เมื่อ Nissan เปิดบ้านโชว์ความล้ำสมัยแห่งโลกยานยนต์
ในช่วงของการจัดงาน Tokyo Motor Show 2019 นอกจากการได้สัมผัสกับสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกยานยนต์บนพื้นที่ในงานนี้แล้ว ทาง Nissan ยังเปิดบ้านต้อนรับสื่อมวลชนจากทั่วโลกเพื่อสัมผัสกับ ‘อะไร’ ที่มีมากกว่าการจัดแสดงในงาน Tokyo Motor Show 2019 และแน่นอนว่า Nissan Intelligent Mobility Technology Tour ในครั้งนี้ถือว่าไม่ธรรมดา และทำให้เราได้รับรู้ถึงสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากบ้านของพวกเขาที่ Yokohama ประเทศญี่ปุ่น
และทาง Grand Prix Online ได้รับเกียรติจากบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ร่วมเดินทางเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสัมผัสประสบการณ์ใหม่ในครั้งนี้ด้วย
Day 1
เอาเข้าจริงๆ แล้ว ในช่วง 2 วันแรกของทริปนี้ถือเป็นช่วงอุ่นเครื่องก่อนที่พวกเราจะได้พบกับอะไรที่น่าสนใจและน่าตื่นตาตื่นใจในวันต่อๆ มา โดยหลังจากที่คณะสื่อมวลชนไทยเดินทางมาถึงที่ญี่ปุ่น ในวันรุ่งขึ้นพวกเราได้เริ่มงานทันทีท่ามกลางสายฝนโปรปรายและลมสุดแรงเพราะการเข้ามาของพายุลูกที่ 20 ของปีต่อจากที่ก่อนหน้าร่วมๆ 1 สัปดาห์นี้ Hagibis ได้ถล่มญี่ปุ่น
ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเพราะพายุลูกนี้ไม่ได้รุนแรงเท่า แต่แค่ทำให้การทดสอบรถยนต์ในวันแรกขลุกขลักนิดหน่อย เพราะต้องวิ่งฝ่าฝนออกไปที่จุดจอดพักรถบนถนนในแถบ Odaiba แหล่งท่องเที่ยวอีกจุดของญี่ปุ่นใน Tokyo ด้วยความที่เป็นการรวมตัวของนักข่าวทั่วโลกที่มีจำนวนมาก ทำให้คิวในการได้ลองสัมผัสรถยนต์ของ Nissan อาจจะไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของทุกคน แน่นอนว่า เราเล็ง Note e-POWER เอาไว้เพราะมีข่าวว่า Nissan บ้านเรากำลังจะนำเครื่องยนต์รุ่นนี้เข้ามา แต่สุดท้ายก็มาพบกับ Day Z เจ้า Kei-Car คันจิ๋วทรงสูงแทน
คำถามที่น่าสนใจซึ่งเรามักจะได้ยินอยู่เสมอว่า ทำไมบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นถึงไม่เอารถยนต์ Kei-Car เหล่านี้เข้ามาขายในบ้านเราบ้าง ถ้าให้ตอบแบบคำปั้นทุบดิน ก็เห็นจะเป็นเรื่องสเป็กของตัวรถที่ถูกพัฒนาเพื่อขายในญี่ปุ่นที่มีข้อจำกัดในเรื่องพื้นที่ ซึ่งดูแล้วยังไงก็ไม่เหมาะกับการใช้งานในบางประเทศ แม้ว่าหน้าตาของบางรุ่นจะดูสวยและสะดุดตาก็ตาม
