รีวิว BENZ A200 AMG Dynamic 2023 ซีดานหรูไซส์เล็ก ปรับปรุงใหม่หลายจุด
รีวิว BENZ A200 AMG Dynamic 2023 ซีดานหรูรุ่นเล็ก ปรับปรุงใหม่หลายจุด อัดระบบความปลอดภัยแน่นคัน ใช้เครื่องยนต์เดิม
หลังจากเปิดตัว MERCEDES BENZ A-CLASS เจเนอเรชั่นที่ 4 ในไทยไปเมื่อปี 2019 ล่าสุด เมอร์เซเดส เบนซ์ ประเทศไทย ได้ทำการปรับโฉมพร้อมแนะนำ MERCEDES BENZ A200 AMG Dynamic ออกสู่ตลาดอีกครั้ง ซึ่งการอัพเกรดในหลายจุดทั้งภายในและภายนอก ด้วยการเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐาน ทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ความปลอดภัย
- MERCEDDES BENZ A200 AMG Dynamic 2023 ราคา 2,320,000 บาท
ขนาดมิติตัวรถ
ตัวรถมีความยาว 4,558 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,992 มิลลิเมตร สูง 1,429 มิลลิเมตร ความกว้างล้อหน้า 1,567 มิลลิเมตร ความกว้างล้อหลัง 1,558 มิลลิเมตร ระยะโอเวอร์แฮงค์ด้านหน้า 923 มิลลิเมตร ด้านหลัง 906 มิลลิเมตร และ ฐานล้อขนาด 2,729 มิลลิเมตร
การปรับโฉมภายนอก
การปรับโฉมที่ชัดเจนที่สุด คือ การเปลี่ยนกระจังหน้าใหม่เป็นแบบ Star Pattern Radiator Grille จากแนงตารางทรงเหลี่ยมเล็ก ๆ เป็น ลายดาวเหมือนโลโก้แบรนด์ เปลี่ยนกันชนหน้าเป็นแบบ AMG Bodystyle ทรงใหม่ พร้อมทั้งตัวฝากระโปรงหน้าเป็นแบบ Power Domes ซึ่งจะเหมือนในรุ่นพี่อย่าง CLS-CLASS
โคมไฟหน้าแบบใหม่เป็น LED High-Performance แต่เพิ่มระบบ Adaptive Highbeam Assist ปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ เข้ามา ล้อแม็กลาย AMG แบบ 5 ก้านเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนจากขอบสีเทาเป็นขอบสีดำ กระจกมองข้างมีกล้อง มาพร้อมระบบไฟพร้อมสัญญาณเสียงเตือนจุดบอด และยังสามารถปรับมุมต่ำเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง
หลังคา Panoramic Roof คือ อีกจุดสำคัญที่เพิ่มเข้ามา นอกจากเพิ่มความสวยงามให้กับรูปลักษณ์ของรถดูแพงมากขึ้น ยังช่วยเพิ่มมิติภายในตัวรถให้ดูมีความโปร่งและกว้างขวางขึ้น รุ่นนี้ยังได้เพิ่มระบบ KEYLESS GO เข้ามาเพื่อความสะดวกมากขึ้น ด้านท้ายเปลี่ยนรายละเอียดในชุดโคมไฟท้ายใหม่ ภายใต้โคมทรงเดิมที่เป็นแบบ LED และกันชนท้ายทรงเดิม
ฝากระโปรงท้ายเพิ่มฟังก์ชั่นการเปิดแบบแฮนด์ฟรี วิธีใช้งาน เพียงพกรีโมทไว้กับตัวและกวาดเท้าไปแถวใต้กันชนตรงกลาง ฝากระโปรงท้ายจะเปิดให้โดยอัตโนมัติ ระบบทำงานด้วยการปลดตัวล็อก แล้วสปริงจะทำหน้าที่เปิดฝาท้ายขึ้นให้ ไม่ใช่ระบบฝาท้ายไฟฟ้า แต่เวลาปิดจึงยังต้องใช้กำลังจากมือเพื่อปิดฝากระโปรง ซึ่งตัวระบบนี้เป็นเหมือนกันในเอคลาสทั่วโลกไม่ใช่ว่าพอเข้าไทยแล้วถูกตัดออกแต่อย่างใด
การปรับโฉมภายใน
