Nissan Leaf เปิดประสบการณ์ใหม่ ในการขับรถพลังไฟฟ้า 100%
ไม่คิดว่าวันนี้ที่รอคอยจะมาถึงจริงๆ วันที่ชีวิตต้องศึกษา เรียนรู้ และยอมรับเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนๆ 100% ความรู้สึกที่สัมผัสมีความแตกต่างจากรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ที่มีน้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ความสนุกและความเร้าใจต่างกัน เสียงเครื่องยนต์คำรามที่กระตุ้นเร้าอารมณ์หายไป แต่กลับมีความสุขในอีกมิติหนึ่ง รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอาจเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทย แต่เชื่อเถอะว่าถ้าลองได้สัมผัสและมองเห็นความสำคัญในการใช้งาน “นิสสัน ลีฟ” (Nissan Leaf) มันจะเปิดมุมมองสู่โลกใหม่สำหรับคุณ!
ภูเขาทางขวาของภาพนั่นคือ ภูเขาไฟเตย์เด มีความสูงถึง 3,718 เมตร สูงเกือบเท่าภูเขาไฟฟูจิที่สูง 3,776 เมตร
การเดินทางไกลข้ามน้ำข้ามทะเลจากกรุงเทพไปยังเกาะเตเนริเฟ ประเทศสเปน ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เค้าจะเชิญเราทำไม นี่เป็นคำถามที่ถามตัวเองตั้งแต่ก่อนเริ่มออกเดินทาง แถมเกาะนี้ยังอยู่ห่างจากแผ่นดินสเปนลงไปทางใต้อีกกว่า 1,800 กิโลเมตร เป็นเกาะขนาดใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะคานารี เกาะแห่งนี้เกิดขึ้นจากการระเบิดของมวลพลังงานใต้ผิวโลก ผลักดันให้ผืนดินใต้ทะเลโผล่ขึ้นมาเหนือผืนน้ำกลายเป็นดินแดนแห่งใหม่ และด้วยพื้นที่ของเกาะตั้งอยู่บนมหาสมุทรแอคแลนติกเหนือ จึงทำให้มีลมที่พัดเข้าสู่เกาะอยู่ตลอดเวลา และกระแสลมแรง แสงแดดที่จัดจ้า ทำให้ที่นี่สามารถสร้างพลังงานจากธรรมชาติได้อย่างเหมาะเจาะ จึงกลายเป็นกิจกรรมที่นิสสันจัดขึ้นเพื่อแสดงนิทรรศการเทคโนโลยี “Nissan Electric Ecosystem Experience” ที่สถาบันเทคโนโลยีและพลังงานหมุนเวียน (Institute of Technology and Renewable Energies : ITER) ออกเสียงว่า อี-แตร์ ตามสำเนียงสเปน หรือ ออกเสียงว่า ไอ-เทอร์ ตามแบบอังกฤษ และที่สถาบันแห่งนี้มีประสบการณ์กว่า 25 ปี ในด้านวิศวกรรมและโทรคมนาคม รวมทั้งได้สร้างศูนย์สภาพอากาศชีวภาพที่ใช้พลังงานหมุนเวียนจากทุ่งกังหันลมและแผงพลังงานแสงอาทิตย์เอาไว้อย่างยิ่งใหญ่อีกด้วย
โดยไฮไลท์ของงานนี้คือ นิสสัน ลีฟ (Leaf) ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษรุ่นใหม่ล่าสุด ที่จะต้องมาทดลองขับใช้งาน 1 วันเต็มๆ กันในครั้งนี้ ซึ่งนิสสัน ลีฟ ถือเป็นสัญลักษณ์ของแนวคิดนิสสัน อินเทลลิเจนท์ โมบิลิตี้ (Nissan Intelligent Mobility) ทั้งยังเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มียอดขายสูงที่สุดในโลก ซึ่งลีฟรุ่นแรกที่ขายในยุโรป ทำยอดขายได้ถึง 283,000 คัน (เปิดตัวทำตลาดในปี พ.ศ. 2553) ส่วนลีฟรุ่นใหม่ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน เพราะตอนนี้มีลูกค้าสั่งจองไปแล้วมากกว่า 12,000 คัน แม้ว่าจะมีกำหนดการส่งมอบรถถึงโชว์รูมทั่วยุโรปภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ก็ตาม ถือว่ามาแรงจริงๆ
