ทดลองขับ NETA V กับยานยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนรุ่นนี้ สร้างกระแสความน่าสนใจในยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างดีเลยทีเดียว เพราะด้วยข่าวที่ออกมาว่า น่าจะมีราคาไม่ถึง 6 แสนบาท! หลังจากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ รวมทั้งรูปแบบตัวถังที่กะทัดรัด แต่ไม่เล็ก เป็นขนาดตัวถังที่เหมาะกับการใช้งานในตัวเมือง แถมหน้าตายังดูน่ารักอีกต่างหาก ไม่แปลกเลยที่ NETA V คันนี้จะเป็นจุดสนใจให้หลายๆ คนหันมามองยานยนต์ไฟฟ้าเป็นตัวเลือกใหม่เพิ่มมากขึ้น

สำหรับ NETA V คันนี้ ต้องขอขอบคุณ BRG Group ที่ให้รถมาทดลองขับ ซึ่งเป็นรถ Demo สเปคจีนที่ไม่ได้มีการปรับอะไรมาเลย แต่ดีที่เป็นพวงมาลัยขวามาแล้ว ดูการออกแบบตัวถังแล้วต้องยอมรับว่าทำออกมาได้น่าสนใจ มิติตัวถังใกล้เคียงกับ Honda Jazz, Mazda2 แต่ดูมีความโปร่งของพื้นที่ห้องโดยสารมากกว่า มีมิติตัวถังยาว 4,070 มม. กว้าง 1,690 มม. สูง 1,540 มม. ระยะฐานล้อ 2,420 มม.

สเปคด้านขุมพลัง ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้พละกำลัง 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 160 นิวตันเมตร แบตเตอรี่เป็นแบบ CATL Ternary Lithium ขนาด 38.5 kWh หัวชาร์จเป็นแบบ Type 2 / CCS Combo รองรับการชาร์จแบบ DC Fast Charging รองรับสูงสุด 45 kW ชาร์จแบตเตอรี่จาก 30%-80% ในเวลาประมาณ 30 นาที ส่วนการชาร์จแบบ AC รองรับสูงสุด 6.6 kW จะใช้เวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมง และรองรับระบบ V2L หรือ Vehicle to Load ที่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าจากรถไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอกได้สูงสุด 3.3 kW ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ขับได้ไกล 380 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) และ 320 กม. (มาตรฐาน WLTP) ทำความเร็วสูงสุดได้ 110 กม./ชม. ในโหมด Normal และ 120 กม./ชม. ในโหมด Sport

ในส่วนของการทดลองขับ ต้องขอแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกการขับใช้งานด้วยความเร็วระดับกลาง ไม่เกิน 70 กม./ชม. ทำได้ดี รถมีความคล่องตัวสูง พวงมาลัยน้ำหนักเบา ช่วงล่างนุ่ม อัตราเร่งทันใจมีความกระฉับกระเฉง ขับใช้งานในชีวิตประจำวันโดยเฉพาะในเมืองทำได้ดี

ส่วนที่สอง การใช้ความเร็วสูงตั้งแต่ 80 กม./ชม. ขึ้นไป ต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะด้วยช่วงล่างที่นุ่มเกินไป ทำให้ท้ายรถมีอาการส่ายเมื่อเข้าโค้ง และแรงกระเด้งจากด้านท้ายที่ชัดเจนมาก (โดยเฉพาะเวลาที่ขับผ่านคอสะพาน กระเด้งและท้ายโยนชัดเจนมาก) จุดนี้น่าจะเป็นเพราะสเปคยาง การปรับช่วงล่าง และสเปคของโช้คอัพ ที่ปกติแล้วรถสเปคจีนส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ความนุ่มแบบนี้แทบทั้งนั้น ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้งานบนถนนเมืองไทยสักเท่าไหร่ เวลาที่ลองขับแบบ Emergency Lane Change (หักหลบกะทันหัน) ที่ความเร็ว 60 กม./ชม. รู้สึกตกใจพอสมควร เพราะอาการท้ายรถโยนตัวชัดเจนมาก ต้องใช้พวงมาลัยช่วยเยอะ เสียงยางลั่นดังชัดเจน ซึ่งถ้าเป็นสถานการณ์จริง ระบบความปลอดภัยที่ติดตั้งมาน่าจะช่วยอะไรไม่ได้มาก อาจจะเสียการทรงตัวได้ง่ายๆ อีกด้วย รวมทั้งพวงมาลัยไม่สามารถปรับระดับได้ ปรับเข้า-ออก ปรับขึ้น-ลง ไม่ได้เลย เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องปรับปรุงเมื่อรถเข้ามาเป็นสเปคจำหน่ายจริงในไทย

จุดที่น่าสนใจและเป็นจุดเด่นคือ ภายในห้องโดยสารที่ใช้วัสดุที่ค่อนข้างดี ออกแบบได้ทันสมัย ดูเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน ติดตั้งหน้าจอกลางแบบ Touchscreen ขนาด 14.6 นิ้ว ที่ใช้งานได้ง่าย สามารถปิดหน้าจอได้ด้วยสวิตซ์ที่ซ่อนอยู่ใต้จอ และหน้าจอมาตรวัดความเร็ว ขนาด 12 นิ้ว ที่เป็นแนวยาว แสดงผลได้ชัดเจน เชื่อมต่อได้ทั้ง ios และ android รวมทั้งเชื่อมต่อผ่านแอป Carbitlink หรือเชื่อมต่อผ่านสาย USB แล้วที่หน้าจอ 14.6 นิ้ว จะแสดงผลแบบ Mirror จากหน้าจอสมาร์ทโฟน ทำให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น

ระบบกุญแจ Immobilizer

นอกจากนี้ ระบบความปลอดภัยต่างๆ ให้มาเป็นมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็น ระบบป้องกันล้อล็อค, ระบบกระจายแรงเบรก, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, ระบบเตือนแรงดันลมยาง, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง, กล้องมองภาพขณะถอยจอด, เซนเซอร์กะระยะถอยจอด และ ระบบกุญแจ Immobilizer

เกียร์อยู่ที่คอพวงมาลัย ออกแบบเหมือนกับค่ายยุโรปอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ กันเลย

ในภาพรวมถ้ามองที่ตัวรถเป็นหลักถือว่าทำได้น่าสนใจ ทั้งเรื่องการออกแบบทั้งภายนอกและภายใน ห้องโดยสารกว้างขวาง พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายรองรับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้สบาย อัตราเร่งทำได้ดี ออกตัวได้กระฉับกระเฉง การเร่งแซงทันใจ

จะมีข้อเสียที่ต้องติกันตรงๆ คือ ต้องปรับปรุงเรื่องของพวงมาลัย ช่วงล่างและสเปคยาง ให้คงความนุ่มนวล แต่ต้องมีความหนึบที่มากขึ้น รวมทั้งพวงมาลัยที่ไม่สามารถปรับอะไรได้เลย เชื่อว่าหากเป็นสเปคจำหน่ายในไทย คงจะมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน ต้องมารอลุ้นกันว่าราคาค่าตัวจะอยู่ที่เท่าไหร่ ถ้าอยู่ในช่วง 5 แสนต้นๆ คงจะกระตุ้นตลาด EV ได้อีกเพียบแน่นอน

เรื่อง/ภาพ : พุทธิ  ผาสุข

เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE

ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th