Rolls-Royce Black Badge Ghost ที่สุดแห่งงานฝีมือ
Rolls-Royce Motor Cars ดึงดูดใจลูกค้าที่ต้องการฉีกฎเกณฑ์เดิม ๆ มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหญิงชายจอมขบถที่สร้างความสำเร็จของพวกเขาจากการฉีกกฎเกณฑ์ กล้าที่จะเสี่ยง และท้าทายขนบธรรมเนียมปฏิบัติ ในช่วงทศวรรษที่ 2020 หญิงชายเหล่านี้ข้องเกี่ยวกับสินค้าหรูในแบบของตน พวกเขาปฏิเสธที่จะใส่ชุดสูทของแบรนด์ Streetwear ใช้บล็อกเชนแทนการไปธนาคาร และส่งอิทธิพลต่อโลกอนาล็อกผ่านความสำเร็จทางด้านดิจิทัลของพวกเขา ในการทำเช่นนั้นพวกเขาได้สร้างนิยามใหม่ให้กับความหรูหราที่สะท้อนถึงรสนิยมของพวกเขา นั่นคือความเข้มข้นขึ้นในด้านสุนทรียศาสตร์ บุคลิกที่แน่วแน่ และความกล้าหาญที่จะเลือกใช้ผลงานออกแบบที่ฉีกแนว
วิธีการเข้าถึงยนตรกรรม Rolls-Royce ของพวกเขาก็ไม่ต่างกัน แบรนด์ได้ตอบสนองต่อความต้องการนั้นด้วยการพัฒนาเฉดสีใหม่ การตกแต่งที่ใช้วัสดุทางเทคนิคพื้นผิวมากขึ้น และประสบการณ์การขับขี่ที่ทรงพลังยิ่งขึ้นโดยปราศจากการประนีประนอมต่อความรู้สึกง่ายดายที่ดึงดูดกลุ่มลูกค้าผู้กล้าหาญนี้มายัง Rolls-Royce ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณข้อมูลเชิงลึกจากแผนก Luxury Intelligence Unit ของแบรนด์
“หลังจากที่มีการถกเถียงกันภายในอย่างถี่ถ้วน Rolls-Royce ประกาศว่าจะมอบคำตอบอย่างเป็นทางการแก่กลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ นั่นคือ การรังสรรค์ยนตรกรรม Bespoke ซีรีส์ถาวรภายใต้ชื่อ Black Badge ยนตรกรรมในซีรีส์นี้เปิดตัวครั้งแรกในปี 2016 ที่มอบความเข้มข้นดุดันทางสุนทรียศาสตร์ยิ่งขึ้น บุคลิกที่คล่องแคล่วมากขึ้น และความโดดเด่นในการเลือกใช้วัสดุ วันนี้เราขอเปิดเผยยนตรกรรมที่เป็นตัวแทนของยนตรกรรม Black Badge โฉมใหม่ ยนตรกรรมที่ยึดความเรียบง่ายของงานออกแบบตามปรัชญา Post Opulent ที่หล่อหลอมตำนานใหม่ให้กับ Ghost แต่ตอกย้ำ และฉีกกฎเกณฑ์ด้วยการใช้สีดำ ยนตรกรรมที่ทันสมัยที่สุดของเราในขณะนี้ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีอีกบุคลิกของอีกตัวตนหนึ่งของ Rolls-Royce คือความมุ่งมั่น ความคล่องแคล่ว และทรงพลัง นี่คือยนตรกรรม Black Badge ที่จริงแท้ที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์นี่คือ Black Badge Ghost” Torsten Müller-Ötvös ประธานบริหาร Rolls-Royce Motor Cars ให้ความเห็น
