Test Drive RIDDARA กระบะไฟฟ้า 100% ก่อนขายไทยตุลาคม นี้
Test Drive RIDDARA กระบะไฟฟ้า 100% ก่อนขายไทยตุลาคม นี้ ว่าที่รถกระบะพลังงานไฟฟ้า 100% คันแรกในประเทศไทย RIDDARA แบรนด์น้องใหม่ภายใต้ร่ม ค่ายยักษ์ใหญ่จากจีน Geely Holding Group ที่ถือแบรนด์รถยนต์ และจักรยานยนต์ กว่า 17 แบรนด์ ครั้งนี้เรามีโอกาศได้เข้าร่วมการทดสอบเจ้ากระบะคันนี้กันที่เมืองหางโจวประเทศจีน มาดูกันซิว่ามันจะแน่ขนาดไหน ทำไมถึงหาญกล้าเข้ามาชิงยอดขายในตลาดรถกระบะประเทศไทย
ก่อนที่เราจะไปทดสอบกันมารู้จัก กระบะไฟฟ้า RIDDARA กันก่อนว่ามันเป็นอย่างไร กระบะคันนี้ในประเทศจีนจะใช้ชื่อว่า RADAR โดยจะมีรุ่น RD6 และ Horizon แต่เมื่อจะนำออกจำหน่ายต่างประเทศมันดันติดเรื่องการจดชื่อแบรนด์ทำให้ไม่สามารถใช้ชื่อเดียวกันกับประเทศจีนได้ จึงได้เปลี่ยนไปใช้ชื่อ RIDDARA แทน ในการทำการตลาดนอกประเทศจีน ซึ่งประเทศไทยนับเป็นประเทศแรกที่เจ้ากระบะไฟฟ้าคันนี้จะจำหน่ายนอกประเทศ
ถามว่าทำไม Geely ถึงกล้าที่จะกระโดดเข้ามาเล่นในตลาดรถกระบะในประเทศไทย ทางผู้บริหารเค้าบอกว่า ตลาดรถกระบะในเมืองไทยถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ ใหญ่กว่าในประเทศจีนด้วยซ้ำไป และมันมีความน่าสนใจ เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคในเมืองไทยไม่ได้นำรถกระบะไปบรรทุกของอย่างเดียว แต่นำไปใช้ในรูปแบบไลฟ์สไตล์ เช่น ใช้ในชีวิตประจำวัน เดินทางท่องเที่ยว หรือออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งกับครอบครัว
นั้นจึงทำให้เรามองเห็นว่าตลาดในไทยเหมาะกับรถกระบะไฟฟ้าของเรา เพราะ RIDDARA ถูกออกแบบมาเน้นไปที่การใช้งานแบบไลฟ์สไตล์เป็นหลัก เพื่อให้เป็น electric lifestyle pick-up truck ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อลุย หรือบรรทุกหนักในเชิงพาณิชย์ ซึ่งมันจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ากลุ่มที่นิยมออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง ออกเดินทางท่องเที่ยว แคมป์ปิ้ง และเริ่มสนใจในรถกระบะมากขึ้น แล้วด้วยความอเนกประสงค์ของเจ้ารถกระบะไฟฟ้าคันนี้สามารถตอบโจยท์ได้เป็นอย่างดี
การออกแบบภายนอก
มาพร้อมกับการดีไซน์ที่หรูหราทันสมัย กระจังหน้าแบบปิดทึบออกแบบให้ดูเป็น 3 มิติ ตรงกลางติดตั้งชุดแถบไฟ LED ที่พาดยาวเชื่อมระหว่างไฟหน้าทั้งสองข้าง ไฟหน้าแบบ LED รับกับกระจังหน้าและกันชนหน้าได้อย่างลงตัว ฝากระโปรงหน้าออกแบบให้มีเส้นสายที่โฉบเฉี่ยว พร้อมติดชื่อรุ่น RADAR ไว้ที่ฝากระโปรงหน้า ลงมาที่กันชนหน้าจะมีขนาดใหญ่ดูดุดัน มาพร้อมช่องดักอากาศขนาดใหญ่ พร้อมตกแต่งด้วยเส้นโครเมียม ด้านข้างตัวรถเน้นความเรียบง่าย เส้นสายสวยงามลงตัว ขอบซุ้มล้อตกแต่งด้วพลาสติกสีดำ ชุดไฟท้าย LED สวยงามออกแบบด้านให้เป็นรูปตัว X พร้อมเชื่อมต่อชุดไฟท้ายทั้ง 2 ฝั่งด้วยไฟ LED ที่พาดยาวเต็มฝากระบะท้าย