นิสสัน ลีฟ ใหม่ เป็นรถพลังงานไฟฟ้าที่สร้างขึ้นมาเพื่อสร้างประสบการณ์ขับใหม่ทั้งหมด 3 ด้าน คือ
อินเทลลิเจนท์ พาวเวอร์ (Intelligent Power) จากระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าขนาด 40 กิโลวัตต์ ให้พลังงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม แรงบิดเพิ่มสูงขึ้น และขับสนุกเร้าใจ
อินเทลลิเจนท์ ไดรฟ์วิ่ง (Intelligent Driving) ด้วยเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อการขับขี่ที่มั่นใจและปลอดภัย ลดความตึงเครียดในการขับขี่ลง
อินเทลลิเจนท์ อินเทเกรชั่น (Intelligent Integration) เป็นการเชื่อมโยงระหว่างรถยนต์นิสสันกับสังคม ผ่านการเชื่อมต่อและโครงข่ายไฟฟ้า ด้วยเทคโนโลยีการชาร์จไฟสองทิศทางที่ถือว่าโดดเด่นมากกว่าใคร ซึ่งสามารถชาร์จไฟกลับไปยังบ้านหรือสำนักงานที่ใช้ระบบเดียวกันนี้ได้อีกด้วย
รูปแบบตัวถังของนิสสัน ลีฟ ใหม่ มีความยาวตัวถัง 4.49 เมตร กว้าง 1.79 เมตร สูง 1.54 เมตร และระยะฐานล้อ 2.70 เมตร ดูมีสไตล์ ล้ำสมัย โฉบเฉี่ยวและดูเป็นมิตร มีเส้นสายที่ดึงดูดสายตา ปราดเปรียวและเฉียบคม มีความลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่ลดค่าแรงเสียดทานอยู่ที่ 0.28 (Cd)
หน้าตานั้นคุ้ยเคยมากกับไฟหน้ารูปทรงบูมเมอแรงและกระจังหน้าทรง V-Motion ที่เห็นได้จากนิสสันยุคใหม่ทุกรุ่น และมีสีตัวถังให้เลือกมากถึง 10 สี คือ Artic Solid White, Solid Red, Bronze Metallic, Gun Metallic, Spring Cloud, Blade Silver, Magnatic Red, Pearl White, Metallic Black และสีทูโทน Pearl White Body และ Metallic Black Roof ส่วนคันที่ทีมงานนิสสันยุโรปเตรียมเอาไว้ให้เป็นสีขาว Artic Solid White ที่ดูธรรมดาไปหน่อย แต่พอขับตามๆ กันในพื้นที่ธรรมชาติแล้ว มันช่างสวยงามและมีเสน่ห์จริงๆ
ส่วนภายในห้องโดยสาร มีการจัดวางเนื้อที่ใช้สอยให้รองรับการใช้งานอย่างเหมาะสม สไตล์ “Gliding Wing” ห้องโดยสารกว้าง ไม่อึดอัด นั่งสบายทั้งด้านหน้าและหลัง มีการเดินตะเข็บด้ายสีฟ้าที่เบาะนั่ง แผงแดชบอร์ดและที่พวงมาลัย ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เบาะนั่งฝั่งคนขับออกแบบได้เหมาะกับสรีระของคนเอเชียและยุโรป ปีกเบาะกระชับลำตัว และใช้วัสดุคุณภาพดีให้ความหรูหราระดับหนึ่ง และพื้นที่ด้านท้ายเมื่อเปิดฝากระโปรงท้ายมีความจุ 435 ลิตร มากพอที่จะวางกระเป๋าเดินทางใบใหญ่แบบวางแนวตั้งได้ 3 ใบ หรือวางจักรยานพับได้ 2 คัน และเมื่อพับเบาะหลัง (พับได้แบบแยกส่วน 60:40) จะมีพื้นที่เพิ่มมากขึ้นเป็น 1,176 ลิตร ถือว่าเป็นรถที่สร้างพื้นที่ในการเดินทางแบบครอบครัวได้อย่างตรงจุดทีเดียว
พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมากพอต่อการใช้งาน
เบาหลังนั่งสบาย กว้างขวาง ไม่อึดอัด
เดินตะเข็บด้ายสีฟ้า ทำให้รู้สึกถึงความผ่อนคลาย
สำหรับขุมพลังที่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของนิสสัน ลีฟ ใหม่ ติดตั้งแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน ขนาด 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พละกำลังสูงสุด 110 กิโลวัตต์ (150 แรงม้า) ที่ 3,283-9,795 รอบต่อนาที และมีแรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร (32.6 กิโลกรัม-เมตร) ที่ 0-3,283 รอบต่อนาที สามารถขับได้ไกลต่อการชาร์จไฟเต็ม 100% ตามมาตรฐาน NEDC หรือ มาตรฐานการทดสอบความประหยัดน้ำมันและมลพิษของยุโรป อยู่ที่ 378 กิโลเมตร และตามกระบวนการทดสอบรถยนต์น้ำหนักเบาระดับโลก หรือ WLTP ภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมายสหภาพยุโรป (เคลมว่าเมื่อใช้งานในสถานการณ์จริงมีความถูกต้องและแม่นยำที่สุด) อยู่ที่ 415 กิโลเมตร เมื่อขับในเมือง และ 270 กิโลเมตร เมื่อขับเฉลี่ยในเมืองและนอกเมือง สามารถทำความเร็วได้สูงสุด 144 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 7.9 วินาที
โดยใช้ระยะเวลาในการชาร์จไฟฟ้าแบบปกติ 21 ชั่วโมง (ไฟฟ้าจากบ้านขนาด 10A) และ 7.5 ชั่วโมง (เครื่องชาร์จไฟฟ้ารุ่นใหม่ Wallbox แบบ 7 กิโลวัตต์) และสามารถชาร์จไฟฟ้าจากระดับแจ้งเตือนถึงระดับ 80% (ชาร์จแบบเร่งด่วน) อยู่ที่ 40-60 นาที
อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญ นั่นคือ นิสสัน ลีฟ ใหม่ จัดเต็มด้วยเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ตามแนวคิดอินเทลลิเจนท์ โมบิลิตี้ อย่าง ProPILOT, ProPILOT Park และ e-Pedal
สำหรับ ProPILOT ถูกออกแบบเพื่อใช้ในการขับบนช่องจราจรเดียวบนทางหลวง และถูกยกระดับประสิทธิภาพเพื่อการใช้งานท่ามกลางสภาพจราจรติดขัดหรือขับทางไกลด้วยความเร็วสูง โดยที่ผู้ขับสามารถเปิดใช้งาน ProPilot ได้ทันทีเหมือนเปิดใช้งานครูสคอนโทรล ด้วยการกำหนดความเร็วที่ต้องการและระยะทางเท่านั้น ซึ่ง ProPilot จะทำงานด้วยการใช้สัญญาณเรดาร์ และกล้องในการปรับความเร็วให้สอดคล้องกับสภาพจราจรด้านหน้าและควบคุมให้ตัวรถอยู่ตรงกลางช่องจราจร และระบบนี้ยังใช้งานในสภาพการจราจรที่ติดขัดได้อย่างปลอดภัย แน่นอนว่าระบบนี้เหมาะกับการใช้งานในกรุงเทพมากๆ มันจะช่วยให้ไม่เครียดและลดความเมื่อยล้าได้พอสมควร
โดยที่เมื่อขับรถเข้าไปบนถนนที่มีการจราจรที่ติดขัด ระบบ ProPILOT จะทำงานเหมือนกันคือควบคุมระยะห่างระหว่างตัวรถกับรถคันหน้าโดยอัตโนมัติและสามารถเบรกเพื่อให้ตัวรถหยุดนิ่งถ้าจำเป็น และหลังจากหยุดนิ่ง ตัวรถจะยังคงอยู่กับที่แม้ว่าผู้ขับจะยกเท้าออกจากแป้นเบรกไปแล้ว ซึ่งเมื่อรถคันหน้ามีการเคลื่อนที่ รถจะเริ่มขับเคลื่อนเองโดยอัตโนมัติ
