SUV หรูหลักล้าน เวลาผ่านไปเหลือ “สามแสน” ISUZU MU-7
สำหรับรถสไตล์ Off Road SUV หรือ PPV (รถอเนกประสงค์ดัดแปลงจากรถกระบะ) ก็ยังได้รับความนิยมสูง ด้วยการใช้งานที่ครอบคลุม ความกว้างขวาง สะดวกสบาย ไปได้แบบครอบครัว เน้น Activity ได้หลากหลาย และ ขับลุยได้ทุกสถานการณ์ หลายคนตอนแรกก็คิดว่า อยู่แต่ในเมืองกรุง จะซื้อรถลุยไปทำไม แต่ว่า ถนนเมืองกรุงมันดีหรือ ??? ก็รู้กันอยู่ รถเหล่านี้ ก็เลยได้รับความนิยมสูงอยู่ และนี่ก็เป็นอีกรุ่น คู่แข่งกับ FORTUNER ก็คือ ISUZU MU-7 ซึ่งเป็น SUV รุ่นแรกที่แปะตรา “อีสุ” ไม่ได้มีส่วนฮั้วกับ “ไทยรุ่ง” เหมือนก่อนแล้ว ตอนนั้นออกมาราคาหลักล้าน แต่ตอนนี้เหลือ “สามแสนกว่า” ทำไมราคาตก ??? และ ทำไมเราต้องนำเสนอ มันมีอะไรที่ “น่ารู้” ก่อนซื้อครับ…
2005 – 2006
เป็นโฉมแรกที่ออกมาจำหน่าย เครื่องยนต์ “คอมมอนเรล” ยุคแรก เราจะว่ากันถึงเรื่อง “พื้นฐานรถ” (Base) เป็นหลักนะครับ ว่าแต่ละปี มีจุดดี จุดด้อย อย่างไร และมีการซ่อมบำรุงตรงจุดไหนบ้าง แต่อย่างรุ่นย่อยๆ เช่น Primo Super Titatium, Activo, Choiz พวกนี้จะเป็น “การตกแต่ง” หรือ “แต่งหน้าทาปาก” เปลี่ยนจุ๊กจิ๊กๆ ภายใน (Trim) ก็ตกแต่งเยอะแยะมากมาย เลือกได้ตามแต่รสนิยม ซึ่งเราขอข้ามจุดนี้ไปเพราะมันจะทำให้ “ยาวไป” นะครับ…
หน้าตาของโฉมแรก จะดูคล้ายๆ กับ D – MAX ตัวสูง รุ่นแรก กระจังหน้าจะเป็นซี่หนาๆ ไฟเลี้ยวทรงสี่เหลี่ยม กันชนจะดูบึกๆ หน่อย ล้อเป็น 6 ก้าน แบนๆ เครื่องยนต์ 4JJ 3.0 ลิตร ยอดนิยม เกียร์ออโต้ เทอร์โบ ไม่มีอินเตอร์คูลเลอร์ 146 แรงม้า สำหรับรถรุ่นที่ออกมาช่วงปีนี้ จะใช้เกียร์ออโต้ของ “JIDECO” (ไจด์โก) ซึ่งจะต้องพิจารณาในเรื่องของ ความทนทาน และ อะไหล่ แต่ส่วนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรน่ากังวล เพราะอย่างเครื่อง ISUZU ก็ขึ้นชื่อในด้านความทนทาน แต่จะมีเรื่อง “กินน้ำมันเครื่อง” เป็นปกติ ก็ต้องหมั่นเช็คกันหน่อย…
ในส่วนของ “ราคา” ตอนนี้ นับว่าหล่นอย่างน่าใจหาย เรียกว่า “สองแสนกลางถึงสามต้น” ยังหาซื้อได้ อาจจะเป็นรุ่นปีเก่าที่เพิ่งจะเริ่มพัฒนา หน้าตาโบราณๆ หน่อย แต่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบถ้าเอาไปแต่ง ใส่ล้อยางดุๆ ทำสีดำด้านก็เข้าที
แรร์ไอเท็ม !!!