Black Badge ยนตรกรรมที่แฝงไว้ด้วยอีกหนึ่งตัวตนของ Rolls-Royce ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ปัจจุบันสะท้อนถึงกว่า 27 เปอร์เซ็นต์ของการสั่งผลิตพิเศษทั่วโลก และถูกเข้ารหัสด้วยสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์บ่งบอกถึงความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดที่สามารถพบได้ภายในห้องโดยสารของรถยนต์ ลายกราฟิกนี้เป็นที่รู้จักในนามของ Lemniscate (อินฟินิตี้) ได้ถูกนำมาใช้กับเรือยนต์ Blue Bird K3 ที่ใช้เครื่องยนต์ Rolls-Royce ของเซอร์ Malcolm Campbell ในการแข่งขันทำลายสถิติความเร็วทางน้ำ และทีมนักออกแบบของแบรนด์ใช้เครื่องหมายนี้สำหรับยนตรกรรม Black Badge เพื่อสะท้อนถึงการแสวงหาความทรงพลังอย่างไม่ลดละของพวกเขา
Rolls-Royce เปิดตัว Black Badge ด้วยยนตรกรรม Wraith และ Ghost ในปี 2016 ตามด้วย Dawn ในปี 2017 และ Cullinan ในปี 2019 วันนี้การแสดงออกใหม่ภายใต้ปรัชญาการออกแบบ Post Opulent ได้ถูกผนวกกับยนตรกรรมในตระกูล Black Badge โดยยนตรกรรม Black Badge ที่จริงแท้ที่สุดและมีเทคโนโลยีทันสมัยที่สุดในขณะนี้คือ Black Badge Ghost
ความขบถของ POST OPULENCE
สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ต้องการให้ยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์มีความปราดเปรียว ไม่ฉูดฉาด เข้าถึงได้และปราศจากการออกแบบที่มากเกินความจำเป็น Ghost ใหม่ไม่เพียงเป็นยนตรกรรม Rolls-Royce ที่ล้ำสมัยทางเทคโนโลยีที่สุดในขณะนี้แต่ยังเป็นยนตรกรรมที่บริสุทธิ์งดงามที่สุดเช่นกัน ในช่วงสิบสองเดือนนับตั้งแต่ยนตรกรรมนี้ได้ออกสู่ตลาด ได้กลายเป็นหนึ่งในยนตรกรรมที่มียอดจำหน่ายเร็วสูงสุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์โดยมียอดสั่งผลิตที่กว่า 3,500 คันทั่วโลก
ยนตรกรรมนี้ยังได้ริเริ่มการออกแบบแนวใหม่ภายใต้ชื่อ ‘Post Opulent’ โดยทีมนักออกแบบของโรลส์-รอยซ์ ซึ่งเทรนด์ทางสุนทรียศาสตร์นี้ถูกกำหนดบุคลิกลักษณะด้วยการการลดทอนความฟุ่มเฟือยและคงไว้ซึ่งความเรียบง่าย
ลูกค้ากลุ่มนี้คือผู้ที่ต้องการเฉลิมฉลองความเรียบง่ายและการเลือกใช้วัสดุที่ทนทานและใช้งานได้จริง แต่ภายในกลุ่มนี้ยังมีลูกค้ากลุ่มย่อยที่ขบถมองหาการแสดงออกถึงตัวตนในแบบที่ฉีกกฎเกณฑ์ของยนตรกรรม Ghost โดยการปกปิดรถยนต์อย่างถาวรด้วยเฉดสีที่ปราศจากการปะปนของสีอื่น สีที่ยังคงเป็นคำถามว่าควรจัดอยู่ในโทนสีประเภทใด นั่นก็คือสีดำ Black Badge Ghost สะท้อนถึงความปรารถนาของลูกค้ากลุ่มนี้ มันคือความขบถของ Post Opulence ที่แสดงออกถึงความเรียบง่ายอย่างสุดขั้ว
การตกแต่งภายนอก