ส่วน ProPILOT Park พูดง่ายๆ คือ ฟังค์ชั่นช่วยจอดอัตโนมัติโดยไม่ต้องจับพวงมาลัยหรือเหยียบแป้นควบคุมนั่นเอง โดยที่ ProPILOT Park สามารถจอดเทียบข้างและถอยเข้าช่องจอด ทั้งแบบเดินหน้าหรือถอยหลังก็ได้ การใช้งานเพียงกดสวิทช์ ProPILOT Park ระบบจะควบคุมให้ตัวรถเคลื่อนที่เข้าช่องจอดได้โดยอัตโนมัติเต็มรูปแบบพร้อมกับใช้งานเบรกมือเมื่อรถจอดสนิทแล้วอีกด้วย
สำหรับ e-Pedal ต้องบอกว่าระบบนี้มันเจ๋งมาก เป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนรูปแบบการขับได้อย่างสิ้นเชิงด้วยการเร่งความเร็ว ลดความเร็ว และหยุดนิ่ง ด้วยการเพิ่มหรือลดแรงกดดันที่ใช้กับคันเร่งเท่านั้น ฉลาดมาก! เมื่อปล่อยคันเร่งรถจะลดความเร็วจนถึงหยุดนิ่ง นิ่งแบบนิ่งสนิท และจังหวะที่ลดความเร็วจะรู้สึกเหมือนกดแป้นเบรกราวๆ 30% แม้กระทั่งบนทางลาดชันก็ไม่จำเป็นต้องกดแป้นเบรก ซึ่งการลดความเร็วนี้จะรู้สึกได้ถึงแรงฉุดด้วยอัตราการลดความเร็วสูงสุด 0.2 จี
ระบบ e-Pedal นี้ทำให้ผู้ขับไม่ต้องขยับเท้าจากแป้นคันเร่งมาที่แป้นเบรกบ่อยครั้งเพื่อลดความเร็วหรือทำให้รถหยุดนิ่ง ช่วยลดความเมื่อยล้าและความเครียดในการขับในเมืองเป็นประจำทุกวัน และช่วยให้ใช้แป้นเบรกน้อยลงถึง 90 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับการขับรถแบบทั่วไป แรกๆ อาจรู้สึกแปลกๆ และเสียวๆ อยู่นิดหน่อย แต่พอคุ้นชินแล้วจะจับจังหวะการถอนคันเร่งเพื่อให้รถชะลอได้อย่างเหมาะสม ซึ่งง่ายกับการใช้งานมากๆ
นอกจากนี้ ที่แผงแดชบอร์ดยังได้ติดตั้งจอสี TFT ขนาด 7 นิ้ว ที่แสดงผลฟีเจอร์หลัก, ข้อมูลของรถ, เครื่องเสียง และระบบนำทางเอาไว้ โดยระบบนำทาง Nissan Connect EV Navigation System เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดมีระบบเชื่อมต่อบลูทูธและ DAB Radio ที่สำคัญระบบนำทางนี้ยังแสดงข้อมูลจุดชาร์จไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดแบบเรียลไทม์อีกด้วยสบายใจได้ รวมทั้งรองรับการเชื่อมต่อแอปเปิ้ล คาร์เพลย์ (Apple Carplay) และ แอนดรอยด์ ออโต้ (Android Auto) ซึ่งขึ้นอยู่กับประเทศที่จำหน่ายด้วย
สำหรับนิสสัน ลีฟ ใหม่ รุ่นที่จำหน่ายในต่างประเทศมีให้เลือก 4 รุ่น คือ Visia, Acenta, N-Connecta และ Tekna ที่มีออปชั่นแตกต่างกันออกไป โดยที่รุ่น Tekna จะเป็นรุ่นท้อป ส่วนรุ่น Visia เป็นรุ่นเริ่มต้น มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นราว 1.1 ล้านบาท ส่วนราคาจำหน่ายหากนำเข้ามาในประเทศไทย น่าจะแตะอยู่เกือบ 2 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ยังต้องรอความชัดเจนจากภาครัฐอีกทีว่าจะสนับสนุนรถในกลุ่ม EV นี้มากแค่ไหน
ทางขวาคือทางเข้าสถาบัน ITER
