Test Drive Ford Ranger Wildtrak V6 250 แรงม้า จัดเต็ม ดีสมราคาหรือไม่
Test Drive Ford Ranger Wildtrak V6 250 แรงม้า จัดเต็ม ดีสมราคาหรือไม่ ก่อนอื่นก็ต้องบอกเลยครับว่าตลาดกระบะในบ้านเรากลับมาเดือดอีกครั้ง ล่าสุดเรามีโอกาศได้เข้าร่วมการทดสอบ Ford Ranger Wildtrak Diesel V6 ครั้งแรกบนถนนเมืองไทยบนเส้นทางแบบใช้งานจริง เชียงใหม่ – เมืองคอง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ระยะทางไป-กลับ กว่า 234 กิโลเมตร ซึ่งเส้นทางจะเป็นทั้งทางเรียบ การขับขี่ในเมือง และเส้นทางออฟโรด งานนี้ไม่มีการปั้นขับใช้งานจริง ลุยจริง ดูซิเจ้า Ford Ranger V6 คันนี้จะเจ๋งคุ้มค่าเงินหรือไม่
การออกแบบภายนอก
การออกแบบภายนอกยังคง คล้ายรุ่นก่อนหน้า อืมม มองไปมองมาไม่คล้ายละครับเหมือนกันเลย เพียงแต่มีการตกแต่งด้วยตราสัญลักษณ์ V6 บริเวณช่องระบายอากาศด้านข้างตัวถัง บอกให้รู้ว่าข้าคือ พร้อมกับเติมระบบไฟส่องสว่างแบบแบ่งโซน (Zone Lighting) ควบคุมการเปิดไฟส่องสว่างภายนอกตัวรถเมื่อต้องการแสงสว่างในการทำกิจกรรมต่างๆ ตอนกลางคืนมาให้ และสุดท้ายล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ที่ถอดออกมาจาก Everest นอกนั้นเหมือนเดิม ไฟหน้า Matrix LED พร้อมไฟ daytime running light รูปทรงตัว C ไฟตัดหมอก และไฟท้ายแบบ LED กันชนหลัง เป็นต้น
มิติตัวถัง ยาว 5,370 มิลลิเมตร กว้าง 1,918 มิลลิเมตร สูง 1,884 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ Wheelbase 3,270 มิลลิเมตร
การออกแบบภายใน
ภายในก็บรรยากาศแบบเดิมๆครับเพราะไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย เบาะคู่หน้านั่งหุ้มด้วยหนังแบบ Wildtrak นั่งสบายกระชับตัว ปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง มาตรวัด Full Digital แบบสี ขนาด 8.0 นิ้ว ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Brake Hold , Wireless Charger ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา Dual Zone ระบบปรับอากาศ สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ มีไฟ Ambient Light หน้าจอกลางระบบ Touchscreen ระบบ Multi-touch ขนาด 12.0 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay / Android Auto แบบไร้สาย Wireless ระบบเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A ระบบ FordPass Connect ช่องเชื่อมต่อ USB 4 ตำแหน่ง ลำโพง 6 ตำแหน่ง
เครื่องยนต์แรงซะใจ V6 3.0 Turbo DIESEL
เครื่องยนต์ดีเซล V6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร 2,993 ซีซี. พ่วงเทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 250 แรงม้า ที่ 3,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,250 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ SelectShift ขับเคลื่อน 4 ล้อ Full-Time 4WD (4A) พร้อมโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือกถึง 6 โหมด
การทดลองขับ Test Drive Ford Ranger Wildtrak V6
เราเริ่มเดินทางออกจากตัวเมืองเชียงใหม่กันแต่เช้า บอกเลยว่าสภาพการจราจรของเชียงใหม่ ไม่ได้ต่างอะไรไปจากกรุงเทพเลย รถติดมาก รถเยอะถนนแคบ แต่ด้วยตัวรถที่สูงทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นที่ดี ทำให้การขับขี่ง่ายขึ้น และพวงมาลัยที่น้ำหนักเบาเมื่ออยู่ในเมืองทำให้เพิ่มความคล่องตัวในการขัยขี่ในเมืองได้ดี ถึงแม้รถจะมีขนาดใหญ่ แต่ก็สามารถลัดเลาะได้สบาย หลุดออกมานอกเมืองพ้นช่วงรถติดเราได้ทดลองสมรรถนะของเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 V6 เทอร์โบ 250 แรงม้า ลูกนี้กันหน่อยว่ามันเจ๋งแค่ไหน อัตราเร่งช่วงออกตัวจะจังหวะหน่วงอยู่เล็กน้อย แต่พอถึงรอบประมาณ 2000 รอบดึงไม่หยุดเลยครับขับมันส์ และสนุกมากครับ ถามว่าถ้าเทียบระหว่าง 2.0 ของแร็ฟเตอร์ กับ 3.0 V6 ลูกนี้ ส่วนตัวผมว่าแรฟเตอร์ 2.0 อัตราเร่งมันจี๊ดจ๊าดกว่า ดุดันกว่า ส่วนเจ้าเรนเจอร์ V6 คันนี้ มันออกสไตล์ผู้ดี ขึ้นแบบนุ่มนวล นิ่งๆ ดึงแบบต่อเนื่อง ถามว่าล็อคความเร็วไว้ที่เท่าไหร่อันนี้ผมลองไม่ถึงจริงๆ เพราะความเร็วแตะ 180 กม./ชม. แล้วยังไหลได้อีก ถนนดันหมดซะก่อนเลยไม่ทราบว่ามันล็อคความเร็วไว้ที่เท่าไหร่ เอาเป็นว่ามันขับสนุกขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าพอสมควร