นอกจากนั้นอีกเรื่องคือ เครื่องยนต์ตามสเป็กแบบ 3 สูบ 660 ซีซีที่มีการจำกัดแรงม้าตามกฎหมาย อาจจะชวนให้คุณรู้สึกหงุดหงิดเวลาขับโดยเฉพาะคนไทยที่ใช้รถยนต์คันเดียวเที่ยวทั่วประเทศ ซึ่งบนถนนที่เราได้ทดลองขับนั้น แม้จะเป็นเส้นทางในเมืองและมีช่วงขึ้นลงสะพานที่ไม่ชันมากนัก แม้ว่า Dayz จะตอบสนองต่อการขับได้ดี แต่ก็แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะเมื่อต้องเจอสภาพที่มี Load เกิดขึ้น เช่น การขึ้นสะพานและบรรทุกผู้โดยสารอีก 2 คน จะรู้สึกได้เลยว่าจะต้องเค้นเอาพลังทุกหยดจากขุมพลังออกมาเพื่อให้ตัวรถเอาชนะแรงโน้มถ่วงของโลกให้ได้
ตัวรถยนต์ไม่ได้ผิดอะไร เพราะสเปกถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานภายใต้เงื่อนไขของประเทศญี่ปุ่น เพียงแต่คิดว่าไม่ถูกจริตกับคนไทยอย่างแน่นอน นอกจากคุณจะซื้อรถยนต์พวกนี้มาเป็นคันที่ 2 สำหรับขับเล่นกินลม ชิลล์ๆ เพราะขนาด Eco Car ที่ใช้เครื่องยนต์ 1,200 ซีซีหลายคนยังบ่นเรื่องสมรรถนะที่ไม่ทันใจและเท้าขวาของพวกเขา แล้ว Kei-Car จะไปเหลืออะไร
ต่อจากการสัมผัสสมรรถนะแบบคร่าวๆ แล้ว ในช่วงเย็นเรามีนัดเดินทางไปเยือนสำนักงานใหญ่ของ Nissan ที่เมือง Yokohama เพื่อร่วมการเปิดตัวรถแข่ง Formula E รุ่นใหม่ของพวกเขาที่ลงแข่งขันภายใต้ชื่อทีม e.dams Nissan พร้อมกับตัวแข่ง Nissan LEAF NISMO RC ที่เราจะได้มีโอกาสนั่งในวันถัดๆ ไป
เมื่อเปรียบเทียบกับ Formula 1 แล้ว ความนิยมของ Formula E อาจจะไม่เทียบเท่ากับมอเตอร์สปอร์ตรายการนี้ที่อยู่มานานกว่า 50 ปีแล้ว แต่ในแง่ของอนาคต นี่คือประเด็นที่น่าสนใจซึ่งผมสงสัยมาตลอดว่าจะเป็นอย่างไร เพราะที่ผ่านมามอเตอร์สปอร์ตทำหน้าที่ในการเป็นพื้นที่เพื่อทดลองความยอดเยี่ยมในเชิงวิศวกรรมและต่อยอดมาสู่การใช้เป็นแนวทางการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขาย แต่ในขณะที่การขับเคลื่อนและการเดินทางของคนในยุคหน้าชี้ชัดแล้วว่าจะพุ่งเป้าไปที่ขุมพลังที่สะอาดและไร้มลพิษเพื่อทดแทนเครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือ I.C.E. แล้วอย่างนี้ Formula E จะสามารถแจ้งเกิดแทน Formula 1 ได้ไหม ?
