Suzuki Ertiga Hybrid 1 ถัง วิ่ง 700 กม. ทำได้หรือไม่
Suzuki Ertiga Hybrid 1 ถัง วิ่ง 700 กม. ได้หรือไม่ หลังจากทางซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย ได้เปิดรถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกของพวกเค้าที่จำหน่ายในประเทศไทย อย่าง Suzuki Ertiga Smart Hybrid ครั้งนี้เรามีโอกาศได้นำเจ้า Ertiga Smart Hybrid คันนี้ไปทดลองขับกัน แต่จะให้ขับไปรีวิวแบบปกติ มันก็จะซ้ำกับชาวบ้านเค้า งั้นเรามาลองขับด้วยน้ำมัน 1 ถัง ดูซิว่ามันจะวิ่งได้ไกลแค่ไหนถึง 700 กิโลเมตรหรือไม่ มาลองดูกันครับ
รูปลักษณ์ภายนอก
Ertiga Hybrid คันนี้มีการปรับรูปลักษณ์ภายนอกแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อยเท่านั้นคือ กระจังหน้าโครเมียมดีไซน์ใหม่ ที่ดูหรูหราดี และแถบตกแต่งโครเมียมบริเวณประตูท้าย ในรุ่นท็อปสุดที่เรานำมาจะถูกติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น ไฟหน้าโปรเจกเตอร์ฮาโลเจน, ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชัน Guide me, ไฟตัดหมอกคู่หน้า, ไฟท้ายแบบ LED light guides, กระจกมองข้างปรับพับอัตโนมัติ, ระบบปัดน้ำฝนแบบปรับตั้งหน่วงเวลา และล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วสีทูโทน
ภายในห้องโดยสาร
เป็นเบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง หุ้มด้วยวัสดุผ้าที่มีโทนสีสว่างขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าทำให้ห้องโดยสารดูกว้างขึ้นมานิดนึง พร้อมเปลี่ยนสีของลายไม้ตรงคอนโซลให้เข้มขึ้นดูดีกว่ารุ่นปกติ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ LCD ที่สามารถแสดงการทำงานของระบบไฮบริด และ Wireless Charger
หน้าจอสัมผัสขนาด 10 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay, ช่องเชื่อมต่อ USB / HDMI, กุญแจ Keyless Entry พร้อมปุ่ม Keyless push start, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ, ระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง และกล้องมองหลังพร้อมเซ็นเซอร์กะระยะด้านท้าย สุดท้ายเพิ่ม ระบบ Cruise Control มาให้ขับขี่ต่างจังหวัดสบายเลย
เครื่องยนต์
เบนซิน 4 สูบ รหัส K15B ความจุ 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ทำงานควบคู่กับ Integrated Starter Generator (ISG) ที่ให้กำลังสูงสุด 2.3 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 50 นิวตัน-เมตร
เพิ่มเติมด้วยระบบ Idling Stop ช่วยดับเครื่องยนต์ขณะรถหยุดนิ่ง ซึ่งทางโรงงานเครมไว้ว่ามีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 17.9 กม./ลิตร ดีขึ้นกว่ารุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตรเดิมที่มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 15.9 กม./ลิตร แต่เดียวเราจะไปลองใช้งานจริงให้ดูว่าได้ขนาดไหน
ลองขับน้ำมัน 1 ถัง
เริ่มแรกเราลองทดสอบวิ่งใช้งานภายในเมืองกันก่อนเลย มีทั้งในเมืองที่รถค่อนข้างติด ชานเมืองที่ใช้ความเร็วได้พอสมควร เร่งแซง ลัดเลาะตามช่องว่าง โดยทั้งหมดเราวิ่งไป 240.8 กิโลเมตร ผมทำได้ 13.3 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งก็ถือว่าเป็นตัวเลขที่ใช้ได้พอสมควร แต่ผมเชื่อว่าเพื่อนๆหลายท่านคงทำได้มากกว่าผม เพราะผมเท้าค่อนข้างหนัก ส่วนอัตราเร่งช่วงออกตัวผมว่าดีขึ้น และคล่องตัวขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า ส่วนอัตราเร่งกลางไปปลายยังเหมือนเดิมเพียงพอต่อการใช้งาน ไม่ได้จื๊ดจ๊าดอะไรนัก