ลูกค้าสามารถเลือกสี ‘ที่พร้อมใช้งาน’ ที่มีอยู่แล้วถึง 44,000 สีของแบรนด์หรือจะเลือกรังสรรค์เฉดสีสั่งทำพิเศษที่มีความเฉพาะบุคคล แต่อย่างไรก็ตาม หญิงชายส่วนใหญ่ที่ต้องการให้ Ghost ของพวกเขามีสีที่เข้มขึ้นได้เลือกใช้สีซิกเนเจอร์สีดำ เพื่อสร้างสรรค์สีดำที่เข้มที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ สีตัวถังปริมาณ 100 ปอนด์ (หรือ 45 กิโลกรัม) จะถูกทำให้เป็นละอองและนำไปพ่นบนตัวถังสีขาวที่มีประจุไฟฟ้าสถิตบนพื้นผิวเพื่อความเรียบเนียนก่อนที่จะนำไปอบให้แห้ง จากนั้นยนตรกรรมจะพ่นด้วยสีเคลือบใสสองชั้นก่อนที่จะถูกขัดเงาด้วยมือโดยทีมช่างหัตถศิลป์ 4 คน เพื่อให้ได้สีตัวถังที่มีความเงางามแบบ Piano Finish ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์
ในระยะเวลาระหว่าง 3-5 ชั่วโมงของขั้นตอนนี้จะไม่ปรากฏขึ้นเลยในการผลิตเชิงปริมาณ ความเข้มของสีระดับนี้ทำหน้าที่เป็นผืนผ้าใบที่สมบูรณ์แบบสำหรับลูกค้าในการเพิ่มรายละเอียดของ Coachline ด้วยมือที่แต่งแต้มในสีที่ขับเน้นความโดดเด่นอย่างมากเป็นการรังสรรค์ความงดงามให้ Black Badge ในแบบ ‘สีดำและสีสะท้อนแสง’ ซึ่งกลายเป็นลักษณะพิเศษของตระกูลยนตรกรรมที่สดใสของ Rolls-Royce
เพื่อให้เข้ากับงานตัวถังอันน่าทึ่งนี้ สัญลักษณ์ของแบรนด์ อาทิ Spirit of Ecstasy และกระจังหน้าแพนธีออน เคลือบเงาแวววาวถูกฉีกแนวออกจากกฎเกณฑ์เดิมๆ ด้วยการใช้วิธีการชุบโลหะด้วยกระแสไฟฟ้าร่วมในกระบวนการชุบโครเมียมแบบดั้งเดิมบนชิ้นงานสแตนเลสสตีลที่ต้องการเคลือบส่งผลให้ได้พื้นผิวขั้นตอนสุดท้ายที่มีสีเข้ม
ทั้งนี้ชั้นความหนาสุดท้ายของการชุบโครเมียมอยู่ที่เพียงหนึ่งไมโครเมตรซึ่งประมาณเท่ากับ 1 ใน 100 ของความกว้างของเส้นผมมนุษย์ ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นจะถูกขัดเงาด้วยมืออย่างประณีตเพื่อให้ได้พื้นผิวตกแต่งขั้นตอนสุดท้ายแบบโครเมียมสีดำเงางามเหมือนกระจกสะท้อนก่อนที่จะติดตั้งบนตัวรถ
ภายนอกตกแต่งด้วยชุดล้อบีสโป๊กทำจากวัสดุคอมโพสิตขนาด 21 นิ้วที่ถูกออกแบบในสไตล์ของ Black Badge และสงวนไว้เพื่อ Black Badge Ghost บริเวณท้องล้อแต่ละล้อประกอบด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์หนา 22 ชั้นบนแกนกลางสามแฉก และเมื่อพับขอบชนกันจะทำให้ได้คาร์บอนไฟเบอร์หนา 44 ชั้นเพื่อความแข็งแกร่งทนทานยิ่งขึ้น ดุมล้ออลูมิเนียมขึ้นรูปด้วยกรรมวิธี 3D forged เชื่อมต่อขอบล้อด้วยตัวล็อกไทเทเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศและตกแต่งด้วย Floating Hubcap ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโลโก้ RR จะตั้งตรงที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกาอยู่เสมอ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองประเภทวัสดุทนทานใช้งานได้ และการตกแต่งพื้นผิวที่น่าทึ่ง การทาแลคเกอร์บาง ๆ ถูกนำมาใช้เพื่อปกป้องพื้นผิวขั้นตอนสุดท้ายแต่ยังเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ชื่นชมความซับซ้อนทางเทคนิคของโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของล้อ