เป็นไปได้ แต่จะเป็นอย่างไร และ Formula 1 จะมีการแก้เกมอย่างไร ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่หนังเรื่องนี้คงต้องดูกันยาวๆ และอีกนานเอาเรื่องเลยทีเดียว เพราะกว่าที่โลกเราจะถูกครองด้วยรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV นั้น น่าจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ใช่ 5-10 ปีข้างหน้านี้อย่างแน่นอน
สำหรับงานเปิดตัวรถแข่งรุ่นใหม่ของ Nissan ทำอย่างง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน ผู้บริหารระดับสูงของ Nissan อย่าง Asako Hoshino ซึ่งเป็นรองประธานบริหารของ Nissan Motor กล่าวสรุปถึงภาพรวมและทิศทางของ Nissan กับโลกมอเตอร์สปอร์ต ก่อนที่ Michael Caramo Global Motorsport Director ของ Nissan จะขึ้นมาอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถแข่งรุ่นใหม่เพื่อใช้ในการแข่งขันซีซั่นที่ 6 (2019-2020) ซึ่งถูกออกแบบภายใต้แนวทาง Kimono Theme พร้อมกับกล่าวแนะนำ 2 นักแข่งของทีม ซึ่งก็คือ Sebastien Buemi และ Oliver Rowland โดยในปีที่แล้ว ทั้งคู่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์กรังด์ปรีซ์สนามแรกที่ New York และตัว Buemi เองจบซีซั่นด้วยการมีคะแนนสะสมเป็นอันดับที่ 2 ในตารางประเภทนักแข่ง และเราหวังว่าพวกเขาจะทำผลงานได้อย่างต่อเนื่องสำหรับซีซั่นนี้
Day 2
รอบ Press Day ของ Tokyo Motor Show 2019 รออยู่ที่ Tokyo Big Sight ปีนี้ค่อนข้างแปลกและชวนให้ทำงานยาก เพราะพื้นที่จัดแสดงถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ แถมยังกระจายกันห่างมากชนิดที่ถ้าเดินมีเมื่อยอย่างแน่นอน โดย Nissan อยู่ในพื้นที่หลักของการจัดแสดงนั่นคือ Ariake Exhibition ซึ่งประกอบด้วย 2 Hall จัดแสดงในส่วนตะวันตกและฝั่งใต้
ก่อนหน้างานเริ่มไม่นานเราได้ทราบว่าจะได้เห็นอะไรที่เป็นทีเด็ดในงานนี้ของ Nissan และแน่นอนว่านี่คือ อีกขั้นของการรุกคืบเข้าสู่ตลาด EV ของพวกเขาต่อจากที่พยายามมาตั้งแต่ปี 2009 นับจากการเปิดตัวรุ่น LEAF ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตเพื่อขายในเชิงพาณิชย์รุ่นแรกของโลก
Ariya Concept คือ ชื่อของผลผลิตใหม่ที่เตรียมตัวออกสู่ตลาดต่อไป และแน่นอนว่ามันมากับตัวถัง SUV ตามสมัยนิยมแต่สิ่งที่ทำให้ Ariya สะกดทุกสายตาในช่วงของการเปิดตัวคือ ความกลมกลืนและไหลลื่นของงานออกแบบ ที่ Alfonso Albaisa รองประธานอาวุโสที่ดูแลในส่วนของงานออกแบบกล่าวว่า มันคือ ‘ฟิวเจอร์ริสม์แบบญี่ปุ่นที่เหนือกาลเวลา’ (Timeless Japanese Futurism)”
ตัวรถถูกต่อยอดในการพัฒนามาจากพื้นฐานของ LEAF แต่เพิ่มเติมคือฟังก์ชั่นในเรื่องของการขับเคลื่อนในรูปแบบของ 4 ล้อด้วยการใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุดในการคุมเพลาขับหน้าและหลัง ซึ่งแม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดเผยสเป็กของตัวรถออกมา แต่เชื่อเลยว่า มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวช่วงออกตัวนี่ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