มากันที่การทดลองขับกันบ้าง เส้นทางที่ใช้มีจุดเริ่มต้นจากที่สถาบัน ITER ไปยังพื้นที่อุทยานแห่งชาติเตย์เด แวะพักที่โรงแรม Parador de Canadas del Teide ซึ่งอยู่ใกล้กับ Teide Cable ที่เป็นจุดขึ้นกระเช้าไปยังยอดเขาเตย์เด (Mount Teide) เพื่อพักทานอาหารกลางวัน โดยเส้นทางช่วงนี้เป็นการขับขึ้นที่สูงหรือขับขึ้นภูเขานี่ล่ะ สลับกับทางลงเขาเป็นช่วงๆ ถือว่าเป็นเส้นทางที่ต้องใช้พลังงานจากแบตเตอรี่อย่างหนัก แต่ก็มีช่วงที่สามารถชาร์จพลังงานเก็บไว้ในแบตฯ ได้อยู่ด้วยเช่นกัน
Back Ground นั้นคือ ภูเขาไฟเตย์เด
โดยในช่วง 38 กิโลเมตรแรก เหลือแบตฯ 67% ระยะทางที่จะขับได้อีก 152 กิโลเมตร เมื่อขับรถจุดแวะพักเป็นระยะทางราว 70 กิโลเมตร สถานะแบตเตอรี่อยู่ที่ 42% และระยะทางที่สามารถขับได้เหลือแค่ 70 กิโลเมตร เท่านั้น (จากจุดเริ่มต้นมาตรวัดแจ้งระยะทางที่แบตฯเต็ม เอาไว้ที่ 226 กิโลเมตร) แต่ดูจากแผนที่แล้วกว่าจะกลับไปถึง ITER ต้องขับอีกร่วม 80 กิโลเมตร แล้วแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่แค่นี้จะไปถึงเหรอ..นี่เป็นคำถามที่คุยกับเพื่อนนักข่าวจากประเทศไทยที่เป็นคู่หูกันไปตลอดทาง มาติดตามกันว่าสุดท้ายแล้วผลสรุปจะเป็นอย่างไร
หลังจากอิ่มกันเรียบร้อยแล้ว ได้เวลาเดินทางกันต่อ เส้นทางจากนี้มีการขับขึ้นภูเขาอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นเป็นเส้นทางลงภูเขาทั้งหมด ซึ่งบรรยากาศสองข้างทางสวยงามและแปลกตามาก จากพื้นที่ที่เกิดขึ้นจากภูเขาไฟ ฝากหนึ่งแห้งแล้งเสมือนบรรยากาศบนดาวอังคารที่ดูตามภาพยนตร์ แต่อีกฝากหนึ่งกลับเขียวชอุ่มด้วยต้นสนสูงใหญ่ ขับผ่านมาอีกหน่อยไม่มีต้นไม้ใหญ่ มีแต่ไม้พุ่มเตี้ย สักพักเจอแดดจัด แต่พอขับมาอีกหน่อยกลับเจอกลุ่มม่านหมอกที่แทบทำให้มองไม่เห็นถนนข้างหน้า แถมอากาศนอกตัวรถยังเย็นตลอดทาง บางช่วง 12 องศาเซลเซียส บางช่วงเหลือแค่ 5 องศาเซลเซียส (แต่บนยอดเขาเตย์เดอุณหภูมิ -1 เป็นยังไงล่ะ งงแบบหนาวๆ เลยทีเดียว) เป็นสภาพภูมิประเทศและอากาศที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มหัศจรรย์สุดๆ และเส้นทางสวยสุดๆ อีกด้วย
การที่ขับรถชมวิวและใช้ความเร็วราว 70-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วงล่างที่นุ่มนวล แต่เกาะถนนหนึบหนับ ปล่อยคันเร่งลงทางลาดด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วาดพวงมาลัยไปตามโค้ง รถวิ่งเข้าโค้งแบบนิ่มๆ ได้ยินเพียงเสียงของยางที่บดไปตามผิวถนนเท่านั้น ไม่มีเสียงของเครื่องยนต์เหมือนที่เคยสัมผัส เป็นประสบการณ์ใหม่ของการขับรถที่อารมณ์เหมือนกับการล่องเรือไปตามลม ทุกอย่างดูเรียบง่ายและพริ้วไหว มีความคล่องตัวและควบคุมได้อย่างง่ายดายไปตลอดทางทำให้ลืมนึกถึงระยะทางที่รถจะขับไปได้! แต่พอกลับมาดูมาตรวัดระยะ..ปรากฎว่าระยะทางที่จะขับไปได้กลับเพิ่มขึ้น และสถานะแบตฯ ก็เพิ่มขึ้นด้วย!
