะกดคันเร่ง และควบคุมรถอยู่พอสมควร
ในช่วงที่ลงมาสลับเปลี่ยนคนขับ และถือโอกาสถ่ายรูปเป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งในชีวิตมีโอกาสได้สัมผัสทะเลทรายซาฮาร่า รู้สึกว่ามีเม็ดทรายลอยเข้าปากตลอดเวลา หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าพื้นผิวของทะเลทรายมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลาจากกระแสลม ทำให้อยากแนะนำคนที่วางแผนจะมาเที่ยวที่นี่สักครั้งหนึ่งในชีวิตควรพกผ้าโพกหัวเหมือนชาวอาหรับติดมาด้วย เพราะว่าได้ใช้ประโยชน์จริงๆ แน่นอน
การต้องหยุดรอรถที่ติดหล่มทรายอยู่หลายครั้ง ทำให้ระยะเวลาการขับเกินกว่าที่กำหนดจากเดิมราว 1 ชั่วโมง ก่อนจะปิดท้ายด้วยการขับลงเนินทรายเพื่อลองใช้ Hill Descent Control ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชันที่ความชันจริงๆ น่าจะอยู่ที่ 25-30 องศา แต่การที่รอบตัวเป็นทะเลทรายทำให้มีความรู้สึกหลอกตาในตอนขับลงมามีอารมณ์หวาดเสียวเหมือนนั่งเรือไวกิ้งในสวนสนุก
จบช่วง Sand Dunes เราต้องขับกลับมาพักที่โรงแรมซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้ง เพื่อให้ทีมงาน Nissan เติมลมยางล้อให้กลับสู่ระดับปกติ ก่อนจะขับอีกประมาณ 45 กิโลเมตรสู่ Xaluca โรงแรมที่พัก พร้อมกับแสงพระอาทิตย์ตกสีส้มกลืนกับวิวภูเขาตลอด 2 ข้างทางเป็นการจบ 1 วันของการขับรถที่เป็นประสบการณ์ครั้งพิเศษที่ต้องจดจำไปอีกนาน
Day 3 การผจญภัยที่ยังไม่จบ!
ในเช้าวันนี้มีการเลื่อนโปรแกรมให้ออกช้ากว่ากำหนดเดิมราว 1 ชั่วโมง เพื่อให้นักข่าวพักผ่อนอย่างเต็มที่ ทำให้มีเวลาสำรวจไลน์บุฟเฟต์ในห้องอาหารของโรงแรมมากขึ้น สำหรับใครที่ต้องทานมื้อเช้าแบบจัดเต็มอาจจะผิดหวังเล็กน้อย จากการที่ตัวเลือกบนโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ 2 ตัว ด้านหนึ่งมีแค่ผักสลัด, ผลไม้, โยเกิร์ต, เนยแข็ง และมะกอกดองที่เป็นของขึ้นชื่อของโมร็อกโก ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นขนมปังเบเกอรี่เหมือนไว้กินเล่นมากกว่า
แต่โชคดีสำหรับนักข่าวไทย และเพื่อนร่วมโซนอาเซียนที่สเตชั่นไข่ของโรงแรม พ่อครัวจัดการทอดไข่คน (Scrambled Eggs) ออกมามีหน้าตาความหนารสชาติเหมือนไข่เจียว เสริมด้วยขนมที่รูปทรงคล้ายโดนัท แต่มีความกรอบเหมือนปาทองโก๋ รวมทั้งได้มาม่ากระป๋องที่พีอาร์ Nissan ของไทยติดกระเป๋ามาด้วย
ไลน์บุฟเฟต์เต็มโต๊ะแต่ที่ตักมา!!!
