Nissan GT-R จากรถซีดานพลังแรงสู่รถสปอร์ตที่เป็นตำนาน
เมื่อปีที่แล้วทาง Nissan ได้ร่วมมือกับ Italdesign เพื่อออกแบบ Nissan GT-R50 ออกมาในโอกาสที่รถสปอร์ตยอดนิยมของบรรดาผู้นิยมรถสปอร์ตแดนปลาดิบมีอายุครบ 50 ปี ซึ่งด้วยตัวเลขนี้หมายถึงการเป็นรถยนต์ที่มีที่มาอันยาวรุ่นหนึ่ง อย่างไรก็ตามจริงๆ แล้วที่ผ่านมาเส้นทางสู่ชื่อเสียงของ GT-R ไม่ได้ราบลื่นนัก เพราะในระหว่างกว่า 50 ปีที่ผ่านมามีบางช่วงที่รถรุ่นนี้หายไปจากตลาด และต่อไปนี้คือเส้นทางของรถสปอร์ตในฝันของคนจำนวนมากตั้งแต่เริ่มต้นที่ยังคงเป็นรุ่นแรงใน Skyline จนแยกออกมาเป็น GT-R ในปัจจุบัน
เจนเนอเรชั่น 1 (1969-1972)
แม้ Skyline รุ่นแรกจะถูกทำออกมาขายตั้งแต่ปี 1957 สมัยที่ยังรถของ Prince Motors อยู่ แต่เจนเนอเรชั่นแรกของ GT-R เริ่มต้นขึ้นในปี 1968 ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ของ Skyline หลังจากที่ Prince Motor รวมเข้ากับ Nissan แล้ว โดย GT-R ถูกเปิดตัวครั้งแรกในงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ 1968 และเริ่มทำตลาดในเดือนกุมภาพันธ์ปีต่อมา โดยใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ 2,000 ซีซี ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคม มีกำลัง 160 แรงม้า แรงบิด 176 นิวตัน-เมตร ทำความเร็วได้สูงสุด 198 กม./ชม. เจนเนอเรชั่นแรกของ GT-R มีชื่อเล่นว่า Hakosuka ซึ่งเป็นการรวมกันของคำว่ากล่องและ Skyline ในภาษาญี่ปุ่น โดยในช่วงแรก GT-R ยังคงเป็นรถซีดาน 4 ประตูอยู่ จนกระทั่งปี 1971 จึงมีรุ่นคูเป้ออกมา
นอกจากนี้ GT-R เจนเนอเรชั่นแรกยังเคยชนะการแข่งรายการ JAF Grand Prix ตั้งแต่ครั้งแรกที่ลงแข่ง ตลอดระยะเวลาที่ทำตลาดเจนเนอเรชั่นแรกของ GT-R ถูกระบุว่ามียอดขาย 1,945 คัน
เจนเนอเรชั่นที่ 2 (1973)
เจนเนอเรชั่นที่ 2 ของ GT-R มีชื่อรหัสว่า KPGC110 ออกมาตามหลัง Skyline เจนเนอเรชั่นที่ 4 หนึ่งปี และเป็น GT-R รุ่นแรกที่มีเฉพาะตัวถังคูเป้ อย่างไรก็ตามเครื่องยนต์ที่อยู่ใต้ฝากระโปรงยังคงเป็นเครื่องยนต์ 6 สูบเดิมเหมือนที่ใช้ในเจนเนอเรชั่นแรกโดยใช้เกียร์แมนนวล 5 สปีดส่งกำลัง GT-R รุ่นนี้ถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า Ken & Mary จากเพลงที่ใช้ในโฆษณา อย่างไรก็ตามโชคร้ายที่จากทั้งวิตฤการณ์น้ำมันและมาตรฐานมลพิษที่เข้มงวดขึ้นจึงทำให้ GT-R เจนเนอเรชั่น 2 ถูกขายไปเพียง 197 คันเท่านั้น
เจนเนอเรชั่น 3 (1989-1994)
หลังหายไปถึง 16 ปี Skyline GT-R ก็กลับมาอีกครั้งใน Skyline เจนเนอเรชั่นที่ 8 ซึ่งคราวนี้มาพร้อมกับการเป็นรถที่สูงทั้งสมรรถนะและเทคโนโลยีอย่างชัดเจน โดยเจนเนอเรชั่นที่ 3 หรือที่ถูกเรียกว่า GT-R R32 มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อใหม่ Attesa, ระบบควบคุมการเลี้ยว 4 ล้อ Hicas รวมทั้งช่วงล่างมัลติลิงก์ทั้งด้านหน้าและหลัง ส่วนขุมกำลังเป็นเครื่องยนต์ RB26DETT 6 สูบ 2,600 ซีซี เทอร์โบชาร์จ ที่มีกำลัง 276 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตัน-เมตร สามารถทำความเร็วจาก 0-96 กม./ชม. ด้วยเวลา 5.6 วินาที และวิ่งควอเตอร์ไมล์ได้ 13.9 วินาที
