3 รถเอสยูวีหรู จาก Mercedes-Benz กับ 3 ทางเลือกที่แตกต่าง ทั้งราคา-สมรรถนะ
3 รถเอสยูวีหรู จาก Mercedes-Benz กับวางกลุ่มสินค้าคลอบคลุมทั้งตลาดด้วย 3 ทางเลือก GLS, GLE และ GLC ที่แตกต่างทั้งเรื่องราคาและสมรรถนะ
ความนิยมของรถเอสยูวีในบ้านเราเติบโตขึ้นมาก ด้วยพฤติกรรมการใช้งานและความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาความคุ้มค่าในการใช้งานรถที่เปลี่ยนแปลงไปมากจากอดีต ย้อนไปสัก 5-6 ปีก่อน ที่กลุ่มรถซีดานเฟื่องฟู ใครมาชวนคุยเรื่องรถเอสยูวีแทบจะเป็นตัวประหลาดในสาย
ปัจจุบันทางเลือกรถกลุ่มนี้ในตลาดมีมากมายหลากหลาย ทุกแบรนด์มีทางเลือกไว้รองรับความต้องการของลูกค้า บางแบรนด์มีตั้งแต่รุ่นเล็กไปจนถึงรุ่นใหญ่ ไว้รอดักทางความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่ม ซึ่ง เมอร์เซเดส เบนซ์ คือ หนึ่งในนั้น
Mercedes-Benz มีรถกลุ่มไว้รองรับการขายให้ลูกค้าตั้งแต่ราคาเริ่มต้นที่ 2.5 ล้านบาท อย่าง GLA ไปจนถึงรถที่เป็นตัวพ่อแห่งความหรูหราอย่าง Mercedes-Maybach GLS ที่มีราคา 18 ล้านบาท
แต่ในครั้งนี้เราจะมาเจาะสเปคกันเพียงแค่ 3 รุ่น เพราะได้มีโอกาสไปทดลองขับมาเส้นทาง ภูเก็ต-พังงา เส้นทางยอดนิยมของค่ายรถยนต์เวลาต้องการจะทดสอบรถที่เน้นสมรรถนะสักหน่อย ประกอบไปด้วย Mercedes-Benz GLC 350 e 4MATIC Coupe’ , Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Line และ Mercedes-Benz GLS 450 d 4MATIC (Facelift)
3 รถเอสยูวีหรู มีความแตกต่างกันแทบทุกด้าน เพราะถูกวางมาให้จับตลาดคนละกลุ่มอย่างชัดเจน ไล่เรียงตั้งแต่เรื่องของราคาจำหน่าย ไปจนถึงเรื่องของบุคลิกและสมรรถนะการขับขี่
3 รถเอสยูวีหรู แต่ละคันขายใคร ?
GLC 350 e 4MATIC Coupe’ AMG Dynamic
รถรุ่นนี้ประกอบในประเทศไทย เปิดตัวมาในช่วงงานบางกอก มอเตอร์โชว์ 2024 ด้วยความเป็น Coupe’ เลือกใช้สีตกแต่งทูโทน แดง-ดำ มันชัดเจนว่าต้องการขายความดุดันในสไตล์สปอร์ต ภายนอกไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรจนเป็นที่สังเกตได้มากนักจากรุ่นนำเข้า แต่จะไปหนักทางเรื่องการพัฒนาใหม่ที่ระบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด และสมรรถนะการขับขี่ที่ดูจะลงตัวมากขึ้น
ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน รหัส M254 แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 3,200 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 136 แรงม้า 440 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า มอบกำลังสูงสุด 313 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC
แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ถูกเพิ่มความจุมากกว่าเดิมจาก 13.5 กิโลวัตต์ เป็น 31.2 กิโลวัตต์ เพิ่มระยะวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วน ระยะทางสูงสุด 120 กิโลเมตร ตามมารฐาน (WLTP) รองรับการชาร์จทั้งแบบ AC 11 กิโลวัตต์ และ DC 60 กิโลวัตต์