สุดท้ายก่อนถึงจุดหมายปลายทางเป็นเส้นทางไฮเวย์ยาวๆ ร่วม 30 กิโลเมตร พยายามเลี้ยงความเร็วเอาไว้ที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อดูว่าจะมีการสิ้นเปลืองแบตฯ แค่ไหน ซึ่งสุดท้ายแล้วรวมระยะทางที่ขับทั้งหมด 156 กิโลเมตร เหลือแบตเตอรี่อีก 38% และเหลือระยะที่สามารถขับได้อีก 128 กิโลเมตร นั่นเท่ากับว่า หากพูดเป็นตัวเลขคร่าวๆ จากจุดเริ่มต้นที่แจ้งตัวเลขเอาไว้ที่ 226 กิโลเมตร เมื่อลองใช้งานจริงน่าจะขับได้ถึง 250 กิโลเมตร ซึ่งขับได้มากกว่าที่เห็นในตอนแรก และเส้นทางที่ใช้ถือว่าจำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าค่อนข้างมากอยู่ด้วยเช่นกัน นี่ถ้าใช้งานปกติแบบที่มีจุดชาร์จไฟเอาไว้เป็นระยะ ก็ไม่ต่างจากการแวะเติมน้ำมัน (แน่นอนว่าต้องใช้เวลาในการชาร์จไฟนานกว่า) แต่เงินที่ต้องจ่ายเพื่อชาร์จไฟฟ้าก็ถูกกว่าเติมน้ำมัน แล้วถ้าวางแผนการเดินทางเอาไว้ เช่น จากบ้านไปที่ทำงานมีระยะทางไปกลับ 100 กิโลเมตร รถคันนี้ไม่จำเป็นต้องชาร์จไฟฟ้าระหว่างทางหรือชาร์จที่ออฟฟิศ ยังสามารถขับกลับถึงบ้านได้ และชาร์จไฟฟ้าจากที่บ้านในตอนกลางคืนเท่านั้นเอง คิดแล้วคุ้มนะ
โดยรวมแล้วถือว่า นิสสัน ลีฟ ใหม่…เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ของการขับเคลื่อนจริงๆ หากคิดในแง่ของความคุ้มค่าในมุมของผู้ใช้รถถือว่าคุ้มมาก คิดเฉลี่ยแล้วแบตเตอรี่ขนาด 40 กิโลวัตต์ เทียบเป็น 1 กิโลวัตต์ สามารถขับได้ประมาณ 5 กิโลเมตร แต่สามารถขยับเพิ่มขึ้นได้เป็น 7 กิโลเมตร การชาร์จไฟฟ้าเต็ม 1 ครั้ง กับระยะที่ขับได้มีราคาที่ถูกกว่าเติมน้ำมัน แต่ในแง่ของจุดชาร์จไฟฟ้าหรือนโยบายด้านการสนับสนุนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า คงต้องฝากให้ภาครัฐมีความชัดเจนและสนับสนุนอย่างตรงจุด เพราะในตอนนี้มั่นใจว่าภาคเอกชนหลายรายพร้อมที่จะพัฒนารถในกลุ่มนี้เอาไว้แล้ว จากการที่ได้ไปเห็น ได้สัมผัส ได้เข้าใจแนวคิด ยิ่งทำให้มีความเชื่อว่าในเร็วๆ นี้ ประเทศไทยน่าจะมีความพร้อมในการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างนิสสัน ลีฟ ใหม่ อย่างแน่นอน…เพราะถ้าไม่เริ่ม ทุกอย่างจะหยุดนิ่ง แต่ถ้าเริ่มลงมือ อย่างน้อยยังได้เริ่มเดินหน้า ส่วนเดินหน้าแล้วจะล้มหรือจะเจออุปสรรค ถ้ามีเพื่อนร่วมประคับประคองก็สามารถเดินไปถึงจุดหมายได้เช่นกัน..รถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะไม่เป็นเพียงความฝันอีกต่อไป.
ลองมาแล้ว พูดแบบไม่เกรงใจว่ามันน่าใช้งานจริงๆ แต่ถ้าราคาสูงไปก็ไม่ไหวนะ
ส่วนหนึ่งของเส้นทางที่ขับผ่าน สวยงามจริงๆ แถมพื้นผิวถนนยังเรียบเนียนน่าขับรถมากๆ
นิสสัน ลีฟ ใหม่ คันนี้จะมีอนาคตแค่ไหนในประเทศไทย?
เรื่อง/ภาพ: พุทธิ ผาสุข
ภาพ official จาก Nissan Europe
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th