ระบบช่วงล่างยังคงเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนอะไร
ด้านหน้า Double Wishbone พร้อมคอยล์สปริง และ เหล็กกันโคลง ด้านหลัง Leaf Spring แหนบซ้อน ยังคงทำหน้าที่ได้ดี ไม่เด้ง ไม่ดีด เหมือนกระบะทั่วไป มันเหมือนขับรถ SUV ซะมากกว่า แน่น หนึบ และนุ่มนวล เราวิ่งผ่านเส้นทางออฟโรดแบบเบาๆ เป็นทางฝุ่นและมีหลุม บ่อ เยอะพอสมควร ระบบช่วงล่างก็สามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี นุ่มสบาย การเค้าโค้งด้วยความเร็วสูงมีอาการโยนตัวให้ได้สัมผัสบ้างเล็กน้อย แต่เอาอยู่ควบคุมง่าย พวงมาลัยหน่วงตามความเร็วน้ำหนักกำลังดี สามารถนำเราผ่านโค้งที่คดเคี้ยวบนเส้นทางได้แบบชิลล์ๆ แต่ที่ชอบอีกอย่างหนึ่งของเจ้าคันนี้นั้นก็คือระบบ Full-Time 4WD (4A) ที่ให้มา ระบบฉลาดดีครับสามารถปรับกระจายแรงได้อย่างสมดุลตามสภาพถนนโดยอัตโนมัติสบายเลย
ส่วนในเรื่องของอัตราสิ้นเปลือง ECO STICKER บอกไว้ว่า 11.9 กิโลเมตรต่อลิตร แต่นั้นเป็นการทดสอบในพื้นที่ปิด เพราะฉะนั้นเราเอามาวิ่งถนนจริงบอกเลยว่าได้น้อยกว่านี้แน่นอน ถ้าวิ่งถนนปกติ ขับดีๆเดินคันเร่งเนียนๆ 10 กิโลเมตรต่อลิตร ก็มีให้เห็นได้ครับ แต่ถ้าออกต่างจังหวัด เดินคันเร่งหนักเพราะรถมันขับสนุกเหลือเกิน แถมเส้นทางขึ้น-ลง เขา แบบที่ผมไปทดสอบ ผมทำได้ 7.9 กิโลเมตรต่อลิตร ครับ
ระบบความปลอดภัยมีให้ครบครัน
- ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS
- ระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Traction Control พร้อมระบบ Electric Brake Booster
- ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HLA
- ระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ROM
- ระบบช่วยลงทางลาดชัน HDC
- ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน Emergency Assistant
- ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่าง Adaptive Cruise Control พร้อมระบบ Stop & Go
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Lane Centering
- ระบบเปิด-ปิดไฟสูง อัจฉริยะ Auto HighBeams
- ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ พร้อมตรวจจับคนเดินถนน AEB
- ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน Lane Keeping Assist
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning
- ระบบเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Information
- ระบบตรวจจับรถขณะก่อนออกจากช่อง Cross Traffic Alert
- ระบบป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง Reverse Brake Assist
- ระบบช่วยหักพวงมาลัย เพื่อเลื่องการปะทะ Evasive Steering Assist
- ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง (คู่หน้า-ด้านข้าง-ม่านนิรภัย-หัวเข่าคนขับ)
- ระบบกล้องรอบคัน 360 องศา
- เซนเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหน้า และ ด้านหลัง
สรุป
Ford Ranger Wildtrak Diesel V6 3.0 คันนี้เปิดราคาจำหน่ายที่ 1,519,000 บาท ซึ่งบวกเพิ่มจากรุ่นก่อนหน้าประมาณ 190,000 บาท แต่สิ่งที่ได้มาคือ เครื่องยนต์ดีเซล V6 3.0 เทอร์โบ 250 แรงม้า 600 นิวตันเมตร เครื่องยนต์รองรับมาตรฐาน Euro 5 ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นแบบ Full-Time 4A-4WD ล้ออัลลอย ขนาด 20 นิ้ว ที่ยกมาจาก Everest ได้ระบบไฟส่องสว่างภายนอกรถ แบบแบ่งโซน Zone Lighting มันคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายหรือไม่ คงต้องถามเพื่อนๆนั้นละว่ามันตอบโจยท์การใช้งาน ไลฟ์สไตล์ ของเพื่อนๆหรือไม่ ถ้าตอบโจยท์ซื้อได้เลยรับรองไม่ผิดหวังครับ
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th