การตกแต่งภายใน
วัสดุที่หรูหราล้ำสมัยได้รับการรังสรรค์และประดิษฐ์ด้วยมืออย่างพิถีพิถันเพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะภายในห้องโดยสาร ในจิตวิญญาณของปรัชญาการออกแบบ ‘Post Opulent’ การทอที่ซับซ้อนแต่ละเอียดอ่อนที่ผนวกลวดลายข้าวหลามตัดที่มีมิติความลึกจากเส้นใยคาร์บอนและเส้นใยโลหะนั้นถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยทีมช่างฝีมือของแบรนด์
ชั้นไม้หลายชั้นถูกจัดวางบนพื้นผิวส่วนประกอบภายในโดยใช้ไม้วีเนียร์ทำจากไม้โบลิวาร์สีดำสำหรับชั้นฐานบนสุด ซึ่งเป็นการสร้างส่วนฐานให้มีสีเข้มเพื่อรองรับชั้นวัสดุเทคนิคัลไฟเบอร์ที่ตามมา แผงเทคนิคัลไฟเบอร์ทำจากเส้นใยคาร์บอนทอตัดกับเส้นใยโลหะเคลือบน้ำยาเรซินในลวดลายข้าวหลามตัดจัดวางองค์ประกอบด้วยมือได้อย่างสมบูรณ์แบบรังสรรค์การเห็นเป็น 3 มิติ เพื่อรักษาแผ่นไม้วีเนียร์พิเศษนี้ให้คงทนส่วนประกอบแต่ละชิ้นจะถูกอบเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงภายใต้แรงดันที่ 100 องศาเซลเซียส จากนั้นจึงทำการพ่นทรายเพื่อเตรียมบริเวณพื้นผิวหลักสำหรับการลงแลคเกอร์หกชั้น ซึ่งจะถูกขัดด้วยมือด้วยกระดาษทรายและขัดเงาก่อนนำไปประกอบเข้ากับตัวรถ
กรณีที่มีการระบุในคำสั่งผลิตของลูกค้า ในส่วนบริเวณ ‘พนักพิงหลัง’ ที่ทำจากเทคนิคัลไฟเบอร์ของเบาะที่นั่งด้านหลังแต่ละที่นั่งได้รับการตกแต่งด้วยลวดลายเฉพาะของยนตรกรรมตระกูล Black Badge นั่นคือ สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ที่สะท้อนถึงความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดที่ในนามของ Lemniscate ทำจากวัสดุอลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศและประดับบนฝาของตู้แช่แชมเปญใน Black Badge Ghost ทั้งนี้ สัญลักษณ์อินฟินิตี้ได้ถูกจัดวางบนระหว่างชั้นที่ 3 และ 4 ของชั้นที่ทาแลคเกอร์อย่างพิถีพิถันที่มีทั้งหมด 6 ชั้นทำให้เกิดภาพลวงตาประหนึ่งว่าสัญลักษณ์นั้นกำลังลอยเหนือแผงเทคนิคัลไฟเบอร์