ภายในห้องโดยสาร
ห้องโดยสารขนาดกว้างขวาง 5 ที่นั่ง สะดวกสบายสำหรับทั้งครอบครัว มีพื้นที่มากกว่ารถกระบะทั่วไป สะดวกสบายเหมือนขับรถ SUV แผงคอนโซลเลือกใช้วัสดุคุณภาพดี ด้านล่างหุ่มหนังเดินด้านจริง พร้อมตกแต่งด้วยโครเมี่ยม ช่องแอร์ขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยขอบที่เป็นโครเมียมชิ้นยาว หน้าจอแบบสัมผัสขนาด 14.6 นิ้ว และหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่เป็นแบบ LCDพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มด้วยหนังสีดำแบบ d shape คอนโซลกลางมีพื้นที่ขนาดใหญ่ คันเกียร์สั้นจับกระชับมือ มีปุ่มปรับโหดการขับขี่มาให้ สามารถปรับโหมดการขับขี่ได้ถึง 7 โหมด หลังคาพาโนรามาซันรูฟที่มีพื้นที่ใหญ่ ตรงกระบะท้ายติดตั้งพื้นปูกระบะมาให้ ด้านข้างมีระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าสู่อุปกรณ์ภายนอก และ รถไฟฟ้าคันอื่น V2V สูงสุด 21 kW พร้อมไฟ LED
ระบบขับเคลื่อนมีให้เลือกทั้ง 2WD และ 4WD
- ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ กำลังมอเตอร์รวม 200 กิโลวัตต์ หรือ 268 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 7.3 วินาที
- ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ กำลังมอเตอร์รวม 315 กิโลวัตต์ หรือ 422 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 4.5 วินาที
คาดว่าจะมีจำหน่าย 3 รุ่นย่อย
- RD6 2WD แบตเตอรี่ 63 KWh วิ่งได้ระยะทาง 377 กิโลเมตร (NEDC)
- RD6 2WD แบตเตอรี่ 73 KWh วิ่งได้ระยะทาง 437 กิโลเมตร (NEDC)
- HORIZON 4WD แบตเตอรี่ 73 KWh วิ่งได้ระยะทาง 414 กิโลเมตร (NEDC)
การทดลองขับ Test Drive RIDDARA
เราออกเดินทางออกมานอกเมืองหางโจว เพื่อไปที่สนามทดสอบแบบออฟโรด ซึ่งรุ่นที่เราจะได้ลองขับเป็นรุ่น HORIZON 4WD ที่มีพละกำลัง 315 กิโลวัตต์ หรือ 422 แรงม้า ซึ่งถ้ามาจำหน่ายในไทยจะเป็นกระบะที่แรงที่สุด น่าเสียดายครั้งนี้เราไปได้ทดสอบการวิ่งบนถนนปกติ เลยอดลองอัตราเร่งเลยน่าเสียดาย เอาละกลับมาที่สนามทดสอบ สนามนี้ก็เหมือนกับสนามออฟโรดทั่วไป มีเนินสลับ เนินเอียง ทางชัน ทางลาด ประมาณนี้ เอาละเมื่อพร้อมแล้วเรามาเริ่มทดสอบกัน เส้นทางเป็นหินลอยซะส่วนใหญ่ และเป็นหลุมบ่อ เราลองวิ่งรูดดูระบบช่วงล่างที่ด้านหน้าเป็นแม็คเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลังเป็นมัลติลิงค์ รับเซ็ทมาเพื่อความนุ่มนวลเป็นหลัก ซึ่งมันสามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี ยิ่งบนเส้นทางออฟโรดแบบนี้ถือว่าทำได้ดีมากทีเดียวครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าถ้าเรานำเจ้าคันนี้ออกไปวิ่งบนไฮเวย์ด้วยความเร็วมันจะมีอาการโคลงหรือไม่ แต่จากที่ได้สัมผัสผมว่าโคลงย้วย ตามสไตล์การปรับเซ็ทช่วงล่างของพี่จีนแน่นอนครับ
