Nissan Note First Gen… “คุ้ม” เกินคาด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสถานะ “Used Car”
ถ้ายังจำกันได้ “โครงการรถคันแรก” คือ การปลุกกระแสจากรัฐบาล ที่ทำให้แบรนด์ผู้ผลิตมากมายในเมืองไทย ก้าวลงไปเปิดศึกในสมรภูมิรถ Eco Car … ทั้งยังส่งให้ผู้บริโภคทั่วฟ้าเมืองไทย กลายเป็น “มนุษย์ต่างดาวน์” กันทุกหย่อมหญ้า เพราะต่างคน ต่างหาเงินดาวน์มาออกรถกันอย่างบ้าคลั่ง ผ่อนหมดบ้าง ไม่หมดบ้าง อันนี้ขอไม่พูดถึง แต่จากตัวเลขยอดจำหน่าย ก็คงจะพอทำให้หลายแบรนด์ผู้ผลิตที่ร่วมศึก ต่างก็ยิ้มแก้มปริกันทั่วหน้า
ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ แบรนด์ Nissan ที่เปิดฉากตลาด Eco Car ได้สวยงามกับการมาของ Nissan March ยนตรกรรม Hatchback หน้าตาน่ารัก เจนเนอเรชั่นแรก ราวไตรมาสแรกของปี ค.ศ. 2010 ต่อเนื่องด้วยการสร้างแรงกระเพื่อมให้ตลาดอีกครั้งในปี ค.ศ. 2011 จาก Nissan Almera กับฐานะของ Eco Car สไตล์ Sedan เจนเนอเรชั่นแรก
หลังจาก Nissan March และ Nissan Almera รวมถึงแบรนด์คู่แข่งอื่นๆ ในเกมส์ Eco Car กวาดยอดจำหน่ายกันไปแบบถล่มทลาย จนยอดกราฟเข้าสู่จุดชะลอตัว ทาง Nissan จึงตัดสินใจเดิมเกมส์ใหม่อีกระลอก ด้วยการส่ง Nissan Note ยนตรกรรม Eco Car ลำดับที่ 3 สไตล์ Hatchback ที่มากับการพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ เข้าสู่ตลาดเมืองไทย ภายใต้แนวคิด Nissan Intelligent Mobility
ตีความแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือ … Nissan Note เป็นรถ Eco Car ที่มากับ “ตัวถัง” ขนาดใหญ่ใกล้เคียง B-Segment บนงานดีไซน์ที่สปอร์ตขึ้น แถมยังเติมเทคโนโลยีล้ำสมัยทั้งในส่วนของความสะดวกสบาย และความปลอดภัยเข้าไปอีกเพียบ “เพื่อส่งขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารแห่งวงการ Eco Car” ซึ่งเราหมายถึง “ราคา” ด้วยเช่นกัน เพราะคลื่นลูกแรก ถูกส่งออกมาทำตลาด 2 รุ่นย่อย เริ่มต้นที่ 1.2 V ราคา 568,000 บาท และรุ่นสูงสุด 1.2VL ราคา 640,000 บาท
แต่ดูเหมือนยอดขาย จะโตได้ไม่เท่ากับความคาดหวัง เลยทำให้ในปี ค.ศ. 2019 ค่าย Nissan ต้องปรับกลยุทธ์ด้วยการส่ง Nossan Note เวอร์ชั่นปรับโฉมใหม่ออกมา เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจง่ายขึ้น (อีกนิด) แต่ประเด็น คือ ยังใช้พื้นฐานเดิม เพิ่มเติม คือ งานดีไซน์ที่แต่งหน้าทาปากใหม่, ใส่ลูกเล่นด้านเทคโนโลยีเข้าไป ก่อนปิดท้ายด้วยการแบ่งเป็น 3 รุ่นย่อย เริ่มต้นที่รุ่น 1.2 E ราคา 568,000 บาท, รุ่นกลาง 1.2 V ราคา 609,000 บาท และรุ่น 1.2 VL ซึ่งยังตรึงราคาไว้ที่ 640,000 บาท