นอกจากเวอร์ชั่นใช้งานบนถนนแล้ว ยังมีการทำรถแข่ง GT-R ที่มีกำลังถึง 550 แรงม้าออกมา ซึ่งสามารถชนะการแข่ง 1991 Spa-Francorchamps 24 ชั่วโมงได้ โดย GT-R เจนเนอเรชั่นที่ 3 ถูกขายไป 43,394 คัน
เจนเนอเรชั่น 4 (1995-1998)
เจนเนอเรชั่นที่ 4 หรือที่เรียกว่า GT-R R33 เป็นรุ่นที่พัฒนาขึ้นจาก R32 พร้อมกับเจนเนอเรชั่นที่ 9 ของ Skyline โดยที่ยังคงใช้เครื่องยนต์ RB26DETT หมือนเดิม แต่เพิ่มแรงบิดขึ้นเป็น 358 นิวตัน-เมตร และลดเวลาในการทำความเร็วจาก 0-96 กม./ชม. เหลือ 5 วินาที โดยสิ่งหนึ่งที่ถูกปรับปรุงขึ้นอย่างชัดเจนในเจนเนอเรชั่นนี้คือการทำเวลาต่อรอบ 7:59 นาทีที่ Nurburgring
ในปี 1997 มีการทำรุ่น R400 ออกมา ซึ่งมีการเพิ่มความจุของเครื่องยนต์เป็น 2,800 ซีซี และใช้เทอร์โบลูกใหญ่ขึ้นจนทำให้มีกำลัง 395 แรงม้า และใช้เวลา 4 วินาทีเพื่อทำความเร็วจาก 0-96 กม./ชม. แต่มีการผลิตเพียง 44 คันเท่านั้น อย่างไรก็ตามสำหรับลูกค้าทั่วไป GT-R R33 มีรุ่น V-Spec เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการสมรรถนะที่สูงขึ้นด้วยด้วยการที่รถมาพร้อมช่วงล่างที่แน่นขึ้น ความสูงของรถลดลง และใช้เฟืองท้ายแอคทีฟ Limited-Slip ในกำลังของรถที่เท่าเดิม
ชื่อ Godzilla ที่ใช้เรียก GT-R เริ่มต้นจากเจนเนอเรชั่นนี้ในออสเตรเลีย หลังจากที่ GT-R ที่มีชัยเหนือทั้ง Ford และ Holden V-8 ในสนามแข่ง
เจนเนอเรชั่น 5 (1999-2002)
Nissan ใช้ประสบการณ์จากทั้งรถแข่งและการทดสอบที่ได้ 2 เจนเนอเรชั่นก่อนหน้าในการพัฒนาเจนเนอเรัชั่นที่ 5 ของ GT-R หรือ R34 ทำให้แม้จะมีกำลัง 276 แรงม้าเท่าเดิม แต่ก็มาพร้อมกับการพัฒนาขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าหลายๆ ด้าน โดยมีการระบุออกมาจากผู้ผลิตว่ารถมีเทอร์โลแลกน้อยลง แรงบิดสูงขึ้น และรถมาพร้อมกับเกียร์แมนนวล 6 สปีดแทนเกียร์ 5 สปีดในรุ่นก่อนหน้า รวมไปถึงตัวรถยังมีความทนทานขึ้น นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านแอโรไดนามิก ร่วมกับการใช้วัสดุเพื่อลดน้ำหนักของรถลงในหลายส่วนอย่าง Diffuser คาร์บอนไฟเบอร์ ในส่วนของตัวรถ GT-R R34 มีความยาวน้อยลงกว่ารุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ยังเป็นรถที่ปรากฏในภาพยนตร์ Fast & Furious หลายภาค
เจนเนอเรชั่น 6 (2008-ปัจจุบัน)
เจนเนอเรชั่น 6 หรือ R35 ซึ่งเปิดตัวออกมาในปี 2007 ที่ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกที่ทาง Nissan นำชื่อ Skyline ออกไป หรือเป็นการแยก GT-R ออกมาเป็นรุ่นหนึ่งต่างหาก โดยรถมาพร้อมกับการเป็นรถสปอร์ตเต็มที่จากการใช้เครื่องยนต์ VR380DETT V6 3,800 ซีซี ทวินเทอร์โบชาร์จ 480 แรงม้า แรงบิด 580 นิวตัน-เมตร และใช้เกียร์ดูอัลคลัตช์ 6 สปีดส่งกำลัง ในรถมีจอมัลติฟังก์ชั่นซึ่งเป็นฝีมือการออกแบบของโปรแกรมเมอร์ที่ทำเกม Gran Turismo
นอกจากรุ่นปกติแล้วยังมี GT-R Nismo ออกมาในปี 2014 ซึ่งมีกำลัง 600 แรงม้า แรงบิด 653 นิวตัน-เมตร ละใช้เวลาเพียง 3.2 วินาทีเพื่อทำความเร็วจาก 0-96 กม./ชม. และเมื่อปีที่แล้ว Nissan ก็ร่วมมือกับ Italdesign เพื่อทำ GT-R50 ออกมาในโอกาสครบ 50 ปีของทั้ง GT-R และ Nismo โดยที่ทาง Italdesign รับหน้าที่ในการออกแบบรถใหม่จากพื้นฐานของ GT-R Nismo โดยมีการผลิตจำกัด 50 คัน
เรื่อง: กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th