เอ200 เอเอ็มจี เปลี่ยนชุด พวงมาลัยใหม่ เป็นแบบ เจนเนอเรชั่นที่ 5 ดูสปอร์ต สวยงามกว่าเดิม มาพร้อมปุ่มสั่งงานด้วยระบบสัมผัส มี Paddle Shift เหมือนรุ่นเดิมหุ้มหนัง Nappa เย็บด้ายแดง
วงพวงมาลัยอวบกระชับมือ สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง ชุดก้านควบคุมไฟเลี้ยวอยู่กลังพวมาลัยฝั่งขวา และหมุนหัวก้านเพื่อเปิดระบบปัดน้ำฝน ส่วนชุดก้านฝั่งขวาเป็นคันเกียร์
เบาะหุ้มหนัง ARTICO สไตล์สปอร์ต ตัดสลับ MICROCUT Microfibre สีดำ ตกแต่งเดินด้ายสีแดง เบาะผู้โดยสารคู่หน้าปรับตำแหน่งด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมเพิ่มการบันทึกตำแหน่งที่นั่งได้ถึง 3 แบบ มีระบบดันหลังไฟฟ้าทั้งผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า ชุดมาตรวัดคงเดิมแบบ All-Digital Instrument Display ขนาด 10.25 นิ้ว
เพิ่ม MBUX 7 ตัด Touch Pad
- ชุดจอกลางขนาด 10.25 นิ้ว สั่งงานด้วยระบบสัมผัสพร้อม Fingerprint Sensor อัพเกรดระบบปฏิบัติการเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด MBUX 7 เพิ่มระบบ AI-Artificial intelligence เรียนรู้และประเมินพฤติกรรมและการใช้งานของแต่ละคนได้ อัพเดทและปรับปรุงระบบได้ด้วยตัวเองผ่านสัญญาณไร้สาย LTE อัตโนมัติแบบ ทั้งยังมีบริการ Mercedes me connect ให้คุณสามารถเชื่อมต่อโลกดิจิทัลและเข้าถึงฟังก์ชันชั้นนำของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้อย่างเต็มที่
- ล่าสุดยังสามารถรองรับการสั่งงานด้วยภาษา ถึง 27 ภาษา รวมภาษาไทย เชื่อมต่อด้วยระบบ Wireless ได้ทั้งฝั่ง Apple และ Andriod มาพร้อมระบบ Wireless Charger สามารถเชื่อมต่อ CarPlay ไร้สายได้ง่าย และเสถียร จอใหญ่คมชัด ดู Google Map สบายตา และข้างๆ แท่นชาร์จก็มีช่อง USB-C ไว้ให้อีกด้วย ชุดไฟ Ambient Light 64 เฉดสี ยังคงอยู่เพื่อช่วยปรับเปลี่ยนอารมณ์ห้องโดยสาร
- ทั้งนี้การมาของระบบ MBUX 7 ทำให้บางอย่างถูกกำจัดทิ้งไป นั่นก็คือ ชุด Touch Pad สำหรับควบคุมการทำงานของระบบเครื่องเสียงที่เคยติดตั้งอยู่ตรงคอนโซลกลางกลายเป็นช่องเก็บของแทน แต่ในตัวของปุ่ม DYNAMIC ปรับโหมดการขับ ปุ่มเปิด-ปิดและปรับเสียง และปุ่มเปิดกล้อง ยังคงอยู่ เท้าแขนกลางเบาะหน้ายังคงเดิม เปิดแบบแยกออก 2 ฝั่ง ภายในช่องเก็บของมี USB-C 2 ตำแหน่ง
พื้นที่ห้องโดยสารด้านหลัง
แม้ตัวรถจะไม่ใหญ่โตมีพื้นที่ใช้สอยจำกัด แต่ด้วยสรีระชาวไทยที่รูปร่างไม่ใหญ่โตมากนัก ยังมีพื้นที่ให้นั่งโดยสารได้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าสบายมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะรถในเซ็กเมนท์นี้น่าจะเน้นไปที่ผู็โดยสารคู่หน้าเป็นหลัก ระบบทำความเย็นอาจจะทั่วถึงทั้งคันอยู่แล้ว แต่สิ่งที่มาตามคำเรียกร้อง คือ ชุดแอร์สำหรับผู้โดยสารแถวหลัง พร้อมด้วยช่องเชื่อมต่อ USB-C 1 ตำแหน่ง ส่วนตัวเบาะ หลังแยกพับได้แบบ 40:20:40 ด้วยคันโยกบริเวณที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ซึ่งเฉพาะในห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายมีความจุถึง 405 ลิตร