ด้วยพละกำลัง 313 แรงม้า และ แรงบิด 550 นิวตันเมตร ที่เซ็ทการทำงานของเกียร์อัตโนมัติ 9G-Tronic มาได้ลงตัว กดเป็นมา กดเป็นพุ่ง สวนทางกับแรงม้าที่ถูกปรับลดลงจากรุ่นเดิม ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4MATIC ทำให้รถมีการขับขี่ที่กระชับ กระฉับกระเฉงมากขึ้นกว่าเดิม แม้ช่วงล่างถุงลมคู่หลังแบบ Self-leveling ที่หลายคนชอบปรามาสว่ามันจะยวบย้วย แทบไม่มีอาการให้เห็น ด้วยความเร็วสูงที่ใช้บนถนนอันคดเคี้ยวในเส้นทางภูเก็ต-พังงา ผมกับรู้สึกสนุกเร้าใจเสียด้วยซ้ำ
ขับสนุก วิ่งไฟฟ้า 120 กิโลเมตร
ราคา 4,340,000 บาท ในกลุ่ม C segment จะบอกว่าเป็นของวัยรุ่นมีตังค์ก็ไม่ผิด ไม่พลาดหรอกนะ แต่เพียงตัวเลือกรถขับสนุกสำหรับวัยรุ่น มันมีหลากหลายมากมายนัก GLC 350 e จึงดูจะเหมาะกับวัยกลางคนมีกำลังทรัพย์ที่ชื่นชมรถเอสยูวี แบบพาครอบครัวขนาดไม่ใหญ่ ไปไหนมาไหนด้วยการขับรถเอง ได้ทั้งความสะดวกสบายและคว้ามเร้าใจในเวลาเดียวกัน แถมยังประหยัดด้วยความเป็นรถปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่ชาร์จเต็มแล้ววิ่งไฟฟ้าเพียว ๆ ได้ถึง 120 กม.
แต่ข้อเสียที่หลายคนอาจจะไม่ชอบ คือ รูปทรงคูเป้และความสปอร์ต นำมาซึ่งภายในที่ค่อนข้างจะคับแคบกว่าตัว GLC ปกติ ถ้าครอบครัวไหนตัวใหญ่โต หรือมีจำนวนสมาชิกเกิน 4 ก็ไม่น่าจะใช่ทางเลือกที่ถนัดนัก
GLE 300 d 4MATIC AMG Line
GLE 300 d ในตลาดบ้านเรามีวางขาย 2 รุ่น คือ GLE 300 d AMG Dynamic ราคา 5,590,000 บาท เปิดตัวมาสักช่วงปลายปี 2023 และอีกตัวก็คือ GLE 300 d 4MATIC AMG Line รุ่นย่อยใหม่ ราคา 4,980,000 บาท ปรับออปชั่นใหม่ ซึ่งมีราคาถูกลงจากรุ่นก่อนหน้า 610,000 บาท
ภายนอกมาพร้อมกับชุดแต่ง AMG BodStyling ปรับไฟหน้าใหม่เป็นแบบ LED High-performanc ล้ออัลลอย AMG แบบ 5 ก้าน สีทูโทน ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 275/50 R20 (รุ่น GLE 300 d AMG Dynamic ขนาด 21 นิ้ว ) ไม่มี หลังคากระจก Panoramic Roof ส่วนช่วงล่างแบบ Lowered Suspension ไม่ใช่ถุงลม AIR MATIC (หลายคนอาจจะชอบมากกว่า)
ปรับลดระบบความปลอดภัยในการขับขี่ จาก Driving Assistance Package เหลือเพียง Blind Spot Assist และ Active Brake Assist ที่หายไปอีก 3 ระบบเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า คือ ระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่ Head–up Display, ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ข้างหน้า Active Distance Assist DISTRONIC และ ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัย Active Steering Assist