สุนทรียศาสตร์ที่รังสรรค์โดยทีมนักออกแบบของแบรนด์ได้รับเลือกให้ยกระดับบรรยากาศแบบนัวร์ของ Black Badge Ghost ให้ดียิ่งขึ้นด้วยการใช้ชิ้นงานโลหะสร้างความกลมกลืน ช่องแอร์บนแผงหน้าปัดและห้องโดยสารด้านหลังจะมีความเข้มขึ้นโดยวิธีการเคลือบผิวแบบ PVD (Physical Vapour Deposition) ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการทำสีโลหะเพียงไม่กี่วิธีที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าชิ้นส่วนต่าง ๆ จะไม่เปลี่ยนสีหรือเสื่อมสภาพเมื่อเวลาผ่านไปหรือจากการใช้งานซ้ำ ๆ หลักปรัชญาการออกแบบ Post Opulent ที่เรียบง่ายยังถูกนำไปใช้สร้างผลลัพธ์อันน่าทึ่งในการออกแบบนาฬิกาใน Black Badge Ghost โดยเพียงแค่ส่วนปลายเข็มนาฬิกาและตำแหน่งสิบสอง สาม หก และเก้านาฬิกาเท่านั้นที่ถูกเลือกให้แต่งแต้มพื้นผิวขั้นตอนสุดท้ายด้วยโครเมียมรังสรรค์ให้เกิดนาฬิกา Black Badge ที่เรียบง่ายที่สุดในปัจจุบัน
เรือนเวลาถูกขนาบด้วย Illuminated Fascia (แดชบอร์ดเรืองแสง) ซึ่งเป็นนวัตกรรมบีสโป๊กระดับโลกที่ถูกเผยโฉมครั้งแรกด้วยยนตรกรรม Ghost แสดงสัญลักษณ์อินฟินิตี้ที่เปล่งประกายเรืองแสงรายล้อมด้วยหมู่ดาวกว่า 850 ดวง บริเวณแผงหน้าปัดฝั่งด้านผู้โดยสารจะไม่สามารถมองเห็นกลุ่มดาวและลวดลายได้เลยแม้แต่น้อยหากไฟภายในห้องโดยสารไม่ทำงาน ภายใน Ghost ลายสัญลักษณ์อินฟินิตี้จะเรืองแสงผ่านหลอดไฟ LED จำนวน 152 ดวงที่ถูกติดตั้งบริเวณส่วนบนและส่วนล่างของแผงหน้ารถ ด้วยความพิถีพิถันหลอดไฟแต่ละดวงนั้นมาในสีสันที่เข้ากับแสงของนาฬิกาในห้องโดยสารและไฟที่หน้าปัดรถ เพื่อให้มั่นใจว่าหลอดไฟที่แสดงสัญลักษณ์อินฟินิตี้จะติดสว่างสม่ำเสมอ จึงมีการติดตั้งท่อนำแสงหนา 2 มิลลิเมตรพร้อมการเจาะรูขนาดเล็กด้วยเลเซอร์กว่า 90,000 จุดทั่วพื้นผิวของบริเวณแผงหน้ารถ ซึ่งไม่เพียงแต่กระจายแสงได้อย่างสม่ำเสมอแต่ยังสร้างความวิบวับเมื่อสายตาเลื่อนพาดผ่านบริเวณส่วนแผงหน้ารถ สะท้อนประกายระยิบระยับอันละเอียดอ่อนของเพดานห้องโดยสารแบบ Shooting Star Starlight Headliner
โครงสร้างทางวิศวกรรม
Black Badge ไม่เพียงแต่เป็นยนตรกรรมที่เปี่ยมด้วยสุนทรียศาสตร์แต่ยังเป็นสุดยอดประสบการณ์ ทีมนักออกแบบ วิศวกร และช่างหัตถศิลป์ของแผนก Bespoke Collective ต่างร่วมมือกันสร้างบุคลิกการขับขี่ที่สดใสซึ่งตรงกับเจตนารมณ์ของ Black Badge Ghost โดยปราศจากการประนีประนอมต่อความปรารถนาที่มีต่อการขับขี่ที่ง่ายดายของแบรนด์และการปรับจูนระบบอะคูสติกภายในห้องโดยสารอย่างละเอียดถี่ถ้วน
กุญแจสู่คุณสมบัติสำคัญคือ Architecture of Luxury
