NISSAN LEAF Mk.II ต่อยอด…สถิติ EV ที่มียอดขายสูงที่สุดในโลก
สมัยเปิดตัว LEAF เจเนอเรชันแรก เมื่อราวปี 2010 ค่าย NISSAN ประกาศก้องว่า “เราคือผู้ผลิตยนตรกรรมไร้มลพิษ (Zero-emission) ที่สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน เป็นรายแรกของโลก” นั่นหมายความว่า LEAF ปราศจากเครื่องยนต์ และขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเต็มระบบ หากเทียบกับรถไฟฟ้าจากหลายค่ายที่เปิดตัวในช่วงเวลานั้น จะมีข้อจำกัดในหลายเรื่อง อาทิ ประสิทธิภาพในการเก็บพลังงานไฟฟ้า ระยะทางในการใช้งานเพียงไม่กี่กิโลเมตร น้ำหนักรถที่เพิ่มขึ้นมหาศาลจากขนาดและน้ำหนักของแบตเตอรี่ เป็นต้น
LEAF Mk.I ประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยยอดขายสะสมรวมกว่า 300,000 คัน สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการ EV (Electric Vehicle) ทว่า น้อยคนนักที่จะรู้ว่า NISSAN เริ่มต้นพัฒนารถไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 1947 เป็นรถไฟฟ้าคันแรกของค่าย โดยใช้ชื่อรุ่น ‘Tama’ ด้วยวิสัยทัศน์มองอนาคตล่วงหน้าไปไกลกว่าครึ่งศตวรรษ วิศวกร NISSAN มุ่งหาทางเลือกเพิ่มเติม นอกเหนือไปจากการใช้ Fossil Fuel เชื้อเพลิงพื้นฐานที่ถูกนำมาเผาไหม้ในเครื่องยนต์ และสร้างมลพิษกลับมาทำร้ายสิ่งแวดล้อม รวมทั้งตัวมนุษย์เอง
LEAF Mk.I ใช้แบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออน ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 80 kW สร้างแรงบิดสูงสุดได้ 280 Nm ทำความเร็วสูงสุด 140 กม./ชม. และหากชาร์จแบตเตอรี่เต็ม จะวิ่งได้ไกลถึง 160 กิโลเมตร ซึ่งมากพอสำหรับการใช้งานในเมืองในแต่ละวัน
NISSAN ต่อยอดความสำเร็จใน LEAF Mk.I มาเป็น LEAF Mk.II มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้เป็นแบบ High Respond Synchronous AC Motor แรงขึ้นเป็น 110 kW หรือราว 150 PS ที่ 3,283-9,795 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 320 Nm ที่ 0-3,283 รอบ/นาที หรือแรงบิดมีมาให้ใช้งานเต็มๆ ตั้งแต่มอเตอร์เริ่มหมุน แบตเตอรี่ถูกวางไว้ในส่วนของพื้นห้องโดยสาร ยังคงเป็นแบบลิเทียม-ไอออน ที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับ EV มีขนาด 40 kWh ระยะทางที่วิ่งได้ตามมาตรฐานยุโรป (NEDC) อยู่ที่ 378 กิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 7.9 วินาที และความเร็วสูงสุดยังคงอยู่ที่ 140 กม./ชม. เช่นเดิม
- ใช้มาตรวัดแอนะล็อกแสดงความเร็ว และใช้จอดิจิทัลแสดงการขับเคลื่อนของระบบไฟฟ้า
หัวชาร์จไฟของ NISSAN LEAF อยู่ในตำแหน่งเหนือกระจังหน้า ถูกซ่อนอยู่ภายใต้ฝาปิดอย่างมิดชิด สั่งเปิดได้จากปุ่มภายในห้องโดยสาร ด้านในเป็นขั้วต่อ 2 แบบ ฝั่งขวาเป็นแบบปกติสำหรับไฟบ้าน ขณะที่ฝั่งซ้ายเป็นแบบชาร์จเร็ว (Fast Charge) สำหรับไฟบ้านจะชาร์จผ่านชุดอะแดปเตอร์ EVSE ที่มีให้มากับตัวรถ แบ่งการชาร์จไปอีก 2 แบบ ไฟบ้านปกติ กระแสไฟ 15 แอมป์ ชาร์จแบตเต็ม 100% ด้วยเวลาประมาณ 12 ชั่วโมง และชาร์จจากไฟบ้านผ่าน Wall Box กระแสไฟ 30 แอมป์ ชาร์จแบตเต็มด้วยเวลา 6 ชั่วโมง ในส่วนของ Fast Charge เป็นการชาร์จไฟผ่านสถานีประจุไฟฟ้า ซึ่งเป็นไฟแบบ 3 เฟส ใช้เวลาสั้นๆ เพียง 40 นาที ได้ความจุราว 80% โดยเวลาในการชาร์จของทุกรูปแบบ เป็นกรณีเมื่อแบตเตอรี่หมดเกลี้ยง ซึ่งหากแบตเตอรี่ไม่ได้ถูกใช้จนหมด การชาร์จไฟก็จะเร็วขึ้นตามลำดับ