เมื่อเรารู้อัตราสิ้นเปลื้องภายในเมืองกันแล้ว เรามาถึงภาระกิจหลักของเราดีกว่าว่า น้ำมัน 1 ถัง ของ Ertiga Hybrid ไปได้ไกลแค่ไหน โดยเราวางเส้นทางไว้ว่าเราจะไปเส้นอีสานใต้ช่วงแรก กรุงเทพ-บุรีรัมย์ ออกจากกรุงเทพรถค่อนข้างหนาแน่น ขับใช้ความเร็วอะไรมากไม่ได้ไหลไปเรื่อยๆ
หลุดออกมามุ่งหน้าสู่โคราช ถนนช่วงนี้ค่อนข้างดีเราวิ่งใช้ความเร็วเดินทางประมาณ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นั่ง 3 คน และบรรทุกของเต็มหลัง ถนนเป็นทางตรงยาวๆเลยใช้ Cruise Control ช่วยผ่อนแรงหน่อยสบายขึ้นเยอะ
จากโคราช มุ่งหน้าสู่บุรีรัมย์ ถนนช่วงนี้มีการทำถนนเป็นช่วงๆทางค่อนข้างขรุขระแต่ระบบช่วงล่างของ Ertiga Hybrid ที่ด้านหน้าเป็น McPherson Strut พร้อมคอยล์สปริง ส่วนด้านหลังเป็น Torsion Beam สามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากพื้นผิวของถนนที่ขรุขระได้ดี และด้วยเทคโนโลยี Heartect Platform ทำวิ่งด้วยความเร็วตัวรถไม่มีอาการโคลงให้ได้สัมผัส ขับนิ่งควบคุมง่าย
ใช้เวลาไม่นานก็เดินทางมาถึงบุรีรัมย์แวะเที่ยวและทาวข้าว น้ำมันยังเหลือประมาณครึ่งถังชิลล์ๆ ออกเดินทางไปเที่ยวต่อที่จังหวัดสุรินทร์ ช่วงนี้ถนนบางช่วงเป็นเลนสวนทำให้เราต้องเร่งแซงรถช้าข้างหน้า การเร่งแซงสบายๆไม่มีปัญหา เพียงแต่บ้างจังหวะต้องคลิ๊กดาวน์ช่วยซะหน่อย เราไม่ได้ไปดูช้าง แต่เราแวะชมปราสาทศีขรภูมิ ที่มีทับหลังที่สมบูรณ์ ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไมยเลยก็ว่าได้ สวยงามจริงๆครับ
ออกจากจังหวัดสุรินทร์ มุ่งหน้าสู่ศรีสะเกษ แวะเที่ยวพระธาตุเรืองรอง ไหว้พระธาตุเอาฤกษ์เอาชัยก่อนออกเดินทางต่อไปยังจังหวัดอุบลราชธานี จุดหมายของเราอยู่ที่จุดชมวิวแม่น้ำสองสี และวัดภูพร้าว หรือวัดเรืองแสง น้ำมัน 1 ถังของเรายังคงอยู่จนกระทั้งเราวิ่งเข้าสู่จังหวัดอุบลราชธานี ระยะที่เราวิ่งทั้งหมด 520 กิโลเมตร ไฟเตือนน้ำมันก็แจ้งเตือนขึ้น แต่เราไม่สนวิ่งต่อไปด้วยความเร็วเดินทางประมาณ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทางในช่วงนี้บางช่วงเป็นทางขึ้น-ลงเขา ขึ้นได้สบายครับแต่ก็จะไม่ทันใจเท่าไหร่
อยู่ๆเครื่องก็ดับเหยียบคันเร่งรถไม่วิ่ง ระบบทุกอย่างตัดหมด แต่ยังควบคุมเบรกและพ่วงมาลัยได้ ใช่ครับ น้ำมันหมดเกลี้ยงครับ ระยะทางไฟสัญญาณเตือนจดหมดถังอยู่ที่ 160 กิโลเมตร (นอกเมืองนะครับ ถ้าวิ่งในเมืองที่รถติดๆอาจจะได้น้อยกว่านี้ ) ระยะทางรวมทั้งหมดโดยใช้น้ำมัน 1 ถัง ทำได้ 680 กิโลเมตร น่าเสียดายที่ผมทำไม่ถึง 700 กิโลเมตร แต่ผมเชื่อว่าเพื่อนๆทำได้ถึงแน่นอนครับ
เราเอาน้ำมันจากแกลอนที่เราเตียมไว้เติมใส่เข้าไปเพื่อให้พอวิ่งไปจนถึงปั๊มเพื่อเติมน้ำมันให้เติมถังอีกครั้งเพื่อวิ่งต่อไปยังจุดหมายของเราต่อไปเพื่อชมความสวยงามของแม่น้ำสองสี และวัดเรืองแสงที่งดาม ทริปนี้อัตราสิ้นเปลืองนอกเมืองอยู่ที่ประมาณ 15.1 กิโลเมตรต่อลิตรครับ ถ้าผมทำได้ขนาดนี้เพื่อนๆทำได้ประหยัดมากกว่าผมแน่นอนครับ
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th