อีกรุ่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ IMk ที่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นรถยนต์ทรงกล่องสูงตัวถัง Kei-Car แต่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ตรงนี้ผมเชื่อว่าเป็นการแสดงวิสัยทัศน์และการเอาจริงของ Nissan ในการขยายแนวรุกในตลาดรถยนต์ EV และไม่ใช่แค่ในตลาดโลกเท่านั้น แต่รวมถึงตลาดในบ้านตัวเองอีกด้วย เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า Kei-Car ผลิตเพื่อขายในญี่ปุ่นแห่งเดียว ดังนั้นการขยับตัวครั้งนี้เหมือนกับการส่งสัญญาณออกมากลายๆ ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
สำหรับบนพื้นที่รอบๆ ของ Nissan นั้น เราได้เห็นรถยนต์ที่เด่นๆ รองลงมาถูกนำมาจัดแสดง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นพวก JDM ที่เน้นการทำตลาดในบ้านตัวเอง เช่น Skyline ใหม่ที่มากับระบบ ProPILOT 2.0 ที่ว่ากันว่าทันสมัยที่สุดของระบบช่วยเหลือคนขับ ณ ตอนนี้ ตามด้วย DayZ ที่มีโอกาสได้ขับในวันแรก และ Serena e-POWER
Day 3 Part 1
ถ้าถามว่าในทริปนี้ วันไหนคือ ไฮไลท์ที่ผมเฝ้ารอที่สุด ถ้าตอบตอนที่โปรแกรมอย่างละเอียดยังไม่ออกมา คือ วันที่ 3 และ 4 ของการเดินทางนี่แหละ แต่หลังจากที่รู้ตารางการทำงานแล้ว ขอตอบอย่างมั่นใจว่าวันที่ 3 นี่แหละ ในวันนี้เป็นวันที่เราจะได้สัมผัสกับรถยนต์ และเทคโนโลยีของ Nissan แบบเต็มๆ และพวกเขาเปิดพื้นที่ Grand Drive ซึ่งเป็นสนามทดสอบแถบนอกเมือง Yokohama ให้พวกเราได้สัมผัสอะไรกันอย่างเต็มที่ ในขณะที่ช่วงบ่าย เราจะย้ายไปอีกจุด เพื่อทดลองระบบ ProPILOT 2.0 ที่เพิ่งเปิดตัวออกมาอย่างเต็มๆ บนถนนจริงๆ เพื่อดูว่า มันยอดเยี่ยมตามที่มีการร่ำลือออกมาหรือไม่
ที่ Grand Drive พระเอกของงานคือ Nissan LEAF Test Car ใช้พื้นฐานจากรถยนต์ไฟฟ้า 100% นิสสัน ลีฟ อี-พลัส (LEAF e +) เสริมสมรรถนะด้วยระบบขับเคลื่อนแบบออลวีล จากมอเตอร์ไฟฟ้าพลังสูงติดตั้งทั้งด้านหน้าและด้านหลังรวมกันได้ตัวเลขถึง 227 Kw และแรงบิดระดับ 69.3 กก.-ม. ผสานกับเทคโนโลยีการควบคุมแชสซีของ Nissan ผลลัพธ์ที่ได้คือระบบควบคุมล้อแบบออลวีล (All-wheel-control system) ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เสริมประสิทธิภาพรถยนต์ไฟฟ้าของนิสสันไปสู่อีกระดับ
ระบบนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป้าหมาย 3 ส่วนคือ ความสะดวกสบายในการขับขี่โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่เมืองกับสภาพการจราจรเคลื่อนที่ช้าๆ รถติดสลับเคลื่อนตัว ทำให้การขับ EV บางครั้งอาจจะทำให้หลายคนปวดหัวได้เพราะอาการกระชากไปมา และจากการควบคุมความแม่นยำของมอเตอร์ทั้งสองในรถยนต์ทดสอบนั้น สามารถให้ตัวรถตอบสนองได้ดีขึ้น เช่น เมื่อมีการชะลอความเร็วในเมือง ระบบจะช่วยให้ผู้โดยสารไม่ให้ถูกเขย่าไปมา ช่วยลดโอกาสในการเกิดอาการเมาและรู้สึกไม่สบาย
