Porsche Panamera Turbo S E-Hybrid รุ่นเรือธงใหม่ของเจเนเรชันปัจจุบัน
Porsche Panamera เจน 3 ที่เปิดตัวออกมาเมื่อปลายปีที่แล้วซึ่งปัจจุบันมี 4 ทางเลือกคือ 4, 4 E-Hybrid, 4S E-Hybrid และ Turbo E-Hybrid ถูกเพิ่มทางเลือกใหม่ Turbo S E-Hybrid ซึ่งจะมาพร้อมกับสมรรถนะสูงกว่ารุ่นอื่นเพื่อเป็นเรือธงของเจเนเรชันปัจจุบัน
ขุมพลังของรถสปอร์ตซีดานปลั๊กอินไฮบริด Porsche Panamera Turbo S E-Hybrid เป็นเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร ไบเทอร์โบที่สร้างกำลังขับเคลื่อนออกมา 599 แรงม้า ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าที่อยู่รวมกับระบบส่งกำลังดูอัลคลัตช์ PDK 8 สปีด มีกำลัง 140 kW หรือ 190 แรงม้า ทำให้รถมีกำลังขับเคลื่อนรวม 782 แรงม้า มากกว่าเจเนเรชันก่อนหน้า 102 แรงม้า ส่วนแรงบิดสูงสุดของรถอยู่ที่ 1,000 นิวตัน-เมตร ใช้เวลาแค่ 2.9 วินาทีเพื่อทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. และทำความเร็วได้สูงสุด 325 กม./ชม.
ในส่วนของแบตเตอรีที่มากับรถซีดานปลั๊กอินไฮบริดระดับเรือธงรุ่นใหม่มีความจุ 25.9 kWh ทำให้เดินทางโดยใช้เฉพาะพลังงานไฟฟ้าได้ 88 กิโลเมตร และรองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ DC 11 kW ที่ทำให้ใช้เวลา 39 นาทีเพื่อชาร์จไฟจาก 0-100 เปอร์เซ็นต์
สมรรถนะของรถรุ่นใหม่ถูกรองรับด้วยช่วงล่าง Porsche Active Ride ใช้ปั๊มไฮโดรลิกควบคุมด้วยไฟฟ้าสำหรับช็อกแอบซอร์เบอร์ รวมไปถึงมีระบบควบคุมการเลี้ยวที่ล้อหลังและเบรกPorsche Ceramic Composite ขนาด 440 มม. ที่ล้อหน้า และขนาด 410 มม. ที่ล้อหลังเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
รถรุ่นเรือธงมาพร้อมดีไซน์ในสไตล์สำหรับรุ่นที่มีคำว่า Turbo สร้างความแตกต่างจากรุ่นอื่นด้วยกันชนหลังเฉพาะมีปลายท่อไอเสียและแต่งด้วยโครเมียมสี Dark Bronze นอกจากนี้ยังมีการแต่งด้วยสี Turbonite สำหรับรุ่นเทอร์โบโดยเฉพาะทั้งกับ Airblade ที่กันชนหน้า แถบที่กันชนหลัง และล้อฟอร์จ Center-lock ขนาด 21 นิ้ว นอกจากนี้ยังมีตาลิเปอร์เบรกสีเหลืองเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แต่ก็เลือกสีเขียว Acid Green ซึ่งเป็นสีของรุ่น E-Hybrid ได้
ส่วนห้องโดยสารของรถมีการแต่งด้วย Turbonite เหมือนกับภายนอกทั้งกับแถบแต่งตามส่วนต่างๆ เข็มขัดนิรภัย คอนโซลกลาง และพวงมาลัย รวมทั้งเย็บด้ายสี Turbonite ที่เบาะ แผงประตู แผงแดชบอร์ด และพรมปูพื้น ส่วนบุหลังคาใช้ Race-tex ที่มีเหมือนกับหนัง Suede
หากยังไม่พอในสมรรถนะของรถก็มีออปชัน Aerokit ที่ประกอบด้วย Splitter หน้า Airblade สเกิร์ตข้าง และ Gurney Flap บนสปอยเลอร์หลังเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ซึ่งนอกจากเสริมความสปอร์ตแล้ว ยังช่วยเพิ่มแรงกดให้กับรถ 60 กิโลกรัมที่ความเร็ว 200 กม./ชม. ซึ่งด้วยออปชันนี้พร้อมออปชันยาง Michelin Pilot Sport Cup 2 ทำให้รถสามารถทำความเร็วรอบสนาม Nurburgring ด้วยเวลา 7:24.17 นาที
ทางผู้ผลิตเริ่มเปิดรับออร์เดอร์รถเรือธงรุ่นใหม่ทันที ส่วนการส่งมอบรถที่เยอรมนีจะเริ่มในช่วงฤดูใบไม้ผลิ 2024 นี้
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th