ตบท้ายด้วยน้ำส้มคั้นโมร็อกโกที่ก่อนมาได้อ่านรีวิวใน Pantip หลายกระทู้คอนเฟิร์มว่าห้ามพลาด และพอได้ลองชิมต้องยอมรับว่ารสชาติหวานฉ่ำใกล้เคียงกับน้ำส้มเช้งจนต้องกดมาเพิ่ม 2-3 แก้ว เรียกว่าเอาตัวรอดไปได้สบายๆ สำหรับมื้อเช้าวันนี้ หลังจากเจอเมนูอาหารแปลกๆ มาตลอด 2 วันแรก (แต่ไม่รับประกันว่าอาหารโรงแรมอื่นเป็นแบบนี้นะ >_<)
สำหรับเส้นทางการขับในวันนี้ตามแผนที่ซึ่งจะตั้งไว้ที่ล็อบบี้ของโรงแรมในทุกเช้า เชื่อว่าตอนแรกนักข่าวทุกคนในกลุ่มนี้คิดว่าการขับระยะทาง 103 กิโลเมตรจากโรงแรมไปจบที่ร้านอาหารกลางวันใกล้กับเมืองเออร์ราชิเดีย จะเป็นเส้นทางถนนปกติธรรมดา หลังจากลุยหนักมา 2 วัน
แต่ไม่ใช่อีเวนต์ #GoAnywhere อย่างแน่นอน หลังจากขับไปประมาณ 20 กิโลเมตร ขบวนของเราก็เริ่มเข้าสู่ทางคดเคี้ยวขึ้นเขาเป็นถนนสองเลนสวน แต่โชคดีที่เริ่มปรับตัวกับการขับรถพวงมาลัยฝั่งซ้ายได้แล้ว ทำให้ไม่หวาดเสียวเท่าไรนักถึงข้างทางจะเป็นเหวก็ตาม และเดาว่าถนนสายนี้คงไม่ใช่เส้นหลักที่คนท้องถิ่นใช้สัญจรทำให้ไม่มีรถขับสวนลงมาเลยหลังจากพักสลับรถเริ่มเข้าสู่โหมดออฟโรดขับลุยบนทางดินทรายที่บางช่วงเละจนไม่รู้จะเลือกขับตามรอยล้ออันไหน และต้องอาศัยความว่องไวของมือในการควบคุมพวงมาลัยไม่ให้รถไถลออกนอกทาง พร้อมกับเป็นโอกาสทดสอบสมรรถนะที่แท้จริงของทั้ง Titan และ Patrol รถ 2 คันที่ได้ขับในเส้นทางช่วงนี้
สิ้นสุดความโหดของเส้นทางที่ทีมงานจัดไว้ส่งท้าย ขบวนวิ่งมาสู่พื้นที่ราบกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไร้สิ่งปลูกสร้างใดๆ ของมนุษย์ เหมือนเป็นการยกตัวของแผ่นทวีปจากการที่เราขับไต่ขึ้นเขามาสูงพอสมควรในช่วงแรก ระหว่างนั้นคำเตือนจากสต๊าฟฟ์ในรถนำขบวนเรียกสร้างหัวเราะพร้อมความประหลาดใจให้นักข่าวที่บอกให้ระวังเจ้าก้อนสีเขียวที่กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด เพราะมันคือบร็อคโคลี่ที่ขึ้นตามธรรมชาติทำให้แข็งเหมือนหินหากพลาดโดนเข้าไปก็มีสิทธิ์รถพังได้
หลังจากขับรถขึ้นไปจอดพักบนเนินที่สามารถมองเห็นวิวบริเวณนั้นแบบ 360 องศา ขบวนกลับสู่ถนนสายหลักมุ่งหน้าสู่จุดหมายสุดท้ายที่โรงแรม Salma Palm ใกล้กับเมืองเออร์ราชิเดีย เพื่อทานอาหารกลางวัน ก่อนจะรอขึ้นเครื่องบินเช่าเหมาลำกลับสู่กรุงมาดริด ประเทศสเปน
ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ 3 วัน 2 คืน แต่ทำให้ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มีโอกาสสัมผัสความยิ่งใหญ่ของทะเลทรายซาฮาร่า และความสวยงามของธรรมชาติที่พิสูจน์ว่าไม่มีจุดหมายใดที่ไปไม่ถึง #Nissan #GoAnywhere
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: Nissan Motor
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th