การยึดเกาะถนน ซึ่งตัวระบบจะถูกพัฒนาให้คล้ายกับมีระบบ ESC ติดตั้งอยู่ทำให้การเข้าโค้งมั่นใจขึ้น และการขับบนพื้นผิวที่มีการยึดเกาะไม่เท่ากันก็ดีขึ้นโดยระบบนี้จะมีการควบคุมเบรกแบบอิสระของล้อทั้งสี่ เพื่อเพิ่มแรงในการเข้าโค้งที่เกิดจากยางแต่ละล้อ ซึ่งจะช่วยให้เข้าโค้งได้ดีขึ้นและป้องกันอาการหน้าดื้อโค้ง หรือ Understeer
สุดท้ายถูกใจเราที่สุดคือ ‘สมรรถนะ’ ผมจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่มีอาการเหมือนกับเลือดฉีดขึ้นสมอง คือ การขับ Bentley Continental GT ที่ใช้เครื่องยนต์วี8 และอาการเดียวกันนี้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อ Instructor สั่งให้ขยี้คันเร่ง Nissan LEAF Test Car จากจุดหยุดนิ่ง อาการดิ้นของล้อหน้าเพราะ Torque Steer มีให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะ Test Car คันนี้มากับแรงบิดถึง 69.3 กก.-ม. แต่การขับในแบบ 4 ล้อมีส่วนช่วยให้ตัวรถยังทรงตัวและไม่มีอาการดื้นไปมาให้เห็น…ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านี่คืออารมณ์ที่ได้จากการขับรถไฟฟ้าที่ใครๆ ก็คิดว่า มันคือรถเพื่อสิ่งแวดล้อม
จากนั้นเราได้มีโอกาสทดลองเป้าหมายต่อไปของการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวเพื่อช่วยในเรื่องลดอาการร่างกายเอนไปเอนมาเพราะการกดคันเร่งสลับปล่อยเวลาที่รถติดอยู่ในเมือง โดยวิธีง่ายๆ คือ กดคันเร่งจนถึง 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้วปล่อยเท้าเพื่อให้ความเร็วหล่นลงมาอยู่ 20 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากนั้นกดใหม่ให้ความเร็วกลับไปเท่าเดิม ทำอยู่ 3-4 รอบจะสังเกตได้อย่างชัดเจนถึงการเคลื่อนตัวเอนไปด้านหน้าหรือหงายไปด้านหลังลดลงอย่างชัดเจน เมื่อเปรียบเทียบกับ LEAF รุ่นปกติที่เราได้ขับในลักษณะเดียวกันก่อนหน้านี้
ปิดท้ายกับการขับด้วยความเร็วตามเส้นทางและการขับเป็นวงกลมเพื่อดูว่า ระบบควบคุมล้อแบบออลวีล (All-wheel-control system) และระบบปรับการเบรกอย่างอิสระในแต่ละล้อทำงานอย่างไร ซึ่งระบบนี้มีส่วนช่วยอย่างมากในการปรับให้ตัวรถสามารถอยู่ในเส้นทางที่ต้องการ
สำหรับสนาม Grand Drive ของ Nissan มีอีกส่วนที่เป็นพื้นที่สำหรับขับทดสอบซึ่งตรงนี้มีการเปิดโอกาสให้เราทดลองขับรถยนต์ของ Nissan ที่โมดิฟายโดย NISMO ซึ่งก็มีทั้ง Juke, Note และ March ก่อนที่จะปิดท้ายกับการได้ทดลองนั่นงใน Nissan LEAF NISMO RC ซึ่งเป็นตัวแข่งทางเรียบรุ่นใหม่ แต่งานนี้ได้แค่อารมณ์คร่าวๆ เพราะด้วยพลังของมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีอยู่มหาศาลโดยเฉพาะแรงบิดทำให้นักขับของเราเลือกปรับแค่โหมด 4 ซึ่งพอถามแล้วเป็นโหมดที่ปรับลดพลังให้เหลือน้อยสุดสำหรับใช้ตอนที่แล่นเข้าพิทหรือระหว่างตามกันเป็นขบวน เพราะถ้าขืนใช้โหมดสูงกว่านั้น ดูท่าว่าอาจจะไม่เหมาะกับการขับในสนามทดสอบ
Day 3 Part 2