ส่วนสมรรถนะของทั้ง 2 เวอร์ชั่น ยังคงมากับเครื่องยนต์เบนซิน บล็อกเดียวกับ 2 รุ่นพี่ Eco Car ในค่าย คือ ความจุ 1.2 ลิตร 3 สูบ 12 วาล์ว มีกำลังสูงสุด 79 แรงม้า พร้อมแรงบิด 106 นิวตันเมตร ส่งกำลังไปที่ล้อคู่หน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT พร้อมระบบ Idling Stop มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน รวมถึงสิ่งที่เป็นออพชั่นอำนวยความสะดวกสบาย และความปลอดภัยอีกหลายรายการ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคชาวไทย
แต่ก็ไม่อาจ “กู้สถานการณ์” ให้ดีขึ้น จนท้ายที่สุด บริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย จึงตัดสินใจยุติการทำตลาดไปในปี 2022 ที่ผ่านมา ฉะนั้นจึงเท่ากับว่า Nissan Note เดินหน้าเข้าสู่ยุคของการเป็น Used Car แบบเต็มสารบบ แต่หลังได้ฟังเรื่องราว จากปากผู้ใช้ Used Car จริง กลับพบ “เซอร์ไพรส์” เกินคาด แถมเรื่องที่ว่ายังมาจาก Used Car จนเนอเรชั่นแรกของ Nissan Note อีกด้วย !!! … ฉะนั้น ถ้าอยากรู้ “ตามมา”
จุดเด่น
– Nissan Note มือสองทุกเจนเนอเรชั่น “ราคา” ต่ำลงประมาณครึ่งของป้ายแดง หรือ ราวๆ 3 แสนบาท ถึงไม่เกิน 4 แสนบาท หากเทียบกับรถที่มีขนาดตัวถังในกลุ่มเดียวกัน แต่ได้รถที่ปีใหม่กว่า
– ตัวถังใหญ่ ห้องโดยสารกว้าง ประตูเปิดได้เกือบ 90 องศา ทำให้เข้า–ออก ได้สะดวก
– Leg Room เบาะหลังค่อนข้างกว้าง นั่งสบาย และสามารถอัพเกรดความสบายได้ด้วยการเปลี่ยนเป็นเบาะหลังแบบมีที่พักแขนตรงกลาง
– ทนทานเป็นเลิศ ถ้าดูแลดี เข้าเช็คระยะ เปลี่ยนถ่ายของเหลวตามกำหนด และเลือกใช้ให้ถูกสเปคตามที่กำหนดในคู่มือ
– ค่าใช้จ่ายไม่สูง เข้าเซอร์วิสตามอู่นอกอยู่ราวๆ 2-3,000 บาท
– เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ ควรใช้ “ของดี” เกรด 3 ราคาจะอยู่ประมาณ 2-3,000 บาท แต่เกรด 2 ที่ราคาถูกกว่าก็ใช้ได้ แต่ถ้าจะให้แนะนำ คือ “เจ็บ แต่ จบ” ที่เกรด 3 ตามกำหนดในคู่มือ เท่านี้ก็สามารถใช้งานกันได้ยาวๆ
– ดูแลง่าย ไม่ซับซ้อน เพราะเป็นพื้นฐานของ Eco Car จะมีนิดหน่อยก็เรื่องของซอฟท์แวร์ แล้วก็ความผิดพลาดจากกากรเอาไปติดออพชั่นเพิ่มเติม เช่น เครื่องเสียงหน้าจอ ซึ่งอาจจะมีอาการช็อตเกิดขึ้นบ้าง