เครื่องยนต์ดีเซล รหัส OM654 ขนาด 2.0 ลิตร 1,933 ซีซี พร้อมเทอร์โบ 2-Stage Turbocharger ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ISG (Integrated Starter Generator)ขนาด 48V หรือที่เรียกกันว่า Mild Hybrid มอบพละกำลังรวมสูงสุด 269 แรงม้า(เดิม 245 แรงม้า) ที่ 4,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 2,200 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC กระจายกำลังลงสู่ล้อหน้าและหลัง 50 : 50 อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 6.9 วินาที
ราคาที่ถูกลง มาพร้อมกับออปชั่นบางส่วนที่หายไป สำหรับลูกค้าที่อาจจะไม่คิดมากในเรื่องของการขาดหายไปของบางอย่าง รถในตระกูล E CLASS ที่มีราคาจำหน่ายไม่ถึง 5 ล้านนับว่าน่าสนใจ เพราะรูปลักษณ์ทั้งภายในภายนอกไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนไปมากนัก ภายในยังคงเดิมซึ่งอาจจะดูทื่อ ๆ เชยไปนิด แต่เรื่องความกว้างขวางโออ่า สมราคา GLE
แรงกว่าเดิม แต่ก็ประหยัดด้วย
สมรรถนะ ส่วนตัวคิดว่าเอาเรื่องเอาราวเลยทีเดียว กับการขยับแรงม้าเพิ่มขึ้นมา ช่วยให้รถไซส์ใหญ่โตขนาดนี้ ขับได้สนุกบันเทิงยิ่งขึ้น และด้วยความที่ช่วงล่างไม่ใช่แบบถุงลม มันทำให้เราได้รับสัมผัสดิบ ๆ ในการขับขี่มากขึ้น เข้าโค้งด้วยความแรง ตามปกติของรถที่มีความสูงค่อนข้างมาก จะมีอาการโยน ๆ แน่นอน แต่คันนี้ดูจะมีความเฟิร์มมากกว่ารุ่นที่ใช้ช่วงล่างเป็นถุงลม การใส่มอเตอร์ไฟฟ้า ISG มันไปช่วยส่งเสริมในหลายเรื่อง ทั้งการช่วยเพิ่มแรงบิดและรอบเครื่องยนต์ขณะที่เครื่องยนต์มีอุณหภูมิตำ่ เพิ่มกำลังให้เครื่องยนต์ 20 แรงม้า 200 นิวตันเมตร แถมยังประหยัดน้ำมันมากกว่าเดิม 6.5%
จีแอลอี 300 ดี เอเอ็มจี ไลน์ เป็นรถตรวจการ(ใช้คำเช๊ยเชย) หรือรถหรู ที่ยังอยู่ในกลุ่มเจ้าของรถจะมีไว้ขับเอง หรือ แบบมีคนขับรถให้ก็ได้ ใช้ได้ทั้งเวลาออกไปทำงานต่างจังหวัด ที่มีเส้นทางไว้ให้ลุยสักหน่อย หรือจะใช้เดินทางในเมืองแบบรถติดก็ดูจะตอบโจทย์ แม้ขนาดตัวรถจะค่อนข้างใหญ่ แต่ไม่ได้ขับยากจนไม่คล่องตัว หน้าฝน ที่เรามีถนนคล้ายคลอง ยิ่งดูจะเหมาะเจาะกับการใช้งาน
GLS 450 d 4MATIC AMG Dynamic (Facelift)
พี่ยักษ์ พี่ใหญ่ พี่สุดหรู แห่งบ้านตราดาว มีขนาดตัวถังแทบจะใหญ่ที่สุดในตลาด ยาว 5,207 มิลลิเมตร กว้าง 1,956 มิลลิเมตร สูง 1,823 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อ 3,135 มิลลิเมตร ซึ่งมาพร้อมสนนราคา 6,980,000 บาท
ภายนอกแต่งแบบ AMG Bodystyling ไฟหน้า แบบ MULTIBEAM LED ที่มี LED ถึง 84 หลอด ทำงานร่วมกับระบบไฟสูง Adaptive Highbeam Assist Plus ขับขี่ปลอดภัยในเวลากลางคืนด้วย เทคโนโลยี Ultra range highbeam ที่จะสามารถส่องสว่างได้ไกลถึง 650 เมตร ถ้าไม่มีรถวิ่งสวนทางหรือ มีสิ่งกีดกวาง เพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ ล้ออัลลอย AMG ขนาด 22 นิ้ว ช่วงล่างแบบถุงลม (AIRMATIC) และ ระบบควบคุมระดับอัตโนมัติ ระบบช่วยปิดประตูแบบ Power closing door ระบบเปิด-ปิด บานประตูท้ายอัตโนมัติ (HANDS-FREE ACCESS) หลังคา Panoramic Sunroof เปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า และ ระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO
ภายในตกแต่งด้วย AMG interior package หน้าจอ Wildscreen Cockpitขนาด 12.3 นิ้ว จำนวน 2 จอ พร้อมจอแสดงผลแบบ Head-up display พวงมาลัย Multi-function แบบสปอร์ตหุ้มหนัง Nappa และ เบาะหนังที่ติดตั้งระบบนวดแบบ MULTI CONTOUR SEAT ที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charger ระบบปรับสมดุลอากาศแบบ ENERGIZING AIR CONTROL with ENERGIZING Package ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ THERMOTRONIC แยกอิสระ 5-Zones พร้อมAIR BALANCE package
พละกำลังเหลือล้น เครื่อง 3.0 ลิตร เทอร์โบ
เครื่องยนต์ รหัส OM656 ใหญ่โตสมกับขนาดตัวรถ ดีเซล 6 สูบแถวเรียง ขนาด 3.0 ลิตร 2,927 ซีซี. เทอร์โบแบบ 2-Stage Turbocharger กำลังสูงสุด 367 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ที่ 1,350 – 2,800 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC พร้อมเทคโนโลยี EQ Boost ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า Electric Starter-Generator Motor 48V กำลังสูงสุด 20 แรงม้า พละกำลังเพิ่มขึ้นจาก GLS 350 d ขึ้นมา 81 แรงม้า 150 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 6.1 วินาที
ระบบความปลอดภัยเต็มระบบ
- Driving Assistance Plus Package ระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ
- ATTENTION ASSIST ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่
- Active Brake Assist ระบบเบรกอัตโนมัติ
- Active Lane Keeping Assist ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร
- ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ พร้อมกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง (Parking with reversing camera)
- ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉิน Active Emergency Stop
- Transparent bonnet แสดงจุดอับสายตาบริเวณหน้ารถ และ ใต้ท้องรถ เพื่อการขับขี่แบบ Off-Road
ภาพรวมของออปชั่นที่ใส่เข้ามาสมราคาความหรูหราของ S CLASS พวงมาลัยเวอร์ชั่น 5 ระบบปฎิบัติการ MBUX7 สามารถเชื่อมต่อ สั่งการและใช้งาน ได้ตั้งแต่ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ด้านหน้าจอแสดงผลกลาง LED ขนาด 12.35 ด้านหลัง มีจอผู้โดยสารอีก 2 ตำแหน่ง ขนาด 11.6 นิ้ว ระบบสัมผัส เครื่องเสียงเป็นเจ้าเก่า เจ้าเดิม Burmester 3D Surroumd Sound System มอบปรับสบการเสียงทรงพลังด้วย ลำโพง 15 ตัว กำลังขับ 590 Watts และ เทคโนโลยี Dolby Atmos® รับฟังเพลงผ่านสตรีมมิ่งได้แทบทุกแอพพิลเคชั่น อยู่ในโลกส่วนตัวแห่งความบันเทิง ด้วยหูฟัง Bluetooth Audio และยัง MBUX rear tablet สำหรับความคุมหน้าจอต่าง ๆ ภายในรถ ซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณที่พักแขนผู้โดยสารตอนหลัง เพิ่มความสะดวกสบายหรูหรา