สเปซเฟรมอลูมิเนียมที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ Rolls-Royce ซึ่งเปิดตัวด้วยยนตรกรรม Phantom โครงสร้างนี้ไม่เพียงแต่มอบความแข็งแกร่งของตัวถังเป็นพิเศษเท่านั้นแต่ยังมีความยืดหยุ่น และความสามารถในการปรับขนาดทำให้ Ghost สามารถติดตั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ระบบบังคับเลี้ยวสี่ล้อ และระบบช่วงล่าง Planar ที่ได้รับรางวัล สำหรับ Black Badge คุณสมบัติทางวิศวกรรมที่ไม่มีใครเทียบได้เหล่านี้ได้รับการออกแบบใหม่ในทุกรายละเอียด รวมถึงการติดตั้งสปริงลมขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อลดการโคลงของตัวถังเพื่อการเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
ขุมพลังของเครื่องยนต์ Rolls-Royce V12 ขนาด 6.75 ลิตร เทอร์โบคู่นั้นดูเหมือนว่าเพียงพอแล้ว อย่างไรก็ตาม ความยืดหยุ่นของขุมพลังที่โด่งดังนี้ได้ถูกปรับแต่งให้มีกำลังเพิ่มอีก 29 แรงม้า / 28.6 แรงม้า ให้กำลังรวมถึง 600 แรงม้า / 592 แรงม้า สัมผัสของระบบเกียร์แปรผันที่เพิ่มพลังขับเคลื่อนด้วยแรงบิดอีก 50 นิวตันเมตร มอบแรงบิดรวมที่ 900 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังยังได้รับการปรับแต่งด้วยระบบเกียร์และคันเร่งแบบบีสโป๊กเพื่อเพิ่มความทรงพลังและสมรรถนะการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น ชุดเกียร์ 8 สปีดของ ZF และทั้งเพลาหน้าและเพลาขับหลังทำงานร่วมกันเพื่อปรับระดับการตอบสนองของผู้ขับขี่ โดยขึ้นอยู่กับ input จากคันเร่งและพวงมาลัย
ด้วยยนตรกรรมทั้งหมดในตระกูล Black Badge ของแบรนด์ ปุ่ม ‘Low’ ที่บริเวณคันเกียร์จะปลดล็อกชุดเทคโนโลยีเต็มรูปแบบของ Black Badge Ghost สิ่งนี้ได้รับการยืนยันโดยการปรับแต่งเครื่องยนต์ของ
ยนตรกรรมด้วยระบบไอเสียใหม่ทั้งหมดตอกย้ำสมรรถนะความแรงของยนตรกรรม แรงบิดรวม 900 นิวตันเมตร ที่รอบต่ำเพียง 1700 รอบต่อนาที และขณะขับเมื่อเกียร์อยู่ในโหมด Low และเมื่อเร่งความเร็วรอบสูงถึง 90% การเปลี่ยนเกียร์จะรวดเร็วขึ้น 50% ส่งพลังขับเคลื่อนอันเหลือเฟือของ Black Badge Ghost ให้พุ่งทะยานไปข้างหน้าได้รวดเร็วทันที
เพิ่มความมั่นใจในการขับ Black Badge Ghost ด้วยการตอบสนองของเบรคที่เร็วยิ่งขึ้นเพียงแค่เหยียบเบรคเบา ๆ ส่วนยนตรกรรม Ghost ที่ไม่อยู่ในตระกูล Black Badge ได้รับการติดตั้งชุดเบรคคุณภาพเหลือเฟือสำหรับการเบรคในสถานการณ์ฉุกเฉินแม้ว่าจะคำนึงถึงขุมพลังที่เพิ่มขึ้นของ Black Badge Ghost แล้วก็ตาม อย่างไรก็ตาม ชุดสีพ่นคาลิปเปอร์เบรคใหม่ที่ทนความร้อนสูงได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการสั่งผลิตพิเศษ Black Badge Ghost ที่จะเกิดขึ้น
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: Rolls-Royce Motor Cars
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th