และยังมีรุ่นประหลาดออกมาอีก คือ 2.5 เกียร์ธรรมดา ที่ราคาไม่ถึงล้าน ในวงจะเรียกกันว่า “รุ่นข้าราชการ” แต่หายาก ไม่ค่อยเจอ รถมีน้อยมาก ขนาด “ช่างศูนย์” เอง ยังเจอแค่ 2 – 3 คัน เพราะ “ต้องสั่งออเดอร์พิเศษ” สำหรับหน่วยงานราชการ…
2006 ไมเนอร์เชนจ์ “VGS” มาแล้ว
จะเริ่มหน้าตาทันสมัยขึ้นแล้ว “ไฟเพชร” ดูสวยงาม กระจังหน้าปรับโฉมใหม่ดูแล้ว “สวยหรู คลาสสิก” (ดูในรูปแล้วกันนะ บรรยายไม่ถูก) ไฟเลี้ยวย้ายมาอยู่ “ด้านบน” ในโคมไฟหน้า ส่วนกันชนจะมีไฟตัดหมอกทรงกลม และจะเป็น “เทอร์โบแปรผัน” หรือ “VGS” พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ที่ทำให้อัตราเร่งดีขึ้น มีแรงม้าถึง 163 PS ทำมาเพื่อประกบกับ FORTUNER 3.0 ในรุ่น ACTIVO ขับสี่ ส่วนในรุ่น PRIMO ขับสอง ก็จะมีทั้งรุ่นเทอร์โบ VGS และ รุ่นธรรมดา 146 แรงม้า สำหรับรุ่นปี 2008 ขึ้นไป จะเปลี่ยนเกียร์ออโต้เป็นของ “AISIN” (ไอชิน หรือ ไอซิน) ที่มีสมรรถนะความไวเหนือกว่า ทนทานกว่า อะไหล่มีเยอะ แนะนำว่าให้ซื้อปีนี้ขึ้นไป…
ปี 2009 ออกรุ่น Platinum จะเน้นความหรูหรา ฟรุ๊งฟริ๊ง ด้วยอุปกรณ์ประดับประดาต่างๆ และ Super Platinum ออกตามมาอีก 1 ปี ให้หลัง ราคาอยู่ตั้งแต่ “สามปลาย” จนถึง “สี่กว่า” ในรุ่นปี 2010 ขึ้นไป ทั้งนี้ แล้วแต่สภาพของรถและ Option ที่มีมาให้…
2011 ปิดท้ายกับ CHOIZ
รุ่นสุดท้าย กับ CHOIZ ที่เน้นความเป็นสปอร์ต มีสเกิร์ตหน้าและหลัง ภายในสีดำ ก็ดีเพราะมันเลอะยาก ไม่สะท้อนแดดรบกวนสายตา ราคาอยู่ “สี่กลางขึ้นไปถึงสี่ปลาย” ก็ถือว่าพอรับได้ถ้าคนที่ชอบอะไรใหม่ๆ ยอมจ่ายเพิ่มเพื่อซื้อความสดของรถ…
ข้อควรรู้ก่อนซื้อ
เอาจริงๆ แล้ว ISUZU นั้นไม่ค่อยจะมีอะไรจุกจิกมากนัก จากความทนทานที่ขึ้นชื่อลือชามานาน แต่ MU-7 ก็ปรับลุคใหม่ จากความดิบใน SUV ยุคก่อนๆ อย่าง CAMEO หรือ VEGA ที่ตอนนั้นเรียกกันว่า “รถยนต์นั่งแบบตรวจการณ์” ก็เริ่มจะเป็นความ “เงียบ” นี่แหละที่หลายคนถวิลหา นั่งสบาย กว้างขวาง เพราะเป็นรุ่น “ช่วงล้อยาว” แต่ช่วงล่างด้านหลังยังคงเป็น “แหนบแผ่น” เหมือนกับกระบะ แต่ปรับให้นุ่มนวลขึ้น อันนี้หลายคนก็อาจจะ “ติดลบในความคิด” สักหน่อย เพราะคู่แข่งอย่าง “ฟอร์จูน” คุ๊กกี้ ก็ดันเป็น “คอยล์สปริง” รุ่นแรกของตลาด PPV ในเมืองไทย ก็มีหลายกระแส เนื่องจากสรรพสามิตร ออกกฏอนุญาตให้ใช้ คอยล์สปริง ด้านหลังในรถประเภทนี้ได้ ซึ่ง MU-7 ผลิตออกมาก่อนที่กฏนี้จะออก ก็มีกระแสว่า ค่าย T จะเล่นอะไรหรือเปล่า แต่ก็ช่างเถอะ แม้จะเป็นแหนบ แต่เซ็ตให้นุ่มนิ่มเป็นหลัก แต่ต้องแลกกับอาการ “โยนยวบๆ” เวลาเข้าโค้งต่อเนื่อง จะเอาดีขึ้นก็ยอมควักกระเป๋าลงทุนกับ โช้คอัพดีๆ ทีเดียวจบแน่นอน…
การซ่อมบำรุง
- โดยทั่วไปก็ไม่มีอะไรมาก เช่น ล้างท่อร่วมไอดี ส่วน EGR จะอุดหรือเปล่าก็แล้วแต่ใจท่าน เปลี่ยนแหวนรองหัวฉีด และ ISUZU จะต้องมี “เช็ควาล์ว” ซึ่งก็ไม่แพง แค่ 400 – 500 บาท (ค่าแรงอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ แต่ไม่เกินนี้ไปมากนัก)
- ต้องดู “คอท่อน้ำ” ที่หน้าตาเหมือน “หูโทรศัพท์” อาจจะมีผุและรั่ว ถ้ารถมีการดูแลมาดี ใส่ “น้ำยาหม้อน้ำ” ตลอดไม่เคยขาด ก็อาจจะยังได้อยู่ แต่ถ้ารถที่ไม่ใส่น้ำยา ตรงนั้นก็ชอบผุกร่อน ทำให้น้ำรั่ว เอาเป็นว่า จะรั่วไม่รั่วก็ “เปลี่ยนไปเถอะ” เพราะค่าของแค่ “พันกว่าบาท” อย่า “เขียม” นัก เพราะถ้าขับๆ ไปแล้วเกิดน้ำรั่ว เครื่องโอเวอร์ฮีตพังขึ้นมา “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย” ก็สมควรแล้วละครับ ส่วนปั๊มน้ำ ไหนๆ เปลี่ยนไปด้วยเลยก็ดีครับ ทีเดียวจบใช้กันยาวๆ…
- สำหรับปัญหาเรื่อง “กินน้ำมันเครื่อง” ในรถปี 2005 – 2008 ก็เป็นปัญหาคลาสสิก แนะนำว่า ยอมเพิ่มตังค์เล่นรถปี 2009 ขึ้นไป ซึ่งบริษัทแก้ไขปัญหานี้แล้ว…
- ค่าบำรุงรักษาโดยรวม ถ่ายของเหลวต่างๆ สายพานหน้าเครื่อง จุกจิกนิดหน่อย เอาแบบ “ฟูลๆ” เลยนะ ตีไว้ “หมื่นนึง” โคตรถูกเลยครับ…
เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th