ระบบความปลอดภัย ADAS ครบสุดในรุ่น
ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS Advanced Driver-Assistance Systems ADAPTIVE Brake ซึ่งเค้าเคลมว่าเป็นแบรีนด์เดียวในเซ็กเมนท์รถหรูที่ใส่มาเต็ฒระบบทุกรุ่น พร้อม Active Break Assist ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินแบบแอคทีฟ, Adaptive brake light ไฟกระพริบเบรกฉุกเฉิน, Cruise Control และ SPEEDTRONIC ระบบรักษาความเร็วและจำกัดความเร็ว, Blind Spot Assist
ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา, Exit Warning Function เตือนสิ่งกีดขวางก่อนลงจากรถ โดยจะทำงานต่อเนื่องไปอีก 3 นาทีหลังจากดับเครื่องยนต์ ใช้ระบบหลักเดียวกับ Blind Spot เตือนเมื่อผู้ขับกำลังดึงที่เปิดประตูและมีสิ่งกีดขวางเคลื่อนที่เข้ามา ทั้งจักรยาน มอเตอร์ไซค์ หรือคนเดินถนน
Active Parking Assist ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ, Tyre Pressure Loss Warning System ระบบแจ้งเตือนระดับแรงดันลมยาง และระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับ ATTENTION ASSIST
ขุมพลังคงเดิมชูจุดขาย Cylinder Shut-off
The new A-Class รุ่น A 200 AMG Dynamic เครื่องยนต์ยังคงเป็นบล็อก M 282 เบนซิน 1.3 ลิตร เทอร์โบ แบบ 4 สูบแถวเรียง พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ มีกำลังสูงสุด 120 กิโลวัตต์ หรือ 163 แรงม้า (HP) ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร หรือ 25.47 กก.-ม. ที่ 1,620-4,000 รอบต่อนาที ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7G-DCT ดูอัลคลัตช์ ตัวเลขเคลมอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 8.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รองรับการใช้น้ำมันได้ถึง E85 ตามมาตรฐาน EURO6 ถังน้ำมันจุ 43 ลิตร
ด้านของระบบเครื่องยนต์ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สะท้อนถึงความพิถีพิถันในการออกแบบตามแนวคิด The art of engineering พร้อมติดตั้งระบบ Cylinder shut-off ที่ทำให้เครื่องยนต์สามารถขับเคลื่อนด้วยลูกสูบเพียง 2 ลูกสูบ เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ
โดยเมื่อขับในโหมด ECO ใช้ความเร็วคงที่และมีการใช้คันเร่งไม่มากนัก ระบบจะตัดการทำงานของเครื่องยนต์เหลือแค่ 2 สูบ สังเกตจากตัวอักษรบอกตำแหน่งเกียร์ D ในชุดมาตรวัดจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว ซึ่งช่วยให้ขับเคลื่อนโดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงน้อยลง
ความรู้สึกหลังลองขับ
หากไม่นับเรื่องความสวยงามภายนอกที่เกิดจากการ Face-lift ซึ่งช่วยยกให้รถดูมีมิติด้านความสวยงามมากขึ้น เรื่องสมรรถนะ คือ จุดเด่นที่น่าสนใจอย่างมาก
เครื่องยนต์เทอร์โบ ขนาด 1.3 มอบพละกำลังในยามขับขี่ออกมาได้เร้าใจอยู่ การตอบสนองต่อกำลังเท้า ช่วยทำให้รู้สึกว่าเป็นรถที่ขับสนุก ช่วงความ เร็วแถว 90-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มอบพลังมาให้ทันใจมาก ช่วงเลยถนนพระรามสอง ที่เส้นทางค่อนข้างโล่งลองกดใช้ความเร็ว ตัวเลขพุ่งทะลุ 130-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้อย่างรวดเร็ว บุคคลิกของเกียร์ดูจะปรับเปลี่ยนได้รวดเร็วแต่นุ่มนวล ถ้าจะบอกว่ารถคันนี้ทำมาขายวัยรุ่น ก็ดูจะเหมาะเหม็ง เพราะเซ็ตมาให้ขับสนุกเอาเรื่อง เอาราว ส่วนอัตราเฉลี่ยนสิ้นเปลืองทำอยู่แถว ๆ 17 กิโลเมตรต่อลิตร ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว
การทำงานของช่วงล่างเป็นแบบ Lowered Comport Suspension ลดความสูงลงจากรุ่นมาตรฐาน 15 มิลลิเมตร อารมณืการเซ็ตอาจจะดูสปอร์ตสักหน่อย แต่การใช้ความเร็วสูงให้อาการที่ค่อนข้างนิ่งไว้ใจได้ แต่ถ้าโยก ถ้ามุดแรง ๆ ก็พอมีอาการบ้าง
ส่วนระบบเบรกมีการปรับปรุงจากรุ่นเดิมพอสมควร คือ การ เปลี่ยนคาลิเปอร์เบรกหน้าจากเดิมลูกสูบเดี่ยวขนาดใหญ่ เป็นแบบ 2 ลูกสูบขนาดเล็ก พื้นที่สัมผัสของผ้าเบรกยังคงเท่าเดิม ส่วนจานเบรกยังมีขนาดเท่าเดิม มีจังหวะเบรกกระชั้นชิดอยู่บ้าง แต่ก็ยังเอาอยู่ รู้สึกถึงความหนักแน่นของชุดเบรกที่เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่
สรุปภาพรวม
Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว จุดสำคัญ คือ เรื่องระบบความปลอดภัยที่ส่วนตัวคิดว่าโดดเด่นกับการใส่ระบบ ADAS มาให้อย่างครบครัน การเพิ่มแอร์หลังตามความต้องการของลูกค้า งานประกอบไทยที่ละเอียดปราณีต สมรรถนะการขับขี่ แม้เครื่องยนต์จะยังเป็นรุ่นเดิมแต่ทำงานได้ดี ทั้งเรื่องอัตราเร่งและความประหยัด แม้ห้องโดยสารด้านหลังจะคับแคบไปอยู่บ้าง จนคิดว่าถ้าเจอผู้โดยสารตัวใหญ่ ๆ ขึ้นพร้อมกัน อาจจะรับไม่ไหวกับความอึดอัด แต่ถ้ามองในความเป็นตัวเริ่มต้นของใครและใครสักคนที่อยากจะมีเบนซ์ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น วัยสร้างตัว ก็ถือว่า น่าลุ้น น่าลอง
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ภาพ : ฝ่ายภาพ GRANDPRIX
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ได้ที่ www.grandprix.co.th