Test Drive Mazda CX-3 2018 ไมเนอร์เชนจ์ เปลี่ยนตรงไหน อะไรที่ว่าเด็ด มาดูกัน !!

หลังจากที่มาสด้าได้ทำการประกาศเปิดตัว เสริมเขี้ยวเล็บให้ Mazda CX-3 ในรุ่นตัวไมเนอร์เชนจ์ไปเรียบร้อยเมื่อไม่นานมานี้ มาครั้งนี้เราได้หมายเชิญจากมาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ให้เข้าร่วมทดสอบ Mazda CX-3 2018 ไมเนอร์เชนจ์ บนเส้นทางจากกรุงเทพ-หัวหิน ว่าแต่ไอ้เจ้า Mazda CX-3 2018 ไมเนอร์เชนจ์ คันนี้มันมีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมบ้างเพราะมองผ่านๆมันดูไม่ออกเลยว่าเปลี่ยนอะไรตรงไหนบ้าง แล้วได้ที่เปลี่ยนใส่เพิ่มเข้ามามันเด็ดขนาดไหนเราไปดูพร้อมๆกันครับ รถที่เราได้จะเป็นรุ่นท็อปสุดของทั้งเครื่องยนต์ดีเซล และเบนซิน นะครับ

Mazda CX-3

Mazda CX-3 2018 ไมเนอร์เชนจ์ เป็นรถครอสโอเวอร์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อการขับขี่ที่สนุกสนาน รวมไปถึงตอบโจทย์การใช้งานในรูปแบบของครอบครัว ซึ่งในบ้านเรารถยนต์ในกลุ่นนี้ได้รับความนิยมมาก และมีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง ค่ายคู่แข่งก็ส่งรถยนต์รุ่นใหม่ออกมาสู้กันอย่างเข้มข้นในตลาดนี้ ซึ่งแน่นอนมาสด้า เซลส์ ประเทศไทยก็ไม่นิ่งเฉยส่ง Mazda CX-3 2018 ไมเนอร์เชนจ์ มาสู่หวังโกยยอดขายชาวงปลายปี ด้วยการอัดออฟชั่น และเทคโนโลยีต่างๆมาเต็มคันแต่ราคาในรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน ยังคงเดิม แถมชูเครื่องยนต์ดีเซลด้วยการปรับลดราคาลงถึง 4000 บาทอีกด้วย

ก่อนอื่นอย่างที่บอกภายนอกของ Mazda CX-3 2018 ไมเนอร์เชนจ์ ถ้าไม่สังเกตดีๆหรือเป็นแฟนพันธุ์แท้มาสด้าคงจะแยกไม่ออกว่ามันเปลี่ยนไปตรงไหน เรามาดูกันไปที่ละจุดเลยดีกว่าครับเรามาเริ่มจากด้านหน้ารถกันก่อนเลยดีกว่า กระจังหนัาใหม่ดูหรูหรามากยิ่งขึ้นด้วยเส้นแนวนอนสองเส้นที่มีความหนาต่างกันช่วยเสริมให้ไฟหน้า และ ซิกเนเจอร์วิงดูโดดเด่นมากขึ้น และรับกับกันชนหน้าได้อย่างลงตัว กรอบไฟตัดหมอกและวัสดุตกแต่งเสาประตูด้านนอกแบบสีดำเงาเสริมให้รถ Mazda CX-3 2018 ไมเนอร์เชนจ์ คันนี้ดูพรีเมี่ยมมากขึ้น ล้ออัลลอยสีทูโทนลายใหม่ขอบ 18 นิ้ว ยังมีอีกนะครับอันนี้ถือว่าเด็ดเพราะว่า Mazda CX-3 2018 ไมเนอร์เชนจ์ ใส่ซันรูฟ มาให้ด้วยนะครับ มิติตัวถังมีขนาดความยาวรวม 4,275 มิลลิเมตร กว้าง 1,765 มิลลิเมตร และสูง 1,550 มิลลิเมตร ฐานล้อวัดจากดุมล้อหน้าไปถึงดุมล้อหลัง 2,570 มิลลิเมตร ระยะห่างจากพื้นถึงใต้ท้อง 160 มิลลิเมตร

ภายในมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะมากทีเดียวครับ เพราะรุ่นก่อนหน้ามีหลายคนบ่นมาว่าภายในเหมือนมาสด้า2 เลย ไม่เห็นมีอะไรต่างทั้งที่ราคาแพงกว่า จนมีหลายคนพูดว่ามันก็คือมาสด้า2 ยกสูงก็แค่นั้น แต่การปรับโฉมของ Mazda CX-3 2018 ไมเนอร์เชนจ์ ในครั้งนี้ภายในดูหรูหราไฮโซขึ้นกว่าเดิมเยอะมากทีเดียวครับ โดยมีการปรับดีไซน์แดชบอร์ดหน้า บริเวณช่องแอร์ แถมยังเสริมความหรูหราด้วยการหุ้มด้วยหนังกลับที่แดชบอร์ดหน้าและแผงประตูทั้ง4 บาน เติมเส้นแถบสีแดงตกแต่งช่องแอร์ด้านข้าง ฐานเกียร์ดีไซน์ใหม่ดูหรูหรา มาพร้อมระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และฟังก์ชั่น Auto Brake Hold หมดปัญหาคนบ่นไม่มีที่วางแขน Mazda CX-3 2018 ไมเนอร์เชนจ์ จัดให้ใส่วางแขนบริเวณคอนโซลกลางสำหรับผู้โดยสารด้านหน้ามาให้แล้วจร้า เบาะหลังไม่ต้องน้อยใจมีที่วางแขนเบาะนั่งด้านหลังพร้อมที่วางแก้วน้ำ และหมอนรองศีรษะเบาะนั่งด้านหลัง ดีไซน์ใหม่ ให้อีกด้วย ทางด้านเบาะนั่งหนังมีการดีไซน์ใหม่แต่ก็ไม่ต่างจากเดิมมากนัก เบาะคู่หน้ายังไม่มีระบบไฟฟ้ามาให้ การดีไซน์ใหม่นั่งสบายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเบาะหลังมีความโปร่งและสบายมากขึ้น แต่ผมก็ว่าภายในมันยังคงแคบไปนิดครับ

เทคโนโลยีความปลอดภัย i-ACTIVSENSE ที่อัดมาให้อย่างเต็มที่ มีทั้งระบบตรวจจับยานพาหนะจากด้านข้างและด้านหลังที่กำลังใกล้เข้ามาบริเวณจุดบอด พร้อมทั้งเตือนเมื่อผู้ขับขี่จะทำการเปลี่ยนเลน RCTA จะช่วยเตือนผู้ขับขี่เมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง ,ระบบคาดการณ์การเบี่ยงออกนอกเลน และเตือนผู้ขับขี่ถึงอันตรายผ่านทางเสียง ,ระบบปรับการทำงานของไฟหน้าสูง-ต่ำ แยกอิสระซ้ายขวาอัตโนมัติ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพถนน ตำแหน่งรถคันหน้า รวมถึงรถที่วิ่งสวนมา เพิ่มความปลอดภัยขณะขับขี่ ,ระบบช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุจากความเมื่อยล้า โดยส่งเสียงและสัญญาณไฟเตือนให้หยุดพักเมื่อตรวจพบพฤติกรรมเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ ,ระบบ Mazda Radar Cruise Control (MRCC) ช่วยควบคุมความเร็วและรักษาระยะห่างจากรถคันข้างหน้าอัตโนมัติ ,ระบบแสดงภาพ 360 องศา รอบทิศทาง หรือ 360o View Monitor พร้อมมุมกล้องในแบบ Top View ช่วยให้การขับขี่ทำได้อย่างมั่นใจ และปลอดภัยยิ่งขึ้น ,ระบบ Smart City Brake Support (SCBS) และระบบ Smart City Brake Support-Reverse (SCBS-R) ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะเดินหน้าและถอยหลัง ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุจากการชน ,ระบบ Smart Brake Support (SBS) ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ เมื่อพบความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อลดโอกาสในการชนรถคันหน้า เป็นไงครับจัดหนักเลยทีเดียวครับ

