องค์กรพลังงานฯ IEA เชื่อมั่นปี 2024 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกทุบสถิติใหม่ 17 ล้านคัน
องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEA) เชื่อมั่น ยอดขาย รถยนต์ไฟฟ้า ทั่วโลกในปี 2024 จะสร้างสถิติใหม่ที่ตัวเลข 17 ล้านคัน และรถยนต์ใหม่ที่ถูกขายทั่วโลก 1 ใน 5 คันจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานแบตเตอรี่ (Battery Electirc Vehicle: BEV) BEV
ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2024 มีรายงานข่าวมากมายถึงการชะลอความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่อาจขัดขวางช่วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยียานยนต์ โดยการวิเคราะห์ขององค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEA) เชื่อว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะสร้างสถิติใหม่ที่ตัวเลข 17 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 21 เปอร์เซ็นต์ หากเทียบกับยอดขาย 14 ล้านคันของปี 2023
MG ปักธงสร้างยอดขายขึ้นท็อป 3 ในทศวรรษที่ 2
ในรายงานของ IEA ระบุว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานแบตเตอรี่ (BEV) จะไม่ได้เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในทุกประเทศ และในหลายภูมิภาคของโลก แต่พวกเขาคาดการณ์ว่าประเทศจีน ซึ่งเป็นฐานการผลิตใหญ่ของรถยนต์ไฟฟ้าจะมียอดขายราว 10 ล้านคัน หรือครึ่งหนึ่งของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในแดนมังกร ซึ่งหากเป็นไปตามนี้จะทำให้รถยนต์ใหม่ทั่วโลก 1 ใน 5 คันที่ถูกขายจะเป็น BEV
แต่หากข้ามไปที่ยุโรป ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะอยู่ที่ 1 ใน 4 ของรถยนต์ใหม่ หลังจากนโยบายอุดหนุนเงินเพื่อให้ประชาชนเปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานบริสุทธิ์ของรัฐบาลหลายประเทศสิ้นสุดลงไปนานแล้ว และในสหรัฐฯ รถยนต์ไฟฟ้ามียอดขายเพียง 1 ใน 9 ของตลาดรวมเท่านั้น
ไม่ต้องพูดถึงประเทศที่กำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจหรือกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีความยากลำบากในการเข้าถึงสถานีชาร์จไฟฟ้า ตัวเลขยอดขายรถ BEV ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกับประเทศที่ให้ความสำคัญรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอันดับแรกมาตลอดหลายปีอย่างนอร์เวย์ ปัจจุบันรถยนต์ใหม่ที่ขายในประเทศ 4 ใน 5 คัน จะขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่
GWM จับมือนิด้าโพล สำรวจความนิยมรถยนต์ไฟฟ้า–คนไทย 34% เลือก BEV เหตุค่าชาร์จถูกกว่าน้ำมัน
1 ในอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าคือต้นทุนในการผลิตที่สูงหากเทียบกับรถยนต์เครื่องสันดาป (Internal Combustion Engine) ถึงจะมีการหั่นราคาลงมาแบบไม่แคร์ลูกค้าที่เพิ่งออกรถไปอย่าง Tesla เพื่อให้สามารถสู้กับรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนอย่างที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ (รวมถึงบ้านเรา)
แต่ IEA คาดการณ์ว่าต้นทุนในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะลดลงมาใกล้เคียงรถยนต์สันดาปอาจจะต้องรอนานถึงปี 2030 ซึ่งเป็นไปตามหลัก Economies of Scale–ที่จะต้องมีจำนวนการผลิตสินค้ามากพอที่จะทำให้ต้นทุนลดต่ำลง รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อแบตเตอรี่ที่มีราคาถูกลงกว่าในปัจจุบัน จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆ สามารถพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่นเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทุกระดับ
อีกหนึ่งผลกระทบจากยอดขาย BEV ที่เพิ่มขึ้นคือความต้องการในการใช้น้ำมันที่ลดลง หลังจากรถยนต์สันดาปบางส่วนเริ่มถูกแทนที่ด้วยรถยนต์ไฟฟ้า โดย IEA ประเมินว่าความต้องการใช้น้ำมันสำหรับการขนส่งทางถนนจะขึ้นสู่จุดสูงสุดในปี 2025 และจะลดลงเหลือเพียง 1 ใน 10 หลังจากปี 2035 โดยสำนักข่าว Reuters คาดการณ์ว่าตัวเลขความต้องการสถานีชาร์จไฟฟ้าจะพุ่งทะยานแบบสวนทาง จนทำให้ IEA ยอมรับว่าในช่วงเวลาเดียวกันนั้น (ปี 2035) โลกต้องการเครือข่ายสถานีชาร์จเพิ่มขึ้นอีก 6 เท่าจากที่มีอยู่ในปัจจุบันเช่นกัน
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: carscoops.com/International Energy Agency
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th
ยอดขาย รถยนต์ไฟฟ้า 2024 เกรท วอลล์ มอเตอร์ ร่วมกับศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” หรือ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สำรวจความคิดเห็นและพฤติกรรมคนไทยที่มีต่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 1,000 คนทั่วประเทศในเดือนธันวาคม 2566 พบว่าคนไทยให้ความสนใจรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) มากที่สุดถึง 64.8%
เพิ่มขึ้นจากผลสำรวจในปี 2564 อย่างมีนัยสำคัญถึง 37.5% ตามด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle: HEV) 22.2% และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV) 13.0%
ผลสำรวจยังระบุว่าคนไทยพิจารณาราคาค่าชาร์จไฟที่ถูกกว่าราคาน้ำมัน (34.1%) และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (18.9%) เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจในรถยนต์พลังงานใหม่ของผู้บริโภคชาวไทยที่ให้ความสำคัญกับการขับขี่ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และความคุ้มค่าในด้านค่าใช้จ่ายของการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มพุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ผลสำรวจความเห็นและพฤติกรรมคนไทยเรื่องรถยนต์พลังงานไฟฟ้าปี 2566 ได้แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า จำนวน 200 คน และกลุ่มผู้ใช้รถยนต์สันดาป 800 คน