– ประหยัดน้ำมัน (ผู้ใช้ขับทางไกลคนเดียว ความเร็วเฉลี่ย 100 – 110 กม./ชม. ทำได้ประมาณ 18 กม./ลิตร กับน้ำมัน E20 ถ้า E10 อยู่ราวๆ 24-25 กม./ลิตร แต่ถ้า 95 เพียวๆ ขึ้นไปถึง 27 กม./ลิตร) ฉะนั้นในเมืองใช้ E20 ประหยัดเงินได้ดีกว่า แต่ถ้าทางไกลเติม E10 หรือ 95 เพียวๆ จ่ายแพงกว่า แต่ก็สามารถลดภาระ และยืดอายุการใช้งานเครื่องยนต์ได้ดีกว่า
จุดที่ควรพิจารณา
– ปัญหาใหญ่จากการใช้งานหลักๆ คือ บูชเกียร์แตก และแอร์ไม่เย็น แต่เป็นกรณีที่เกิดขึ้นน้อยมาก
– ปัญหาเล็กๆ น้อย ก็เช่น มีเสียงจากห้องเครื่อง หรือสายพาน แต่ไม่ได้สร้างปัญหาในการขับขี่อะไรมาก
– อัตราเร่งอาจจะคิดว่า “อืด” แต่จริงๆ คือ เป็นบุคลิกของเกียร์ CVT ที่ต้องเข้าใจ แต่เราสามารถนำพฤติกรรมการขับขี่มา “สอน” ให้ตัวรถค่อยๆ เรียนรู้ และจดจำได้ อีกเรื่อง คือ ประเภทของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ ก็สามารถแสดงความต่างเรื่องการตอบสนองค่อนข้างชัดเหมือนกัน
– การเก็บเสียง อาจจะไม่ค่อยประทับใจนักในช่วงความเร็ว 80 กม./ชม. ขึ้นไป รวมถึงถ้ายางเริ่มเก่า ก็จะได้ยินเสียงจากข้างหลังค่อนข้างชัด ส่วนเสียงจากเครื่องยนต์ ถือว่าไม่ก่อกวนเท่าไหร่ แม้จะมีบ้างช่วงกดคันเร่งเยอะๆ แต่ก็ไม่ได้น่าหงุดหงิด
– เกียร์ CVT มีอายุการใช้งานอยู่แล้ว ซึ่งหากผ่านการใช้งานหนักหน่วง การดูแลไม่ได้เป็นไปตามระยะ ก็อาจเกินความเสียหายได้ แต่ถ้าได้รถดี เจ้าของเก่ามีวินัยในการดูแลรักษาก็อยู่กันไปยาวๆ สบายๆ
คำแนะนำสำหรับการเลือกซื้อรถ
– ควรหารถที่สภาพดีจริงๆ ไม่หมกเม็ด กรอไมล์ จะได้มั่นใจว่าไม่มีเรื่องจุกจิก กวนใจ
– รุ่นท็อปเจนเนอเรชั่นที่ 2 ตัวปีท้ายๆ จะได้ออพชั่นเยอะสุด เพราะงั้นถ้าราคามือสอง ต่างกันไปมาก หารุ่นท็อปมาเล่น คุ้มค่าสุด
– สิ่งที่ต้องทำหลังจากได้รถ ก็ตรวจเช็คทั่วๆ ไป เปลี่ยนถ่ายของเหลวใหม่ แล้วก็ดูแลกันไปตามระยะที่กำหนด จะได้ใช้งานแบบมั่นใจไปยาวๆ
– ถ้าเจอรถช้ำ ไมล์เยอะ ใช้งานหนัก อาจต้องเผื่อค่าใช้จ่ายเอาไว้ดูแล เรื่องระบบส่งกำลังซักหน่อย แต่ถ้าเป็นส่วนอื่นๆ ผู้ใช้ Nissan Note ตัวจริง และเป็นมือสอง เจนเนอเรชั่นแรกๆ ของการทำตลาด เค้ายืนยันมาแล้วว่า “ทนหายห่วง” แม้กระทั่งเพื่อนร่วมค่ายทั้ง March และ Almera ด้วยเช่นกัน
เรื่อง: กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th