Mazda CX-3 2018 ไมเนอร์เชนจ์ เครื่องยนต์มีให้เลือก 2 รุ่นเช่นเดิม

– เครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G ขนาดความจุ 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิด 204 นิวตันเมตร ที่ 2,800 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะซึ่งยังเป็นแบบ Torque Converter พร้อม Manual Mode รองรับเชื้อเพลิง E85 ตัวเครื่อยนต์เบนซินนี้ที่เป็นรุ่น 2.0 SP ราคา 1.083 ล้านบาท เท่าเดิมครับ

– เครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D ขนาดความจุ 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 106 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที และแรงบิด 270 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะซึ่งยังเป็นแบบ Torque Converter พร้อม Manual Mode ตัวเครื่องยนต์ดีเซลน่าสนใจทีเดียวครับเพราะปรับลดราคามา 4,000 บาท เป็น 1.189 ล้านบาท ครับ

เราเริ่มทดสอบจากเครื่องยนต์ดีเซลกันก่อน สำหรับเรื่องสมรรถนะการขับขี่ของเครื่องยนต์ดีเซล ยังคงสนุกเหมือนเดิมกดคันเร่งลงไปอัตราเร่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลื่นไหล และนุ่มนวล อัตราเร่งแซงทำได้ดีรวดเร็วทันใจ ขึ้น-ลง เขาสบายหายห่วง ตามสไตล์เครื่องยนต์ดีเซล แตกต่างจากเบนซิน 2.0 ลิตร ช่วงต้นอาจจะไม่จี๊ดจ๊าดเท่าดีเซล แต่ช่วงกลางความเร็วขึ้นดีกว่า แต่ก็ต้องยอมรับเรื่องอัตราบริโภคน้ำมันซึ่งดีเซลประหยัดกว่าพอตัวครับ

ช่วงล่างใหม่ปรับปรุงให้นุ่มนวลมากขึ้น แต่ก็ยังคงความแน่นหนึบเหมือนเดิมโดยรุ่นที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงคือรุ่นเบนซินที่มาพร้อมล้อ 18 นิ้ว ในรุ่น 2.0S และ 2.0SP และตัวดีเซล เทอร์โบ 1.5 XDL โดยมีการปรับเปลี่ยนเหล็กกันโคลงหน้า รวมไปถึง คอยสปริง และโช้คอัพใหม่ทั้งหมด ส่งผลให้การขับขี่มีความนุ่มนวลมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า แต่ก็ยังคงความมั่นใจในการขับขี่เหมือนเดิม และระบบGVC (G-Vectoring Control) มีการถ่ายเอนน้ำหนักตัวรถจะปรับเองอัตโนมัติเพื่อกระจายน้ำหนักที่เหมาะสมโดยเฉพาะตอนเข้าโค้ง ทำให้ตัวรถไม่มีอาการโคลงเวลาเค้าโค้งด้วยความเร็ว ช่วยเสริมความมั่นใจในการเข้าโค้งขึ้นอีกระดับ

สรุป Mazda CX-3 2018 ไมเนอร์เชนจ์ คันนี้ ขับสนุก พละกำลังเหลือเฟือ ทั้งเครื่องเบนซิน และดีเซล ช่วงล่างมั่นใจได้ในทุกการขับขี่ แถมยังนุ่มนวลขึ้นกว่าเดิม ออฟชั่น เทคโนโลยีต่างๆที่จัดมาให้คุ้มเกินคุ้ม ภายในในวัสดุคุณภาพดีดูหรูหราขึ้นเยอะ แต่ความกว้างภายในห้องโดยสารมันเล็กแคบไปนิด คนตัวใหญ่ๆนั่ง 4 คน น่าจะรู้สึกอึดอัดไม่น้อย แต่ถ้าพูดถึงความคุ้มค่าน่าใช้บอกเลยว่า รุ่นท็อปสุดทั้ง 2 เครื่องยนต์น่าใช้คุ้มค่ามากครับ โดยเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซลที่ปรับราคาลดลง 4000 บาท