ดีไซน์ภายใน นอกจากเรื่องความเชยของคอนโซลกลางที่ยังมีช่องมือจับสูงขึ้นมา เรื่องระดับความสะดวกสบายไม่เป็นสองรองใครในตองอู มีให้ครบทุกอย่างเท่าที่รถราคาเกือบ 7 จะมีให้คุณได้ อย่างตัวเบาะนั่งโดยสาร ทั้งด้านหน้าและหลังเป็นแบบ Multicontour Seat มีระบบนวดผ่อนคลายถึง 6 โปรแกรม พร้อมด้วยระบบปรับอุณหภูมิเบาะแบบ Climate seats โดยเบาะนั่งแถวที่ 2 และ 3 สามารถพับราบเพิ่มพื้นที่ขนสัมภาระภายในได้ถึง 2,400 ลิตร (แต่ใครจะซื้อ S Class มาขนของกันนะ)
GLS 450 d AMG Dynamic คนซื้อไปน่าจะเกือบ 100% ว่าไม่ได้ขับเอง ส่วนใหญ่จะมีคนขับรถให้ หากเทียบความหรูหรา อาจจะด้อยกว่าตัว S-Class Saloon อยู่ แต่ความกว้างขวาง และความรู้สึกแข็งแกร่งดุดันมันดูเหมาะสมกับความเป็นรถไซส์พี่เบิ้ม ซึ่งหากจะเขียนตามความรู้สึกหลังได้ลองขับในเส้นทาง ภูเก็ต-พังงา ที่นิยมชมชอบในโค้งทุกระดับ หากใครจะซื้อรถรุ่นนี้ไปขับเองก็ไม่น่าจะเคอะเขิน ดูจได้ลุคผู้บริหาร หรือเจ้ากิจการที่มีความเท่ ๆ คูล ๆ เสียด้วยซ้ำ
พละกำลังของเครื่องยนต์ที่ถูกส่งเสริมด้วย EQ Boost มันทำงานได้อย่างไหลลื่นยามกดคันเร่งเรียกความเร็ว ไม่อืด ไม่หนืด มีความแรงเร้าอารมณ์ ช่วงล่างถุงลมกับน้ำหนักรถดูจะมีนุ่มนวลเกินไปนิดหากคุณจะขับขี่มันด้วยความเร็วสูงพร้อมกับสาดโค้งแบบเอามันส์ แม้บุคคลิกรวม ๆ จะมีความผู้รากมากดี แต่ก็มีความสามารถนำไปลุยได้ด้วย ซึ่งก็ถือว่ามีความครบถ้วน ลึก ๆ นึกถึงภาพเจ้าของเหมือง หรือ ผู้รับเหมาก่อสร้างถนน ที่อยากขับรถไปแวะดูหน้าไซด์งาน ก่อนไปประชุมลูกค้า น่าจะเหมาะกับรถคันนี้
3 รถเอสยูวีหรู ขมวดจบ
ทั้ง 3 รุ่น ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ มีเอกลักษณ์ในการจับกลุ่มลูกค้าที่แตกต่าง ดูจะไม่ได้มาแข่งกันเองในค่าย ลูกค้าเลือกได้ตามความนิยมและเงินในกระเป๋าได้เลย แม้จะมีภาพลักษณ์เป็นรถคุณลุงอยู่บ้าง แต่เบนซ์ยังคงเป็นเบนซ์ ที่มีกลุ่มลูกค้าเฉพาะ
นอกจากเรื่องของสมรรถนะ ยังต้องการบางอย่างจากแบรนด์ ทั้งเรื่องการส่งเสริมภาพลักษณ์ คุณภาพสินค้า เทคโนโลยีความปลอดภัย ฉะนั้น การจะเลือกใช้งานรถตราดาวสักรุ่น ถ้าเป็นกลุ่มที่มีความชัดเจนในตความต้องการของตัวเอง แม้จะมีคู่แข่งถูกนำเข้ามาเปรียบเทียบ ก็ไม่น่าจะหันหน้าหนีไปไหน แม้จะแพ้เรื่องราคาและโปรโมชั่นอยู่บ้างก็ตาม แต่ความลักชัวรี่ที่เบนซ์สร้างมาไว้อย่างยาวนาน เป็นตัวช่วยขายได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ภาพ : ฝ่ายภาพ GRANDPRIX
ติดตามข่าวสารยานยนต์ในรถใหม่ได้ที่www.grandprix.co.th