ตอนแรกที่ Nissan แจ้งมาว่าให้เตรียมใบขับขี่สากลติดตัวไปด้วยนั้น ผมค่อนข้างสงสัยว่าจะเอาไปทำอะไร เพราะตามปกติแล้วเวลามาทริปในลักษณะนี้การขับมักจะอยู่ในสนามทดสอบหรือไม่ก็พวกศูนย์ R&D จนกระทั่งมาถึงบางอ้อเอาตอนที่มาถึงช่วงครึ่งบ่ายกับการทดลองระบบ ProPILOT 2.0 ที่ Nissan เพิ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกกับ Skyline รุ่นใหม่ที่เพิ่งขายในญี่ปุ่นไม่นานมานี้ การที่จะรู้ว่า ProPILOT 2.0 ทำอะไรได้มากขนาดไหน ทางเดียวที่จะรู้ได้คือ การลองบนเส้นทางจริง บนถนนจริงๆ เพราะฟังก์ชั่นเด็ดที่ทำให้ 2.0 เหนือขึ้นมานอกเหนือจากการขับตามรถยนต์คันที่อยู่ข้างหน้าด้วยความเร็วที่ล็อกเอาไว้ คือ การที่สามารถสั่งให้รถเปลี่ยนช่องทางได้โดยที่ไม่ต้องไปยุ่งกับพวงมาลัย รวมถึงการเลี้ยวออกจากทางด่วนตามช่องทางที่คุณกำหนดเส้นทางในการเดินทางนั้นๆ ของคุณ
สิ่งที่ทำให้ระบบนี้สามารถทำงานได้อย่างมี่ประสิทธิภาพนอกจากฮาร์ดแวร์ที่ติดอยู่ในตัวรถอย่างเรดาร์ เซ็นเซอร์จำนวนมากมายแล้ว พวกแผนที่และระบบสาธารณูปโภค โดยเฉพาะเส้นบนถนนที่จะถูกใช้เป็นตัวยึดในการทำงานเพื่อให้รถยนต์สามารถแล่นอยู่บนช่องทางตัวเอง ก็มีความสำคัญอย่างมาก
เราได้ลองของจริงบนทางด่วน ProPILOT 2.0 ทำงานอย่างยอดเยี่ยมและใช้งานง่ายมาก เรียกว่าแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย เมื่อหน้าจอเป็นสีฟ้าและระบบเข้ามาดูแลในเรื่องของการขับเคลื่อน คุณสามารถปล่อยมือจากพวงมาลัย นั่งชิลล์ๆ ขอเพียงแค่ตามองไปข้างหน้าอย่างเดียว เพราะจะมีระบบตรวจจับตาของผู้ขับคอยสังเกตการณ์อยู่ แค่คุณหันหน้าออกจากเส้นทางข้างหน้า 10 วินาที ระบบจะแจ้งเตือนทันที เพื่อความปลอดภัยในกรณีที่อาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันและผู้ขับจำเป็นจะต้องกลับมารับผิดชอบในการควบคุมรถอีกครั้ง
เมื่อต้องการเปลี่ยนช่องทางก็ทำง่ายๆ แค่กดปุ่มอยู่บนพวงมาลัย จากนั้นระบบจะสั่งเปิดไฟเลี้ยวและดูสภาพเส้นทางการจราจรด้านข้าง แล้วค่อยพารถเปลี่ยนช่องทาง และเมื่อต้องการกลับเข้าสู่ช่องทางเดิมหลังจากแซงแล้ว ก็กดปุ่มอีกครั้ง
นี่คือ ส่วนหนึ่งที่ ProPILOT ถูกพัฒนาเป็นเวอร์ชั่น 2.0 ซึ่งจะถือเป็นบันไดขั้นแรกในการพัฒนาระบบเพื่อรองรับกับการเดินหน้าสู่ยุคของการขับขี่อัตโนมัติ หรือ Autonomous ในอนาคต
Day 4
เป็นอีกวันที่น่าสนใจเพราะถือเป็นครั้งแรกที่ Nissan เปิด Design Technic Center ของตัวเองให้กับสื่อมวลชนเข้าไปสัมผัสกับ Future Product ซึ่งแน่นอนว่างานนี้ดูได้แต่ตา เพราะสุดท้ายแล้วเราไม่สามารถบันทึกภาพหรือออกมาบอกเล่าเรื่องราวอะไรได้ แต่ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ในการได้เห็นรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ของ Nissan ที่เตรียมเปิดตัวในอนาคต ซึ่งแต่ละรุ่นมีความน่าสนใจอย่างมาก
ถือเป็นทริปการเดินทางสุดคุ้มที่ได้พบกับความล้ำสมัยของ Nissan ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกันได้ง่ายๆ เลยก็ว่าได้
ขอบคุณ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัดสำหรับการเดินทางครั้งนี้
เรื่อง : สุรศักดิ์ จรินทร์ทอง
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th