ในส่วนของอุปกรณ์การทำงานของรถไฟฟ้า หรือ EV เมื่อเทียบกับรถไฮบริด นอกจากตัวเครื่องยนต์แล้ว EV ยังจะใช้อุปกรณ์น้อยชิ้นกว่ารถไฮบริดอีกหลายรายการ สำหรับ NISSAN LEAF เฉพาะอุปกรณ์หลักๆ จากหัวชาร์จไฟด้านหน้ารถ จะมีสายไฟเชื่อมต่อมายังชุด On-board Charger ซึ่งทำหน้าที่แปลงไฟบ้านจากกระแสสลับ (AC: Alternating Current) ให้เป็นไฟกระแสตรง (DC: Direct Current) [ในทางกลับกัน Inverter ทำหน้าที่แปลงไฟ DC จากแบตเตอรี่ของ LEAF ไปเป็นไฟ AC เพื่อส่งไปขับมอเตอร์ไฟฟ้า] และชุดชาร์จก็จะมีสายไฟเชื่อมกับแบตเตอรี่ที่ใต้พื้นห้องโดยสาร ดังนั้น อุปกรณ์ที่มีน้ำหนักมากที่สุดในรถจึงหนีไม่พ้นชุดแบตเตอรี่ และจากอุปกรณ์ที่น้อยชิ้นของชุดขับเคลื่อนใน LEAF ส่งผลให้น้ำหนักของรถทั้งคันอยู่ที่เพียง 1,523 กิโลกรัม
- แบตเตอรี่ขนาด 40 kWh วางไว้ใต้พื้นห้องโดยสาร ช่วยลด G. ของรถทั้งคัน
การชาร์จจากไฟบ้านด้วยชุดอะแดปเตอร์ EVSE ไฟจะถูก On-board Charger แปลงไฟจาก AC เป็น DC ก่อนส่งเข้าแบตเตอรี่ ขณะที่ Fast Charge จากสถานีประจุไฟฟ้า จะใช้ไฟ DC ส่งผ่านเข้าสู่แบตเตอรี่โดยตรง เป็นที่มาของความเร็วในการชาร์จที่เพิ่มขึ้น
NISSAN LEAF มาพร้อมโหมดการขับเคลื่อน 4 โหมด เริ่มต้นที่ D Mode ตอบสนองต่อการใช้คันเร่ง และสมรรถนะการขับขี่สูงสุด, B Mode ระบบเน้นการจ่ายพลังงานกลับคืนแบตเตอรี่สูงสุด เพื่อให้ได้ระยะการใช้งานที่ไกลยิ่งขึ้น โหมดนี้จะลดการสึกหรอของผ้าเบรก เพราะมอเตอร์ไฟฟ้าจะหน่วง ชะลอความเร็วของรถ หรือทำงานในลักษณะ Regenerative Brake ในระดับที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น, ECO Mode ตัดระบบที่ใช้พลังงานสูงสุด ประหยัดพลังงานได้สูงสุด 10% เพิ่มระยะทางในการใช้งาน และ B+ECO Mode ระบบจ่ายพลังคืนแบตเตอรี่สูงสุด พร้อมตัดระบบการใช้พลังงานมากที่สุด เพื่อให้ได้ระยะในการใช้งานสูงสุด (ประหยัดสูงสุดถึง 30%)
นวัตกรรมที่น่าสนใจในNISSAN LEAF หนีไม่พ้น ‘คันเร่งอัจฉริยะ’ ที่ใช้ชื่อว่า ‘e-Pedal’ นับเป็นครั้งแรกในโลก ที่ระบบรูปแบบนี้ถูกนำมาใช้งาน วัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสนุก และเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ จากการใช้คันเร่งเพียงอย่างเดียวขณะขับรถ (สามารถใช้แป้นเบรกได้) ในการเพิ่มความเร็วรถ คันเร่งพร้อมทำหน้าที่ปกติของมัน แต่เมื่อผู้ขับลดระดับในการใช้แป้นคันเร่ง หรือค่อยๆ ถอนเท้าออก มอเตอร์ไฟฟ้าจะเพิ่มระดับในการหน่วง รถชะลอความเร็วโดยที่ผู้ขับไม่จำเป็นต้องแตะแป้นเบรก ‘e-Pedal’ จึงช่วยลดความเครียดในการขับรถในสภาพการจราจรที่แออัดได้อย่างลงตัว และผู้ขับสามารถเลือกเปิดหรือปิด การใช้ ‘e-Pedal’ ได้ตามความต้องการ
NISSAN LEAF เพิ่มความปลอดภัยให้กับคนเดินถนนด้วยระบบ VSP (Vehicle Sound for Pedestrian) เนื่องจากสัญชาตญาณในการระวังรถของคนเดินถนน ผูกติดกับเสียงจากเครื่องยนต์มานานแสนนาน LEAF ซึ่งเป็นรถ EV ที่ขับเคลื่อนโดยปราศจากเสียงที่มนุษย์คุ้นชิน วิศวกรจึงสร้างเสียงสังเคราะห์ขณะรถขับเคลื่อนผ่านลำโพง (เป็นมาตรฐานของ EV) เพื่อให้คนเดินถนนเพิ่มความระมัดระวัง เช่นเดียวกับรถยนต์ปกติ ทั้งหมดเป็นนวัตกรรม EV ล่าสุดใน NISSAN LEAF เจ้า ‘ใบไม้’ ไร้มลพิษ ที่ชาวไทยจะได้สัมผัส พร้อมจับจองเป็นเจ้าของอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้
- NISSAN เริ่มต้นพัฒนารถไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 1947 เป็นรถไฟฟ้าคันแรก ใช้ชื่อรุ่น ‘Tama’
เรื่อง: พิทักษ์ บุญท้วม
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th