ขับกันต่อบนเส้นทางออฟโรดต้องบอกเลยว่าเจ้าคันนี้มันไม่เหมาะที่จะมาทดสอบบนเส้นทางออฟโรดเท่าไหร่นัก จริงอยู่ว่ามันสามารถไปได้ แต่วิ่งไปหน้าครูด ใต้ท้องขูด หลังครูด ได้ยินเสียงตลอดเส้นทางเลยครับ แต่ก็เอานะถือว่ามาทดสอบให้เพื่อนๆได้เห็นถึงความแข็งแรงของแบตเตอรี่ที่อยู่ใต้ท้องรถแล้วกัน ทั้งขูดทั้งกระแทกขนาดนี้ยังชิลล์ๆ เพราะด้วยความแข็งแรงของวัสดุที่ใช้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ และเทคโนโลยีการจัดการแบตเตอรี่ที่ปลอดภัย จึงทำให้เราขับขี่ได้อย่างสบายใจ มั่นใจ เชื่อถือได้ แข็งแรงดีครับ
เส้นทางด้านหน้าเป็นเนินที่มีมุมค่อนข้างชัน ด้วยพละกำลังและแรงบิดที่มหาศาล ทำให้เราขับเจ้า RIDDARA คันนี้ผ่านเนินชันไปแบบสบายๆ โดยทางบริษัทเครมว่าวิ่งบนทางลาดชันได้ถึง 95% (ไม่ได้บรรทุก) ถึงแม้ว่าระหว่างทางมันจะขูดบริเวณกันชนและใต้ท้องบ้างก็ตาม ขับลงเนินชันมาเจอบ่อน้ำ (เมื่อก่อนคงมีน้ำ ) เพราะด้วยอากาศที่ร้อนจัดของจีนทำให้บ่อน้ำหน้าหน้าไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว เลยไม่ได้ลองกันน่าเสียดายเพราะเจ้า RIDDARA คันนี้สามารถวิ่งลุยน้ำได้สูงสุดถึง 815 มม.
วิ่งผ่านบ่อน้ำที่ไม่มีน้ำมาเราก็เจอกับเส้นทางที่เป็นร่องลึก แน่นอนเราต้องวิ่งคร่อมร่องน้ำ เพราะถ้าเราลงไปในร่องน้ำใต้ท้องรถครูดตลอดแน่นอน เราวิ่งคร่อมได้แบบสบายๆเพราะเจ้าคันนี้มีกล้องมุมมองแบบพาโนรามา 540 องศา มองผ่านหน้าจอกลางคมชัดมาก และสามารถสลับระหว่างมุมมองด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้าย และด้านขวาได้อย่างอิสระ ทำให้การขับขี่บนเส้นทางออฟโรดแบบนี้ง่ายขึ้นเยอะครับ พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS น้ำหนักเบาดีคล่องตัวในการขับขี่ โดยเฉพาะเส้นทางออฟโรดแบบนี้เบาแรงขึ้นเยอะครับ
และนี่เป็นการทดสอบแบบเล็กน้อยก่อนที่จะเข้ามาเปิดตัวและจำหน่ายในประเทศไทยช่วงเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเราจะต้องมาลองวิ่งบนถนนไฮเวย์กันยาวๆอีกครั้งว่ามันป็นอย่างไร แต่เรื่องวัสดุที่เลือกใช้ รูปร่างหน้าตา ความสะดวกสบาย ความอเนกประสงค์ของตัวรถ เทคโนโลยี และฟีเจอร์ต่างๆ ให้มาค่อนข้างครบ และดีเลยทีเดียว เหมาะกับสายเที่ยว สายตั้งแคมป์มากครับ เพราะมันสามารถบรรทุกได้เยอะถึง 1,050 กิโลกรัม (สัมภาระ + ผู้โดยสาร) แถมยังสามารถลากจูงรถพ่วงได้ถึง 2,500 กก. (2WD) /3,500 กก. (4WD) อีกต่างหาก สุดท้ายขึ้นอยู่กับราคาจำหน่ายในประเทศไทยว่าจะเปิดมาราคาจับต้องได้ง่ายขนาดไหน ศูนย์บริการ อะไหล่ พร้อมแค่ไหน แต่ทางบริษัทแม่อย่าง Geely Holding Group คอนเฟริ์มมาแล้วว่า ไม่ลงไปเล่นสงครามราคาอย่างแน่นอน เน้นขายของดีมีคุณภาพ สุดท้ายพร้อมเปิดดีลเลอร์ 12 แห่ง ในประเทศไทยภายในสิ้นปี 2024 นี้อย่างแน่นอน และคอนเฟริ์มสามารถส่งมอบรถได้ปลายเดือน พฤศจิกายน 2024 นี้
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th